Share

บทที่ 686

Penulis: โม่เสียวชี่
ในรั้ววัง นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็มีเพียงทหารองครักษ์เท่านั้นที่ทำเรื่องนี้ได้

เมื่อเฉียวเนี่ยนพูดจบ เซียวเหอก็ถึงกับตกใจขึ้นมาทันที

พลันเข้าใจในบัดดลว่าวันนี้องค์หญิงเรียกเฉียวเนี่ยนเข้าไปพบด้วยเรื่องใด

จึงลดเสียงเบาลงแล้วถามว่า “นานเท่าไรแล้ว?”

“ราวสามเดือนกว่า” เฉียวเนี่ยนเอ่ยพร้อมกับที่ในดวงตาคู่นั้นปรากฏความเย็นเยียบขึ้นมาทีละน้อย “นางบอกว่าอีกไม่กี่วันจะไปที่จวนอ๋องผิงหยางเพื่ออยู่เล่นกับข้า จะใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างให้ข้าช่วยขับเด็กให้นาง”

เสียงของเฉียวเนี่ยนเบามาก แม้แต่เซียวเหอที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังได้ยินแค่พอจับใจความได้

ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เซียวเหอขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าจะรับมืออย่างไร?”

“ข้าไม่มีทางเลือก” เฉียวเนี่ยนเอ่ยด้วยเสียงเย็น “ทำได้เพียงจัดการเรื่องนี้ให้นางในจวนอ๋องก็เท่านั้น เพียงแต่ถ้าทำพลาด ก็อาจมีคนตาย...”

ดวงตาของเซียวเหอฉายแววเคร่งขรึม เสียงของเขาก็เผยความเย็นเยียบออกมาด้วย “ต่อให้ทำสำเร็จ ก็อาจมีคนตายอยู่ดี”

องค์หญิงตั้งครรภ์ก่อนสมรส ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวยิ่งใหญ่

เมื่อเรื่องสงบลง องค์หญิงย่อมฆ่าปิดปากนางเพื่อรักษาชื่อเสียงของตน

ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉ
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi
Bab Terkunci

Bab terbaru

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 912

    เฉียวเนี่ยนอยากจะบอกฉู่จืออี้ว่านางไม่มีความคิดที่ไม่ควรใดๆ กับเขา หวังเพียงว่าฉู่จืออี้จะไม่เข้าใจผิด ไม่หลบหนีจากนาง ไม่เมินเฉยนางแต่กลับไม่เห็นว่าภายนอกรถม้า เมื่อฉู่จืออี้ได้ยินถ้อยคำนั้น สายตาของเขาก็พลันหม่นลงทันใดจากนั้นจึงแค่นหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ แล้วจึงเอ่ยตอบ “อืม”แน่นอนว่าเป็นพี่ใหญ่ที่ดีตลอดไปด้วยรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์เพียงนี้ อายุที่มากเพียงนี้ เขาจะเหมาะสมยืนอยู่เคียงข้างนางได้อย่างไร?ไม่ใช่พี่ใหญ่ที่แสนดี แล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?ราตรีเงียบงันลงแสงจันทร์ส่องทอดลงบนถนน มีเพียงรถม้าคันหนึ่งที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ล้อไม้บดทับก้อนหิน ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก คล้ายตอกย้ำลงบนใจของคนทั้งสองเย็นวันถัดมา เฉียวเนี่ยนกับฉู่จืออี้ก็กลับมาถึงค่ายทหารในที่สุดรถม้าค่อยๆ หยุดลง เฉียวเนี่ยนยกม่านรถขึ้นแล้วจะก้าวลงไปแต่ในสายตากลับปรากฏฝ่ามือใหญ่ๆ ยื่นมาฉู่จืออี้ยืนอยู่ข้างรถม้า สีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวเพียงเบาๆ ว่า “มา ระวังด้วย”รถม้าของตระกูลมู่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ จึงสูงกว่ารถม้าทั่วไป เขากลัวว่าเฉียวเนี่ยนจะลื่นแม้หลังจากคืนวาน ทั้งสองจะยังพูดคุยกันตามปกติ แต่เฉียวเนี่ยนก็

