“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย
“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ
“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหาย
หนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ
“อือ”
เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด
“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย
“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้า
ทั้งสองต่างก็เปลือยเปล่าไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ปากหนายังคงดูดกลืนยอดอกด้วยความหื่นกระหาย มือบางกดคอแกร่งของชายหนุ่มไว้แน่น พร้อมกับแอ่นอกให้อีกฝ่ายอย่างลืมตัว
หนานฟาหยางยกขาเรียวแยกออก ก่อนจะก้มลงชิมกุหลาบงามอย่างไม่นึกรังเกียจ หนานเจียอีสะท้านไปทั้งตัวมือบางอีกข้างกำขอบโต๊ะไว้แน่น สติจากที่พอมีก่อนหน้าได้หายไปสิ้น
“ท่านพี่ ตรงนั้น ไม่ได้นะเพคะ มันไม่เหมาะ” จะให้เขาทำตรงนั้นได้อย่างไร สำหรับนางมันดูน่าเกลียดนัก
ร่างหนาไม่ได้สนใจคำพูดของภรรยาแม้แต่น้อย ไม่มีส่วนไหนในร่างกายนางที่เขารังเกียจ เขารักทุกส่วนที่เป็นนาง
“น้องหญิงพี่ไม่ไหวแล้ว พี่ขอนะ”
หนานฟาหยางยกตัวขึ้นมาจูบปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง แก่นกายของเขามันปวดหนึบจนทนไม่ไหวแล้ว มันพร้อมที่จะใช้งาน ร่างสูงอาศัยจังหวะที่คนตัวเล็กกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์วาบหวามที่เขาสร้างให้ ดันแก่นกายอันใหญ่โตเข้าไปรวดเดียวจนสุดทางจนร่างบางสะดุ้งเพราะตั้งตัวไม่ทัน
หนานเจียอีผวากอดกายหนาแน่น เมื่อเขาขยับโยกเข้าออกเป็นจังหวะ ขาเรียวงามตวัดเกาะเกี่ยวเอวสอบแน่น มืออีกข้างเกี่ยวคอหนามิยอมปล่อยด้วยกลัวตนเองจะตกจากโต๊ะ นางได้แต่แอบค่อนขอดเขาในใจ ที่ดี ๆ มีตั้งมากมายเหตุใดต้องเป็นที่ที่อันตรายเช่นนี้กัน คนบ้าเขาไม่กลัวแต่นางกลัวนี่นา
ร่างหนากระแทกกระทั้นเข้าออกซ้ำ ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ที่กำลังปะทุในตอนนี้ เสียงโต๊ะที่ดังลั่นและเสียงเนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ในยามนี้หนานเจียอีไม่ได้รับรู้สิ่งใดแล้ว แม้แต่ห้ามปรามหรือความเหนียมอายนางก็ลืมมันไปสิ้น นางคิดเพียงแค่ให้สามีปลดปล่อยนางเสียที
“หม่อมฉันไม่ไหวแล้วเพคะ” ร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อนางได้ไปจนถึงปลายทางที่ต้องการ พร้อมกับมือทั้งสองกอดคนตัวโตไว้แน่น
หนานฟาหยางเมื่อรู้ว่าภรรยารักไปถึงจุดหมายแล้ว เขาได้โถมกายกระแทกเร็วและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งฉีดพ่นน้ำขาวขุ่น เข้ามาในตัวภรรยาจนหมดทุกหยาดหยด ใบหน้าคมยังคงซุกซบกับอกนุ่มนิ่มหายใจเหนื่อยหอบ แก่นกายยังคงเชื่อมต่อกันไม่ได้ถอดถอนออกแต่อย่างใด
“ท่านพี่หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ” หนานเจียอีรีบเอ่ยบอกสวามีด้วยความเขินอายเมื่อรู้สึกว่า ตรงส่วนนั้นของเขาได้ขยายขึ้นมาอีกครั้ง
“หากเจ้าเหนื่อยเราก็ไปที่เตียงกันเถิด” เมื่อกล่าวจบหนานฟาหยางได้อุ้มกระเตงภรรยารัก เดินตรงไปที่เตียงทั้งที่ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่
ร่างบางเสียวซ่านไปทั้งกายเมื่อยามที่ชายหนุ่มก้าวย่างออกไป กว่าจะเดินไปถึงเตียงนอนหลังใหญ่นางก็ได้สุขสมไปอีกรอบ หนานฟาหยางมองใบหน้าหวานยามสุขสมอย่างเอ็นดู ไม่คิดเลยว่าร่างบอบบางเช่นนี้จะสามารถรองรับอารมณ์ดิบของเขาได้ถึงเพียงนี้
