มาธาวีเงยหน้าขึ้นมาจากมือถืออีกครั้งก็ยังไม่มีใครกลับมา ที่สำคัญพวกเขาไม่ได้อยู่ที่โซนหน้าเวทีแล้ว
“ไปไหนกันหมดล่ะเนี่ย”
หญิงสาวมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ ผู้คนอยู่ทั้งโซนด้านหน้าและเต้นในมุมโต๊ะของตัวเองแม้ไม่ได้แออัดยัดเยียดและไม่ได้ดูเละเทะ เพราะต่างก็โตมีวุฒิภาวะกันแล้วแต่ภายในไม่ได้สว่างจึงหาได้ยาก แต่แล้วเธอก็เห็นหลังกว้างของปัฐวิกรแวบๆ ไปทางด้านหนึ่ง
“อะไรจะไวไฟขนาดนั้น แต่ก็โตๆ กันแล้วอะนะ”
เธอคิดว่าพรชิตากับชายหนุ่มน่าจะอยากได้มุมที่เป็นส่วนตัว แล้วก็พยายามมองหาพี่สาวแทนเพราะดูออกว่ามาลินีถูกใจปัฐวิกร แต่กลับปล่อยให้ชายหนุ่มไปกับเพื่อนแล้วตัวเองหายไปกับอธิปเสียได้
“อย่าบอกนะว่าพี่หนึ่งเปลี่ยนใจจากคุณปัฐแล้วเนี่ย”
“น้องครับ”
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ตัวทำเอามาธาวีถึงกับสะดุ้ง แล้วก็ต้องรีบขยับตัวทันทีเมื่ออีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งเบียดกับเธอทั้งที่ไม่รู้จักกัน ทว่าเขากลับดึงแขนเธอเอาไว้ไม่ให้ลุก
“เดี๋ยวสิน้อง จะไปไหน”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จักคุณ”
มาธาวีพยายามทำตัวสุภาพเข้าไว้เพราะเวลานี้ไม่มีใครอยู่กับเธอ ดูแล้วอีกฝ่ายค่อนข้างเมามาก คิดว่าคุยแบบดีๆ เอาไว้ก่อนดีกว่า
“พี่ก็กำลังจะมาทำความรู้จักนี่ไงครับ พี่ชื่อศักดิ์ชาย เรียกสั้นๆ ว่าพี่ศักดิ์ น้องล่ะชื่ออะไรเอ่ย”
เสียงเข้มอ้อแอ้เล็กน้อย ทว่าตาเยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
“สองค่ะ”
“โอ๊ะ เข้ากันเลย ศักดิ์ สอง”
ชายหนุ่มพูดแล้วชี้ตัวเอง พอเอ่ยชื่อของเธอก็ชี้มาที่เธอ มือข้างที่จับอยู่ยังล็อกข้อมือเธอแน่น มาธาวีพยายามเหลือบมองซ้ายมองขวาหาคนที่จะเข้ามาช่วย หรือกลุ่มคนที่มากับตน
‘พวกเขาไปไหนกันหมดนะ’
“ว่าแต่น้องสองมีแฟนยัง พี่ศักดิ์ยังโสด มาเป็นแฟนกันไหมจ๊ะ น้องสองคนสวย”
ศักดิ์ชายถามโต้งๆ พร้อมกะพริบตาปริบๆ ทำเอาคนเห็นถึงกับหน้าแหย
“พี่ปลื้มน้องสองตั้งแต่เห็นรำบนเวทีแล้ว คนอะไร รำส้วยสวย”
“ปล่อยมือสองเถอะค่ะ”
ทั้งที่เหม็นเหล้าจนชวนเอียน ทั้งอีกฝ่ายยังพยายามโน้มตัวมาใกล้ จนเธอต้องพยายามเอนตัวหนี มาธาวีก็ยังเลือกที่จะใช้วิธีพูดดีๆ เพื่อตะล่อมแทนที่จะใช้ไม้แข็ง ไม่อยากเสี่ยงทำคนเมาโมโหเพราะเธอน่าจะสู้แรงเขาไม่ได้หากอีกฝ่ายโมโหจนคิดจะทำอะไรขึ้นมา
“ม่ายเอา น้องสองบอกพี่มาก่อน ว่าจะเป็นแฟนกับพี่ไหม”
“เอ่อ...”