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 911

    รถม้าของตระกูลมู่แม้จะใหญ่ ทว่ากลับมั่นคงเป็นอย่างมาก แทบไม่มีการสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อยภายในรถม้าปูด้วยเบาะนุ่มหอมละมุน เคล้ากลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยออกมาจากกล่องไม้ข้างๆ ยิ่งทำให้เฉียวเนี่ยนรู้สึกสบายเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนขยับไปนั่งข้างประตูรถม้าราวกับนึกอะไรขึ้นได้ นางยกม่านขึ้น มองไปทางฉู่จืออี้ เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่คิดว่า พี่ใหญ่ทั้งสองของตระกูลมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”“ดูเหมือนไม่มีเล่ห์กลในใจอะไร” ฉู่จืออี้ตอบตามความจริง เฉียวเนี่ยนก็เห็นด้วยกับข้อนี้ จึงพยักหน้าแต่แล้วก็ได้ยินฉู่จืออี้กล่าวต่อ “แต่ตระกูลมู่มีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ คนของตระกูลมู่จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยได้อย่างไร?”ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นมู่ซ่างเสวี่ยหรือมู่หงเสวี่ย ความอ่อนโยนและพูดคุยด้วยง่ายในวันนี้ เกรงว่าจะเป็นการแสดงทั้งนั้นเฉียวเนี่ยนย่อมเห็นว่าความคิดของฉู่จืออี้มีเหตุผลนางพิงเบาะรถม้า สายตาเหม่อมองออกไปในรัตติกาล “แต่พวกเขาก็ยอมมอบสมุนไพรให้เราง่ายๆ ทั้งยังรู้อยู่แล้วว่าวิชาแพทย์ของข้าไม่ธรรมดา ไม่น่าจะกล้าลงมือทำอะไรตุกติกกับสมุนไพร”ถึงอย่างไร หากคิดจะลงมือ ก็ต้องถูกนางจับได้แน่“จากที่เห็นวันนี้ พวกเ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 910

    เฉียวเนี่ยนไม่คิดว่ามู่ซ่างเสวี่ยจะพูดถึงสำนักราชาโอสถ จึงแอบตกใจเล็กน้อย จำต้องตอบว่า “ก็ไม่ใช่ว่ารู้วิธีถอนพิษทุกชนิดหรอกเจ้าค่ะ”แต่มู่ซ่างเสวี่ยกลับส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่สิ พิษของสำนักราชาโอสถนั้นแตกต่างจากพิษทั่วไป วิธีถอนก็ไม่เหมือนกัน เว้นแต่จะได้เรียนวิชาแพทย์จากสำนักราชาโอสถ มิเช่นนั้นไม่มีทางถอนพิษพวกนั้นได้หรอก”มู่หงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “วิชาแพทย์ของเจ้า สรุปแล้วเรียนจากผู้ใดกันแน่?”เฉียวเนี่ยนไม่คิดเลยว่าการยอมรับว่าเป็นคนถอนพิษ จะทำให้ทั้งสองคนสงสัยมากขนาดนี้นางย่อมไม่อาจเปิดเผยตัวตนของอาจารย์ได้ จึงกล่าวว่า “เป็นหมอเทวดาท่านหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ท่านสอนข้าไม่กี่ครั้ง แล้วก็มอบตำราแพทย์ให้ข้าสองสามเล่ม จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”ตอนพูดถ้อยคำเหล่านี้ น้ำเสียงของนางสงบนิ่งมากรู้สึกว่าน่าจะไม่มีช่องโหว่ใดๆแต่มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยที่มองนางกลับยังคงมีแววเคลือบแคลงเล็กน้อยในสายตาอย่างชัดเจนแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงกล่าวว่า “อย่างนี้นี่เอง ก็นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่งแล้วกัน!”เฉียวเนี่ยนฝืนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีกฉู่จืออี้มองดู

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 909

    เฉียวเนี่ยนมองสีหน้าไม่แยแสของมู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากจักรพรรดิแห่งแคว้นถังทราบว่าพวกท่านมอบสมุนไพรทั้งหมดให้ข้า แล้วพาลตำหนิตระกูลมู่ พวกท่านจะทำอย่างไร?”ได้ยินเช่นนั้น มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยก็หันมามองกันแล้วยิ้มเหมือนจะพูดว่า แม่หนูผู้นี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลมู่มีอำนาจมากเพียงใดในแคว้นถังแล้วก็ได้ยินมู่หงเสวี่ยกล่าวว่า “เรื่องแค่นี้จะต้องโทษอะไรกันเล่า น้องเขยน่าจะรู้ดีที่สุดว่า การอยู่นอกเมือง ก็ใช่ว่าจะต้องรับพระบัญชาทุกอย่าง”คำว่า ‘น้องเขย’ ทำให้ฉู่จืออี้ตัวชะงัก รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วทั้งตัวทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุเฉียวเนี่ยนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมู่ซ่างเสวี่ยกลับหัวเราะแล้วว่า “ฟ้าอยู่สูง จักรพรรดิอยู่ไกล อย่าว่าแต่ฝ่าบาทจะรู้เรื่องที่นี่เลย ต่อให้รู้ขึ้นมา พวกเราก็มีข้ออ้างมากมายที่จะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้”ว่ากันตามตรงแล้ว กิจการของตระกูลมู่แผ่ขยายไปทั่วทั้งแคว้นถังและแคว้นจิ้งมานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจทรัพย์สินส่วนแบ่งเล็กน้อยจากการแยกแคว้นจิ้งเลยได้ยินดังนี้ เฉียวเนี่ยนก็พยักหน้าเบาๆ มองมู่ซ่างเ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 908

    มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยต่างก็รู้ดีว่าเฉียวเนี่ยนตั้งใจนำจี้หยกนี้มาปรากฏตัวในวันนี้เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้เริ่มสงสัยแล้ว เฉียวเนี่ยนจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป เอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าอยากขอเรียนถามพี่ใหญ่ทั้งสอง ใบงาขี้ม้อน ถูกตระกูลมู่กว้านซื้อไปใช่หรือไม่?”ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยก็เปลี่ยนไปทันทีพวกเขาเริ่มพิจารณาเฉียวเนี่ยนกับฉู่จืออี้อีกครั้งสุดท้าย สายตาทั้งสองก็หยุดลงที่ฉู่จืออี้ราวกับเข้าใจบางอย่าง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ที่แท้ก็อ๋องผิงหยางนี่เอง”เห็นทั้งสองสามารถคาดเดาตัวตนของตนได้ในเวลาอันสั้น ฉู่จืออี้ก็เผยสีหน้าแสดงความชื่นชมเล็กน้อย พลางพยักหน้า “ใช่ ข้าเอง”อาจเป็นเพราะตระกูลมู่มีสถานะพิเศษในแคว้นถัง แม้รู้ว่าเบื้องหน้าคือท่านอ๋องซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นจิ้ง ทั้งสองกลับไม่มีทีท่าจะคารวะแต่อย่างใดเพียงแต่มองเฉียวเนี่ยนอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคุณหนูแห่งจวนโหว ไยถึงได้เดินทางมาไกลถึงชายแดน และยังอยู่กับอ๋องผิงหยาง?”ในสายตาของมู่ซ่างเสวี่ย คุณหนูเช่นนั้นควรจะเติบโตในเรือนของสตรีชั้นสูงราวไข่ในหิน แม้ไม่ถึงกับห้ามออ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 907

    ในตอนนั้นนางก็เอ่ยเสียงอ่อน “ท่านย่าข้าเป็นฮูหยินเฒ่าของจวนโหวแห่งแคว้นจิ้ง ข้าไม่รู้ชื่อของท่านย่า เพียงจำได้ว่าเมื่อยังเล็ก ข้าเคยได้ยินท่านปู่เรียกท่านว่าเสวี่ยเอ๋อร์”“อะไรนะ?!” มู่หงเสวี่ยตกใจจนสีหน้าซีดเผือดอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็พุ่งเข้ามาทันที ดูจากอายุแล้วดูจะมากกว่ามู่หงเสวี่ยเล็กน้อย “ท่านย่าของเจ้าชื่อเสวี่ยเอ๋อร์จริงๆ หรือ?”เฉียวเนี่ยนมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ถอยไปด้านหลังของฉู่จืออี้ด้วยความระแวดระวังชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเสียมารยาท รีบถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วคารวะ “ข้าชื่อมู่ซ่างเสวี่ย เป็นพี่ใหญ่คนโตสุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่”มู่หงเสวี่ย มู่ซ่างเสวี่ย...เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วมองทั้งสองคน “พวกท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับท่านย่าของข้าหรือเจ้าคะ?”สีหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยดูตื่นเต้นยิ่งนัก ริมฝีปากยังแฝงรอยยิ้มบางๆ “หากท่านย่าของเจ้ามีนามเดิมก่อนออกเรือนว่าเสวี่ยเอ๋อร์จริง เช่นนั้นเจ้าน่าจะต้องเรียกพวกเราว่าพี่ใหญ่”พี่ใหญ่?คนของตระกูลมู่น่ะหรือ?เฉียวเนี่ยนหยิบจี้หยกในมือตนเองขึ้นมาอีกครั้ง มองมู่ซ่างเสวี่ยแล้วกล่าวว่า “ท่านย่าเคยบอกว่า จี้หยกชิ้นนี้มีคว

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status