เมื่อความสุขสมได้ผ่านพ้นไปร่างเปล่าเปลือยทั้งสอง ต่างก็กกกอดกันไม่ห่าง เพื่อกอบโกยช่วงเวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุด หนานฟาหยางยังคงวนเวียนจูบซับภรรยาไม่รู้เบื่อ ยิ่งนานวันเข้าเขายิ่งรู้สึกว่าขาดนางไม่ได้
“ระหว่างที่พี่ไม่อยู่พี่จะให้น้องหญิงไปอยู่กับลูก จนกว่าพี่จะกลับมาพี่เป็นห่วงไม่อยากให้เจ้าอยู่คนเดียว”
ร่างบางพลิกตัวกลับมาหาคนด้านหลัง มือบางยื่นออกมากอดกายเขาไว้แน่น ซุกหน้าเข้าหาอกแกร่งพูดเสียงอู้อี้ออกมาว่า
“น้องแล้วแต่ท่านพี่เพคะ ขอเพียงให้ท่านระวังตัวรีบกลับมาหาเราแม่ลูกก็พอ”
“ไม่ต้องห่วง พี่จะรีบกลับมาหาเจ้ากับลูกแน่นอน” หนานฟาหยางจูบซับหน้าผากมน เพื่อปลอบประโลมให้ภรรยารักได้คลายใจก่อนที่พวกเขาจะหลับไปด้วยกัน
เรื่องความโปรดปรานที่ท่านอ๋องมีให้กับพระชายา ได้เป็นที่เล่าลือกันในหมู่บ่าวไพร่ และนางกำนัลเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยตอนนี้เป็นเวลากว่าสามวันสามคืนแล้ว ที่ท่านอ๋องมิยอมให้พระชายาออกจากตำหนัก มีเพียงอนุญาตให้นางกำนัลเข้าไปปรนนิบัติในยามทานอาหาร และช่วงเวลาเตรียมน้ำในถังให้เต็มเพียงเท่านั้น เวลาอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบอีก
ทำให้บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายภายในวังอ๋องต่างว่างงานกันหมด กว่าท่านอ๋องจะยอมปล่อยพระชายาออกมาจากตำหนักได้ ก็ทำให้พระชายาถึงกับไร้เรี่ยวแรง จนนางกำนัลคนสนิทต้องคอยพยุงตลอดเวลา ส่วนท่านอ๋องราวกับได้เติมพลังเต็มที่ หน้าตาสดใสราวกับได้ยาขนานดีเพิ่มพลัง
แล้ววันงานบวงสรวงก็มาถึง ปะรำพิธีได้ถูกจัดขึ้น ณ ลานกว้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลางลานมีแท่นพิธียกขึ้นสูงบนโต๊ะรูปมังกรเหยียบเมฆา มีผลไม้และอาหารมงคล ตรงกลางมีกระถางสำหรับปักธูปลวดลายอ่อนช้อย สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงามงานนี้เจ้ากรมพิธีการได้หน้าไปเต็ม ๆ ต่างถูกชมจากผู้คนมิขาดปากแต่ผู้ที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดในวันนี้กลับนั่งเหงื่อตกรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คิดจะหนีงานดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปยังที่ประทับของฮ่องเต้ ใบหน้าที่คาดหวังของท่านแม่และท่านพ่อ ไหนจะท่านลุงฮ่องเต้อีกคน จะถอยก็มิได้จะเดินต่อก็ไม่ได้และแล้วพิธีสำคัญได้ถึงเวลาที่เหมาะสมชาวบ้านที่เข้ามารอชมอย่างคาดหวัง หวังเยี่ยนฟางแต่งตัวด้วยชุดสีแดงอลังการ เดินนวยนาดออกมายังหน้าแท่นพิธีก่อนสายตาจะมองไปรอบ ๆ นางไม่พบเหล่าพี่ชายพี่สาวแฝดสามและอ๋องน้อยพวกนั้นหายไปที่ใดกัน“แด่ท่านเทพพิรุณเทพแห่งสายฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ท่านได้โปรดทรงประทานหยาดฝนเพื่อดับทุกข์ร้อนของเหล่ามวลมนุษย์ด้วยเถิด” หวังเยี่ยนฟางกล่าวจบจึงได้ทำการปักธูปลงในกระถางทันใดนั้นเองท้องฟ้าแปรปรวนร้องสนั่นหวั่นไหว หมู่เมฆมืดครึ้มลมพัดแรง จนมงกุฎที่หวังเยี่ยนฟา