“เธอเป็นแฟนคุณไม่ได้หรอก”
เสียงทุ้มเข้มที่มาธาวีจำได้ดังขึ้น หญิงสาวหันมองอย่างโล่งใจทันที
‘เขาหายไปไหนมาเนี่ย’
“เพราะเธอเป็นคู่หมั้นผม”
ทว่าคำพูดของชายหนุ่มกลับทำให้เธอถึงกับตาโตอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง เหลือบไปมองด้านหลังเห็นว่าพี่สาวกับพรชิตาเดินตามชายหนุ่มมาห่างๆ
“ปล่อยมือคู่หมั้นผมได้แล้ว”
มือหนาคว้าจับมือเธอดึงให้ลุกขึ้นแล้วลากไปไว้ด้านหลังของเขา แต่ผู้ชายอีกคนไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยสิ”
ปัฐวิกรย้ำเสียงดุดัน
“ไม่ปล่อย น้องเขายังไม่ได้บอกเลย ว่าเป็นคู่หมั้นคุณจริงหรือเปล่า”
มาธาวีหน้าเสีย กำลังอึกอักอยู่ ทว่าเหมือนปัฐวิกรจะไม่อยากรอแล้ว เขาดึงเธออย่างแรงพร้อมก้าวเข้าไปปัดมืออีกฝ่ายออก
“บอกให้ปล่อย”
“เฮ้ย พูดกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้ความรุนแรงเลย”
แม้จะพูดราวไม่อยากหาเรื่อง ทว่าคนเมากลับคว้าคอเสื้อปัฐวิกรกระชาก แต่ร่างสูงใหญ่ปักหลักมั่นคง คนที่โอนเอนโถมเข้ามาหาจึงเป็นศักดิ์ชาย ทำให้เขาต้องผลักอีกฝ่ายให้ออกไปห่างๆ แต่ร่างหนาของคนที่ถูกน้ำเมาครอบงำกลับเซถลาล้มก้นกระแทก ทั้งมือยังปัดแก้วกับขวดหล่นลงแตกอีกด้วย
“โอ๊ย! อะไรวะ เล่นทีเผลอเหรอวะ!”
คนที่ล้มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ปัฐวิกรรีบดันให้มาธาวีห่างออกไปเมื่อศักดิ์ชายลุกขึ้นมาแล้วเงื้อหมัดถลามาหาเขา
“นี่หยุดนะ!”
เสียงห้ามของพรชิตาดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวมาถึง ขณะที่ปัฐวิกรปัดหมัดที่ไร้เรี่ยวแรงทิ้งด้วยความรำคาญ ร่างหนาจึงล้มลงไปบนโซฟาใกล้ๆ หากก็ยังโวยวายไม่หยุด
“เฮ้ย! แน่จริงมาเจอกันตัวต่อตัว อย่าลอบกัดสิวะ”
ศักดิ์ชายพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลแต่ก็ล้มลงไปอีก เขายกมือขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่าตัวเองมีแผล คงเพราะถูกแก้วที่แตกบาดตอนล้ม จึงเงยหน้าขึ้นมองปัฐวิกรตาขวาง
“แก แกทำให้ฉันเลือดออก ไอ้...”
“คุณศักดิ์!”
พรชิตาตวาดเสียงดังพร้อมก้าวเข้ามาขวางหน้าปัฐวิกร
“ไอ้ศักดิ์”
เสียงของอธิปดังตามมาอย่างตกใจ แล้วก็รีบจับเพื่อนร่วมงานที่ตนรู้จักเอาไว้
“ใจเย็นสิวะ เมาแล้วนะเว้ย”
“ใคร! ใครเมา...”
