"นางหนูตื่น ๆ "
"อืม แจ๊บ ๆ อย่ากวน ข้าจะนอน คร่อกฟี้"
"ตื่น ๆ เจ้าจะนอนกินบ้านกินเมืองเลยหรือไง"
"อย่ากวน ก็บอกว่าคนจะนอนไงเล่า" หยุนชิงบ่นออกมาอย่างรำคาญ เมื่อมีบางอย่างรบกวนการนอนของตนเอง ทั้งที่ตายังหลับแต่มือก็ยังโบกปัดสิ่งที่มารบกวน
"ไม่ยอมตื่นใช่ไหม ได้! ข้าขอใช้วิธีเดิมก็แล้วกัน" ยายเมิ่งที่ความอดทนต่ำปลุกหญิงสาวตรงหน้าอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น จนนางต้องใช้วิธีสุดท้าย ก็คือยกฝ่าเท้าขึ้นก่อนจะสะกิดเล็กน้อยตรงบั้นท้ายอันงามงอนของร่างบางตรงหน้า
ตุ๊บ
โครม
"โอ๊ย!!!! "
ร่างบางที่กลิ้งหลุน ๆ ตามแรงถีบตอนนี้ถึงกับตื่นเต็มตา ก่อนจะค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งลูบก้นตัวเองปรอย ๆ พร้อมกับสะบัดหน้ามองแรงยายเมิ่งอย่างไม่พอใจ
"เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ ข้าปลุกดี ๆ แล้วเจ้าไม่ยอมตื่นเอง" ยายเมิ่งที่เห็นอีกฝ่ายมองแรงอย่างคาดโทษจึงรีบพูดอธิบาย นางก็ว่าออกแรงแค่นิดเดียวเองนะ
"คราวก่อนท่านก็ถีบข้านะเจ้าคะ แต่เดี๋ยวนะที่นี่ที่ไหนแล้วข้ามาอยู่กับท่านได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าตายแล้วนะ ไม่จริงข้ายังชื่นชมสามีสุดที่รักไม่หนำใจเลย ไหนจะกิจการข้า อาจูอีก" หยุนชิงมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีขาวโพลนเท่านั้น
"หยุดก่อน เจ้าจะมโนมากเกินไปแล้ว ฟังข้าพูดบ้าง เจ้ายังไม่ตายนี่คือมิติจิตเท่านั้น" ยายเมิ่งมองหยุนชิงอย่างระอา คิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่มาขอร้องคนตรงหน้า
"แหะ ๆ ก็ข้าตกใจนี่เจ้าคะ ว่าแต่ท่านมีอะไรหรือถึงได้มาหาข้า"
"ข้ามีเรื่องจะขอให้ช่วยสักเรื่องหนึ่ง พอดีว่าเพื่อนข้าลาพักร้อน ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดีข้าเลยจะฝากเจ้าดูแลพวกเขาสักหน่อย" ยายเมิ่งเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งฟังจึงได้รีบบอกวัตถุประสงค์ของตนให้อีกฝ่ายทราบ
"ได้สิเจ้าคะเรื่องแค่นี้เอง ว่าแต่มีใครบ้างล่ะข้าจะได้เตรียมต้อนรับถูก" หยุนชิงเห็นว่าแค่ช่วยดูแลเพื่อนของยายเมิ่งในช่วงลาพักร้อน ไม่ได้มีอะไรมากมายจึงตอบรับคำออกไป
"ขอบใจเจ้ามากน้องสาว หลิงอี้ เอ้อหลาง ซานเซียง นี่คือคนที่จะดูแลพวกท่านในช่วงพักร้อน นางคือแม่นางหยุนชิงมาทำความรู้จักไว้สิ"
สิ้นคำยายเมิ่งได้มีร่างสามร่างปรากฏกายขึ้น ทั้งสามมองหยุนชิงอย่างสนใจ คนนี้หรือที่พวกเขาจะต้องไปอยู่ด้วยในระหว่างพักร้อน มองดูแล้วหญิงนางนี้ก็น่าจะทำให้พวกเขาสนุกไม่น้อย
หยุนชิงมองทั้งสามที่ยืนอยู่ข้างยายเมิ่งอย่างพิจารณา คนแรกมีหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่ร่างกายกำยำผิวสีน้ำผึ้ง ดูแล้วน่าเกรงขาม คนที่สองหล่อเหลาไม่แพ้คนแรก หากแต่รูปร่างบางกว่าผิวขาวลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิ ส่วนคนสุดท้ายนางเป็นหญิงหน้ารูปไข่ ผิวขาวผุดผ่องปากนิดจมูกหน่อยรูปร่างถึงไม่กับงามล่มเมือง แต่หากใครได้เห็นก็ทำให้รู้สึกรักได้ไม่แพ้กัน
“คารวะพวกท่านทั้งสามเจ้าค่ะ ข้าหยุนชิงยินดีต้อนรับพวกท่าน มีสิ่งที่อยากได้เพิ่มเติมหรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