ในปีหนึ่งแคว้นหนานได้เกิดปัญหาภัยแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรและใช้สำหรับอุปโภคบริโภคองค์ฮ่องเต้ทรงมองเห็นในความเดือดร้อนของพสกนิกร ทรงมีรับสั่งช่วยเหลือแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อช่วยลดความอดอยากของประชาชน แต่เมื่อนานวันเข้าภัยแล้งกลับไม่มีท่าว่าจะดีขึ้นหัวข้อประชุมเช้าอันดุเดือดประจำท้องพระโรงคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภัยแล้ง"ทูลฝ่าบาทหากเรายังคงเบิกจ่ายข้าวสารและตำลึงเงินอีกไม่เกินปีนี้ กระหม่อมเกรงว่าท้องพระคลังคงจะหมดในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมคลังกราบทูลถึงปัญหาที่เกิดขึ้น"ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมส่งคนออกสำรวจแหล่งน้ำทั่วแคว้น ปริมาณน้ำลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมโยธาก้าวออกมา ชี้แจงปัญหาที่ได้รับมอบหมายให้ออกสำรวจแหล่งน้ำ"มีผู้ใดจะเสนอความคิดในการแก้ปัญหาบ้างหรือไม่" หนานหยางจง เจ้าแห่งแคว้นถามขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองทั่วทั้งท้องพระโรง แต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอย่างเช่นเคยเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างก็หาทางออกไม่ได้ เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยเจอปีไหนเลย ที่ภัยแล้งจะหนั
“ข้อหนึ่งหนูขอไปเกิดแบบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ คือหนูไม่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกแล้วค่ะ”อืม ข้อนี้ไม่ยากถือว่ายังให้ได้อยู่“ข้อสองหนูขอคนรักสักคนที่รักหนูคนเดียวไม่นอกใจค่ะ”ข้อนี้ก็ยังถือว่าง่ายไม่พิเศษอะไรนังหนูนี่ช่างมักน้อยซะจริง“และข้อสุดท้ายหนูขอความทรงจำเดิม และความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างของชาติเดิมค่ะ”“ได้ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามข้ามา” ยายเมิ่งตอบตกลงทุกเงื่อนไขที่ขอมาอย่างไม่ต้องคิด เพราะคำขอแต่ละข้อไม่ได้ถือว่าผิดต่อศีลธรรมอันใดแต่ก่อนจะให้เด็กสาวผู้นี้ลงไปเกิดนางอยากจะเอ่ยปาก พูดอะไรสักอย่างกับสตรีน้อยผู้นี้สักหน่อย“เดี๋ยวก่อนนังหนูเรื่องคนที่ทำให้เจ้าตาย เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะคนผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจ อย่าแช่งกันอีกเลยสำนึกผิดไม่ทัน”สตรีผู้นั้นตอบรับด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็ช่างเถอะไม่รู้เรื่องอันใดก็ดีแล้วกรี๊ดดดดดตู้มมมม"อภัยให้ข้าเถอะนังหนูเจ้าลีลาเกินไป หากเจ้าอยู่นานกว่านี้เห็นทีข้าจะโดนจับได้" แล้วยายเมิ่งก็เดินจากไปเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน"อยากเรียกข้าว่าป้าดีนักขอสักทีเถอะ" ว่าจะไม่ทำอันใดแล้ว คำก็ป้าสองคำก็เรียกป้าแค่ถีบตกบ่อยังน้อยไปหลังจากนั้นข้าคิดว่าชีวิตจะสงบสุขส
ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านตระกูลหวัง ทุกคนในบ้านต่างรักและตามใจข้าเป็นที่สุด ข้าคือสิ่งมหัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อเพราะแม้ว่าท่านพ่อดื่มยาห้ามบุตรที่มีฤทธิ์แรงที่สุด แต่ตัวข้าหวังเยี่ยนฟางผู้นี้สามารถฝ่ายาห้ามบุตรมาเกิดได้ฮะฮ่าทุกคนต่างเอ่ยชมความสามารถของท่านพ่อหวังอี้หลินมิได้หยุด เขาคือสุดยอดแห่งบุรุษของแคว้นเป็นลูกรักของเทพพระเจ้า บางคนร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าหรือแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้ดั่งใจสั่งเช่นท่านพ่อของข้าได้ แต่ก็นะคนเหล่านั้นพูดเกินจริงไปมากโข เป็นเพราะข้าผู้นี้อยากมาเองต่างหากหากจะถามว่าข้าผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียน พูดจาไพเราะราวกับนกน้อยร้องรับอรุณยามเช้า ความสามารถหรือก็มิแพ้ใคร รูปร่างสูงโปร่งอกเป็นอกเอวเป็นเอว ข้าผู้นี้มีนามว่า เมิ่ง เมิ่ง หรือก็คือยายเมิ่งที่เหล่ายมโลกเรียกขานกัน หุ หุอะ แฮ่ม เอาล่ะกล่าวชมตนเองมามากพอแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ย้อนไปเมื่อกาลก่อน"เมิ่ง เมิ่ง เจ้าฟังข้าก่อน งานข้ายุ่งมากไปกับเจ้ามิได้จริง ๆ อย่าโกรธข้าเลยนะ" ผู้คุมนรกชั้นอเวจีคอยควบคุมเหล่าวิญญาณชั้นเลว ชดใช้บาปกรรมโ