ศักดิ์ชายสะบัดมืออธิปออก หันมองด้วยความไม่พอใจ
“คุณนั่นแหละ เมาแล้วพาลคนอื่น”
พรชิตากอดอก เอ่ยเสียงดุอย่างไม่พอใจ เพราะเธอถือเป็นเจ้าของงาน ไม่ชอบที่คนก่อเรื่องในงานเลี้ยงของเธอ
“อะไรกันคุณตา ผม...เนี่ยนะเมา”
คนเมาชี้หน้าตัวเอง แล้วชี้ไปยังปัฐวิกร
“ผมไม่ได้เมาเลย ผมจีบสาวของผมดีๆ อยู่ๆ ไอ้หมอนี่ก็เข้ามาหาเรื่อง”
“คุณมายุ่งกับคู่หมั้นผม”
ปัฐวิกรย้ำอีกครั้ง
มาธาวีสะดุ้งเฮือก เหลือบมองพี่สาวของตนที่ยืนมองอยู่ด้านหนึ่ง ก็เห็นมองเธอด้วยสีหน้าแปลกใจ พรชิตาเองก็หันมามองเธอความสายตางุนงงเช่นกัน
=====
“แต่งงาน!”เสียงหวานอุทานลั่นห้องสอนรำทำให้นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านต่างก็หันมามองเธอ รวมทั้งกัญญานันที่กำลังดื่มน้ำอยู่ข้างๆ คนรูปร่างไล่เลี่ยกันก็ถึงกับเหลือบมองเพื่อนด้วยความสงสัย“เรื่องมันเลยเถิดไปหมดแล้วเนี่ย เพราะคุณคนเดียวเลย”มาธาวียังโวยวายใส่ปลายสาย ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองกำลังอยู่ในที่มีคนค่อนข้างเยอะกัญญานันหันไปยิ้มให้เด็กก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ“ไปจ๊ะ เดี๋ยวครูลงไปส่งนะคะทุกคน”เด็กนักเรียนคลาสนี้เป็นเด็กโตจึงไม่ต้องรอให้ผู้ปกครองมารับ เธอสามารถดูแลคนเดียวได้ หญิงสาวส่งสัญญาณบอกมาธาวีว่าจะลงไปข้างล่างก่อนอีกฝ่ายก็พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่ดีนัก กัญญานันจึงออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูให้เพื่อนคุยได้สะดวกขึ้น“ฉันบอกไปตั้งแรกแล้วว่าไม่เอาด้วย แต่คุณก็ยังบังคับอยู่ได้ แล้วเป็นไงล่ะ”มาธาวีบ่นไม่จบ ตอนนี้เธอถึงกับปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอรู้ได้อย่างไร ยิ่งแย่กว่านั้นก็คือพวกท่านถึงกับติดต่อไปหาบิดาของปัฐวิกรเลยทีเดียว เรื่องโกหกของเขากับเธอบานปลายใหญ่โตจนผู้ใหญ่ต้องการให้แต่งงานกันแล้ว‘ผมแค่โทรมาบอกให้คุณรู้เอาไว้ก่อน แค่นั้น จะได้ไม่ตกใจถ้าที่บ้านพูดเรื
“ลูกหนึ่งมีปัญหาไหมจ๊ะ ถ้าพ่อกับแม่ตัดสินใจแบบนี้”มาลินีนั่งน้ำตาซึมเมื่อพูดคุยกับบิดามารดาในห้องทำงานของบิดาอย่างเคร่งเครียดหลังมื้ออาหารเย็นในวันต่อมา มารดาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอต่อหน้าบิดา ทั้งสามคนจึงเข้ามาคุยในพื้นที่ส่วนตัว แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ว่ามารดารู้เห็นทั้งหมดตอนที่เธอทะเลาะกับน้องสาว“ไม่ค่ะ”เธอตอบไปเสียงเบา“แม่ไม่อยากให้ลูกเสียใจนะจ๊ะ แม่รักลูกนะลูก”แม่เลี้ยงมารตีบอกลูกสาวคนโตด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ท่านเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกดดันตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และไม่พอใจน้องสาวที่ไม่เคยต้องแบกรับภาระใดๆ เลย“หนึ่งก็รักคุณแม่ค่ะ”น้ำตาหยาดหยดพร้อมคำพูดนั้น ทว่ามาลินีรีบปาดออกและมองตอบมารดาด้วยดวงตาฉายแววมั่นคงมั่นใจ“พ่อไม่เคยคิดว่าลูกจะเครียดขนาดนี้ พ่อขอโทษนะลูก เป็นพ่อเองที่พูดคุยกับลูกเรื่องเรียน เรื่องงานมากกว่าน้อง”พ่อเลี้ยงศราเอ่ย รู้สึกสงสารลูกสาวคนโตนัก ที่อีกฝ่ายต้องแบกความหวังของท่านเอาไว้บนบ่าถึงเพียงนี้“พ่อคิดว่าลูกเป็นลูกคนโต เรียนเก่ง มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง คุยกับพ่อเข้าใจได้ แล้วลูกก็ดูเหมาะที่จะรับราชการ ไม่คิดว่าจะทำให้ลูกเครียดเก็บทุกอย่างไว้ก
“เป็นไงบ้างสอง”ก้าวเข้ามาข้างในก็เห็นกัญญานันลุกขึ้นจากโซฟาหันมามองด้วยสีหน้าเป็นห่วง มาธาวีกะพริบตาปริบไล่น้ำที่เอ่อคลอขึ้นมาพร้อมตรงเข้าไปกอดเพื่อนสนิทก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้นไว้อีกแล้ว“ฮือๆๆ ก้อย สองจะทำยังไงดี”เธอร้องออกมาด้วยความกดดัน หวาดกลัว ที่สำคัญอาการร้อนวูบวาบที่วิ่งวนอยู่กลางอกแล้วกระจายไปทั่วร่างในตอนที่ถูกปัฐวิกรจูบสร้างความหวั่นไหวให้กับเธอจนน่าตกใจ มาธาวีสับสนในความรู้สึกและความคิดของตัวเองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ใจหวิวหวั่นทว่าสมองเกรงกลัวอีกฝ่ายเธอเคยถูกทำร้ายจากคุณากรมาแล้วครั้งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอหวาดผวา แต่ปัฐวิกรทำให้เธอเกร็ง หวาดหวั่น หากกลับใจสั่นอย่างไรชอบกล และเธอก็ไม่ได้ขนลุกจนอยากผลักชายหนุ่มออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เหมือนคุณากร“ทำไม มีอะไรเหรอ ทะเลาะอะไรกับพี่ปัฐ”กัญญานันถามเพื่อนพร้อมกับลูบหลังอีกฝ่ายเธอเป็นห่วงมาธาวีตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายทะเลาะกับพี่สาว ที่สำคัญเป็นเพราะพี่ชายของเธอ หญิงสาวถามไถ่เพื่อน ทว่ามาธาวีบอกว่ารอมาคุยกันที่โรงเรียน ยิ่งมาถึงพี่ชายก็ดึงเพื่อนเอาไว้คุยกันเนิ่นนาน ออกมาแล้วอีกฝ่ายยังเป็นแบบนี้อีกนั่นทำ
ปัฐวิกรไม่ได้เพียงแนบปากกับปากหญิงสาวเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มบดเบียดเม้มกลีบปากอิ่มขยับไล้ด้วยปลายลิ้นตนเองทำเอาคนที่ไม่เคยจูบถึงกับสะดุ้งพยายามเอนหน้าหนีให้มากที่สุด ทว่ากลายเป็นยิ่งเธอปฎิเสธเขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ แขนที่โอบร่างเล็กรั้งอีกฝ่ายเข้าแนบชิดอกกว้างมากกว่าเดิมมาธาวีประท้วงอึกอักหากก็ไม่อาจฝืนชายหนุ่มได้ นอกจากปากกระด้างกว่าปากตนเองที่เบียดเน้นแผ่วเบาแล้ว ความลื่นเย็นชื้นที่กวาดไล้อยู่เหนือกลีบปากสลับกัน ทำเอาใจสาวเต้นกระหน่ำรุนแรงจนร้อนรุ่มไปทั้งใบหน้าและเนื้อตัว รู้สึกกลัวหากก็เหมือนถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะบอกได้ว่าคืออะไรร่างอรชรอ่อนยวบลงเข้าไปในอกหนาพร้อมกับที่จิตใจและร่างกายไร้กำลังต้านทานชายหนุ่มได้แล้วในตอนนี้ ปากอิ่มเล็กเผยอขึ้นเพราะหายใจไม่สะดวก แต่กลับถูกล่วงล้ำด้วยลิ้นอุ่นร้อนร้าย“อือ”หญิงสาวทำได้เพียงส่งเสียงขัดขืน เพราะเนื้อตัวเธอไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแม้แต่จะขยับตัวคนจูบรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะยอมจำนนต่อเขาเพราะเธอระทวยจนเนื้อตัวอ่อนในอกของตน ทว่าเขาต้องการทำให้อีกฝ่ายหลาบจำและทำโทษในคราวเดียวกัน เพราะเขาไม่ชอบให้ใครทำอะไรลับหลังเขา โดยเฉพาะมาธาวี เธอควรจะ