“ข้าพี่ใหญ่หลิงอี้ท่านไม่ต้องลำบากจัดเตรียมสิ่งใดให้กับพวกเราเลยขอรับ”
“ข้าเอ้อหลางน้องรองยินดีที่ได้รู้จักขอรับ”
“ข้าน้องเล็กซานเซียงเจ้าค่ะยินดีที่ได้รู้จัก”
ทั้งสามโค้งคำนับให้กับหยุนชิงอย่างนอบน้อมฝากเนื้อฝากตัว หยุนชิงเห็นแล้วก็นึกชอบทั้งสาม
ดูท่าทางใจดีแต่ละคนก็ต่างมีรูปลักษณ์โดดเด่นและยังพูดจาไพเราะ
“พวกท่านจะอยู่นานเท่าไรเจ้าคะ”
“ก็สักระยะขอรับ” จนกว่าจะหมดอายุขัยในโลกมนุษย์ หลิงอี้เป็นผู้ตอบแต่ก็ไม่ได้บอกความจริงไปทั้งหมด
“ท่านหยุนชิงท่านงดงามมากเลยเจ้าค่ะ” ซานเซียงเดินปรี่เข้ามากอดแขนหยุนชิงอย่างประจบ
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ” เล่นมาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ก็เขินเป็นเหมือนกันนะ หญิงสาวตอบรับอย่างเขินอายที่โดนชม
“หึ ทำเป็นประจบ” เอ้อหลางปรายตามองซานเซียงพร้อมกับพูดจิกกัดอีกฝ่าย
“นี่เจ้าเงียบไปเลยนะ อยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก” ซานเซียงต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ"
“พูดเรื่องจริงทำเป็นรับไม่ได้” เอ้อหลางยังคงยั่วโมโหอีกฝ่ายให้อารมณ์เสีย
“เจ้าคนปากเสียมาสู้กันให้รู้ผลกันไปเลย หากข้าชนะเจ้าต้องเรียกข้าพี่” ซานเซียงเดินออกมาประจันหน้าพร้อมกับชักกระบี่ในมือออกมาพร้อมกับการต่อสู้
“เหอะ หน้าอย่างเจ้าไม่มีทางชนะหรอก ข้ายินดีรับคำท้า หากเจ้าแพ้เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
หยุนชิงมองทั้งสองที่ทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ เริ่มจะปวดหัวกับสองคนนี้เต็มที เรื่องแค่นี้ก็หาเรื่องกันได้ นี่ถึงขนาดท้าตีท้าต่อยกันอีก เป็นลูกนางไม่ได้จะต้องโดนอบรมกันยกใหญ่แน่
“หยุด เลิกทะเลาะกันสักที หากยังทะเลาะกันเช่นนี้ก็ไม่ต้องไปกับข้า” เมื่อทนไม่ไหวเพราะไม่มีใครยอมใครร่างบางรีบแยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้
เอ้อหลางและซานเซียงถึงกับหยุดชะงักทันที ไม่ได้นะนานแค่ไหนกว่าที่พวกเขาจะมีเวลาได้หยุดพัก ท่านยมใช้งานไม่ได้หยุดหย่อน จะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ท่านหยุนชิง ข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าบ้านั่นแล้วเจ้าค่ะ ให้ข้าไปอยู่ด้วยเถอะนะ”
“ข้าก็จะไม่ถือสากับหญิงบ้าอย่างนางแล้วก็ได้ขอรับ”
ถึงแม้ปากจะบอกว่าเลิกทะเลาะ หากแต่สายตาและปากของทั้งสองยังขยับต่อว่ากันเหมือนเดิม หยุนชิงเห็นแล้วก็ได้แต่ระอา ส่วนยายเมิ่งได้แต่เป็นห่วงว่าหญิงสาวจะรับมือกับทั้งสามได้หรือไม่ เพราะทั้งโลกวิญญาณทั้งสามเป็นผู้คุมที่แสบที่สุดได้หรือไม่ ขนาดท่านยมยังยอมแพ้ นางก็ได้แต่ภาวนาให้หยุนชิงโชคดีแล้วกัน