"อั๊กกก" ไม่ได้การแล้วมันช่างทรมานยิ่งนัก คงต้องหาอะไรที่ทำให้เขาหายจากอาการนี้หยงเจาฝืนทนพยายามลุกขึ้นยืนให้มั่น แต่ด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงทำให้เซถลาชนเข้ากับโต๊ะกลางห้องจนกวาดเอาถ้วยน้ำชาร่วงลงกับพื้น"ท่านหยงเจาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ท่านรออยู่นี่ก่อนข้าจะไปตามหมอให้" อาลี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินเสียงดังจากห้องของชายหนุ่ม จึงรีบเดินเข้ามาดู ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น หากเมื่อเดินเข้ามาสิ่งที่เห็นทำให้นางยิ่งตกใจ"ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบออกไปเถิดข้าขอร้อง" ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว หากช้ากว่านี้คงได้หน้ามืดล่วงเกินสตรีที่หลงรักตรงหน้าแน่"ทะ ท่านเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนบอกข้าสิ" เพราะความเป็นห่วงอาลี่จึงไม่ยอมขยับไปไหนยาที่หยงเจาได้รับในปริมาณมาก ทำให้ชายหนุ่มครองสติไม่ได้แล้ว เขาคว้าคอหญิงสาวโน้มลงมาพร้อมกับจุมพิตอันร้อนแรงอาลี่พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงของชายหนุ่มได้ จากขัดขืนในตอนแรกกลับกลายเป็นคล้อยตาม จนนางได้ตกเป็นของหยงเจาในคืนนั้น"ข้าจะรับผิดชอบเจ้า" หยงเจายังคงยืนยันคำเดิม เพราะตั้งแต่รู้สึกตัวตื่น เขาพยายามจะหว่านล้อมให้ร่างบางตรงหน้ายินยอม แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน
"หาา! นี่ท่านยังเกี้ยวอาลี่ไม่สำเร็จอีกหรือ จิ๊ก จิ๊ก ช่างไร้ฝีมือ" อาเล่อมองหน้าหยงเจาอย่างดูแคลน ขนาดว่านางเปิดโอกาสให้อยู่กันลำพังบ่อยครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จ"แล้วเจ้าเล่าเกี้ยวหานลู่สำเร็จแล้วหรือ ทำมาเป็นเย้ยข้า" ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ"ข้าไม่อยากจะคุย ข้ากับท่านหานลู่ตกลงศึกษาดูใจกันแล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ปลายปีนี้อาจจะมีข่าวดี" อย่างหลังไม่เป็นความจริงสักนิด นางก็แค่ใส่สีตีไข่เข้าไปให้ดูเหนือกว่าเท่านั้นเอง"จริงหรือ ข้าขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่" นางช่างเก่งกาจ"เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่ที่ฝีมือของแต่ละคนเจ้าค่ะ มิใช่เรื่องที่จะสอนได้โดยง่าย" นางลงทุนไปตั้งเยอะยังได้เพียงแค่ศึกษาดูใจเลย"ถ้าเจ้ามีแผนอะไรดี ๆ แนะนำข้าทีเถิด" ตนได้ลองมาหลายวิธีแล้ว สาวเจ้ายังไม่แม้แต่จะใจอ่อนเลย จะล้มเลิกไม่ตามเกี้ยวต่อก็ไม่ได้ ก็คนมันรักไปหมดใจแล้วจะให้ทำเช่นไร โอ๊ย ข้ากลุ้ม"อย่างนี้ดีหรือไม่ คืนนี้พวกท่านเปิดใจคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ต้องห่วงเรื่องอาลี่ข้าจะเป็นธุระให้เอง" อาเล่อพอจะรู้ว่าสหายผู้นี้มีใจให้กับท่านหยงเจาไม่มากก็น้อย และท่านหยงเจาก็ใจตรงกันอีกด้วย แล้วเพราะอะไรสหายรักถึงได้ไม่ใจอ