แม้จะมีเรื่องไม่สบายใจหากแม่เลี้ยงก็เก็บความรู้สึกนึกคิดเอาไว้เพียงในใจและแสดงออกอย่างปกติ พูดคุยกับทั้งปัฐวิกรและอธิป ถามไถ่เรื่องความถูกปากของอาหารอย่างใส่ใจ พร้อมทั้งพยายามสังเกตท่าทีของลูกสาวสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร และเมื่อสังเกตปัฐวิกรกับมาธาวีก็ไม่เห็นถึงความพิเศษใดๆ ท่านจึงอดแปลกใจไม่ได้“คุณปัฐกับคุณอธิปมาทานข้าวที่บ้านได้บ่อยๆ นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ นานๆ บ้านนี้จะครึกครื้นคนเยอะสักที มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ คนแก่สองคนจะได้สดชื่นขึ้น”แม่เลี้ยงเอ่ยขึ้นหลังจากย้ายมาทานขนมหวานเล็กๆ น้อยๆ กันที่ห้องรับแขก“คุณแม่...หนึ่งก็อยู่บ้านนี้นะคะ มีหนึ่งอยู่ด้วยก็เหงาเหรอคะ”มาลินีพูดเสียงเรียบทว่าใบหน้างอนิดๆมารดารู้สึกตัวว่าพลาดทำให้ลูกสาวคนโตที่ท่านเพิ่งรับรู้ว่ามีปมในใจน้อยใจ ท่านจึงรีบแก้ตัว“แม่หมายถึง คุณพ่อจะได้มีเพื่อนคุยถูกคอแบบวันนี้ไงจ๊ะ”พูดแล้วก็หันไปวางมือลงบนหลังมือสามี“ใช่ไหมคะคุณ”มือที่วางกระชับเล็กน้อย พร้อมสายตาของภรรยาที่มองมาดูมีบางอย่างน่าสงสัย แต่พ่อเลี้ยงก็ตอบกลับอย่างเห็นด้วย“นั่นสิ คุณปัฐมาเชียงใหม่อีกเมื่อไรก็อย่าลืมแวะมาหาคนแก่นะครับ อธิปด้วย ทำงานกับลู
ก่อนมื้ออาหารเย็น ปัฐวิกรกับอธิปเข้าไปคุยกับพ่อเลี้ยงในห้องสมุดของบ้าน ขณะที่แม่เลี้ยงยังควบคุมดูแลอาหารมื้อใหญ่ที่เรือนครัวจนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อขจัดกลิ่นและคราบเหงื่อไคลเพราะต้องต้อนรับแขกอย่างเหมาะสมมาธาวีพากัญญานันเดินดูรอบบ้านกับเรือนกล้วยไม้จนมืดจึงกลับเข้ามา เมื่อเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำและต้องคุยโทรศัพท์กับสามีเธอจึงพาขึ้นไปบนห้อง เพราะอย่างน้อยจะได้คุยอย่างเป็นส่วนตัว จากนั้นตนเองก็เลี่ยงออกมาแล้วก็เจอกับมาลินีที่อยู่ในชุดอยู่บ้าน หากก็เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงพอดีตัวอย่างดูดีเป๊ะตามสไตล์สาวมั่น“ทำไมต้องเป็นฉันที่มาคอยตามแก้ปัญหาให้เธอ”พออยู่กันสองคนมาลินีก็ใส่คนเป็นน้องทันที เพราะต่อหน้าปัฐวิกรไม่อาจบ่นอีกฝ่ายได้“สองก็ไม่ได้อยากให้พี่หนึ่งมารับผิดชอบหรอก”มาธาวีเสียงอ่อย เธอก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องให้มาลินีมาโกหกพ่อกับแม่ช่วยตัวเองแบบนี้ ความจริงเธอตั้งใจนัดแนะกับอธิปก่อนตอนขึ้นรถมาด้วยกัน ว่าเธอเชิญเขามาเพราะอยากขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยเรื่องงานของโรงเรียนเอาไว้หลายครั้ง ด้วยความที่ไม่ต้องการให้พวกท่านรู้ว่าในคืนนั้นเกิดปัญหาขึ้น“แล้วทำไมเรื่องมันถึงมาต