“เรียบร้อยหมดแล้วขอรับ พวกเราปลอมเป็นชาวบ้านพ่อค้าและคนเร่ร่อนในแถบชายแดน กระจายกันไปทุกหัวเมืองเตรียมรับมือแล้วขอรับ” หานลู่“ดี อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นเราก็จะได้รับมือทัน ท่านอ๋องมีความคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินหันไปขอความคิดเห็นจากหนานฟาหยาง และเขาก็แน่ใจว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้จะยอมร่วมมือกัน“ในเมื่อเสด็จลุงอยากจะให้พวกเราผิดใจกันเราก็เล่นด้วยสักหน่อยจะเป็นไรไป” ในเมื่ออยากให้ผิดใจกันนักเขาก็จะจัดให้ ให้สาสมกับสิ่งที่เขาต้องทนทุกข์มานานนับปี“แล้วชายที่ถูกมัดอยู่ข้างนอกคือใคร” หนานฟาหยางถามขึ้นเพราะถ้าให้เดาก็คงจะมีส่วนกับกบฏครั้งนี้“เรียนท่านอ๋องเป็นคนของอ๋องห้าพ่ะย่ะค่ะ และเป็นผู้ที่ลงมือลอบสังหารพระชายาของท่านเมื่อหลายปีก่อน”“เจ้าว่าอย่างไรนะมันผู้นั้นหรือ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าไปพบบุตรสาวข้าได้อย่างไร แล้วองครักษ์จางหายไปไหน” ทันทีที่ได้รู้หนานฟาหยางถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ ลูกเขาภรรยาเขาเกือบต้องตายก็เพราะพวกมัน“จางจิ้นเป็นสหายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในตอนที่ได้เจอเขาก็เกือบจะสิ้นลมแล้ว เพียงแค่ฝากอาจูให้กระหม่อมดูแลต่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินบอกเล่าเรื่องร
อาหารค่ำมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพูดคุยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน บรรยากาศผ่อนคลายไม่ต้องกังวลหรือมีเรื่องให้ต้องคิด พวกเขาต่างอยากให้หยุดช่วงเวลานี้ไว้ให้นานกว่านี้อีกเหลือเกิน แต่งานเลี้ยงสักวันต้องมีการเลิกรา“ท่านอ๋องข้าขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” หวังอี้หลินเอ่ยบอกกับอ๋องหนุ่มหลังจากที่ทุกคนอิ่มแล้ว“มีสิ่งใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอพูดคุยกับท่านสักหน่อย เชิญท่านตามข้ามาทางนี้ขอรับ”อ๋องหนานฟาหยางหันไปมองภรรยา หนานเจียอีพยักหน้าให้กับสวามีเพื่อเป็นการบอกแก่เขาว่า ให้เขาไปทำธุระไม่ต้องห่วงตนหวังอี้หลินเดินพาอ๋องหนานฟาหยางไปยังโรงเก็บอาวุธ เมื่อมาถึงหยงเจาและหานลู่ได้รออยู่แล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปยังบุคคลจับมาได้ก่อนหน้านั้นด้านอ๋องหนานฟาหยางเมื่อก้าวเท้าเข้ามายังโรงเรือน เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดบ้านคนธรรมดาถึงได้มีอาวุธมากมายเพียงนี้ และยังมีอุปกรณ์สำหรับการใช้ทรมานคงจะไม่ธรรมดา ไหนจะบุรุษสองคนเดินตามหลังดูอย่างไรก็เป็นผู้ที่มีฝีมือ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่“เชิญท่านด้านในเถิดขอ
“ข้าอิจฉาเจ้านักอาชิงที่จะได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง ตอนอาจูเกิดมาได้ไม่กี่เดือนนางก็มาหายไปแล้ว ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่แม่เลย” ถ้าหากนางไม่ไร้ความสามารถก็คงจะมีเจ้าตัวน้อยเพิ่มได้ เป็นที่ตนไม่ดีเองที่ไม่สามารถมีอ๋องน้อยให้กับสามีได้“พี่สาวเหตุใดท่านไม่มีเพิ่มอีกสักคนล่ะเจ้าคะ” หยุนชิงถามด้วยความสงสัยเพราะตัวพระชายากับท่านอ๋องก็ไม่ได้เป็นหมันสักหน่อย อย่างไรก็อาจจะมีอีกคนได้ไม่ใช่หรือ“เป็นที่ข้าไร้ความสามารถเอง ร่างกายก็อ่อนแอเพียงนี้ ตอนนี้มีอาจูก็เพียงพอแล้วล่ะ”“พี่สาวจะว่าอะไรหรือไม่หากข้าจะถามท่านสักเรื่อง” หยุนชิงที่หั่นฟักทองเรียบร้อยแล้ว หันกลับมานั่งคุยกับหนานเจียอีระหว่างรอน้ำกะทิเดือด“ได้สิเจ้าจะถามเรื่องอะไรหรือ”“ท่านกับท่านอ๋องแบบว่าบ่อยหรือไม่เจ้าคะ” หยุนชิงใช้นิ้วชี้ทั้งสองนิ้วประกบกัน จะให้นางพูดออกมาตรง ๆ เลยก็เกรงใจเพราะมีเด็กอ้วนนั่งกินขนมอยู่บนตักของหนานเจียอีด้านหนานเจียอีเมื่อเห็นน้องสาวทำท่าทางให้ดูตนเข้าใจได้ทันที ใบหน้าขาวเนียนก้มลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตามุมปากอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นสองนิ้ว“หา! วันละสองครั้งหรือเจ้าคะ” หยุนชิงอุทานขึ
เมื่อความทุกข์ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจวนอ๋องได้ถูกปลดปล่อย บัดนี้มีเพียงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันพวกเขาต่างสาบานว่า ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาพรากบุคคลที่เป็นดั่งดวงใจไปได้อีกใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าเสียงร้องไห้ปนหัวเราะอย่างมีความสุข พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ช่างเป็นภาพที่หยุนชิงประทับใจที่สุด"ท่านอ๋องพระชายาเพคะ วันนี้อยู่เสวยที่เรือนหม่อมฉันดีหรือไม่ หม่อมฉันอยากจะเลี้ยงฉลองที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เพคะ" หยุนชิงเอ่ยชวนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอยู่ร่วมทานมื้อเย็นด้วยกันก่อน เพราะนางอยากจะจัดเลี้ยงฉลองให้กับครอบครัวของท่านอ๋องที่ได้เจอบุตรสาวของตนสักที"เช่นนั้นข้ารบกวนพวกเจ้าแล้ว" อ๋องหนานฟางหยางตอบรับไมตรีด้วยความยินดี"อาชิงเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเช่นเดิมเถอะ พวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลเจ้าก็เหมือนกับน้องสาวข้า" หนานเจียอีเดินเข้ามาจับมือของหยุนชิง ใจจริงนางอยากจะให้หญิงสาวตรงหน้ามาเป็นน้องสาวบุญธรรมซะด้วยซ้ำไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องพูดคุยกับท่านอ๋องเสียก่อน"จะดีหรือเจ้าคะ จะไม่ดูเป็นการทำตัวเสมอพระองค์หรือเพคะ""ไม่หรอกเอาตามที่น้องหญิงบอกเถอะ เจ้ากับสามีก็เรียกข้าว่าพี่
“หยกนี้อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่บุตรสาวของข้า และยังเป็นของที่หายากทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”“ท่านทั้งสองรอสักครู่” หยุนชิงมองหยกเพียงแค่นิดเดียวนางก็รู้แล้วว่าอาจูน้อยคือบุตรสาวที่หายไปของผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า แต่ก่อนที่นางจะบอกความจริงขอนางได้พูดคุยกับอาจูน้อยก่อนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เฝ้ารอหยุนชิงอย่างใจจดจ่อเพียงแค่ได้ข่าวสักนิด หรือมีเบาะแสเพื่อตามหาบุตรสาวก็ยังดี การตามหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องมีสักวันต้องได้เจอกันอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ก็ยินดีหยุนชิงหลังจากขอตัวออกมานางเดินตรงไปยังห้องอาจูกำลังเรียนคัดอักษร ก่อนจะพาอาจูไปรู้จักพ่อแม่คงต้องถามความสมัครใจของลูกก่อน ไม่ว่าเด็กน้อยจะตัดสินใจอย่างไรตัวนางกับสามี ก็พร้อมจะเคารพการตัดสินใจอยู่แล้ว“ท่านอาจารย์ข้าจะขอตัวอาจูสักครู่จะเป็นการรบกวนหรือไม่เจ้าคะ”“โอ้ ไม่เลยข้าสอนนางเสร็จพอดีตามสบายเถอะ ยังไงข้าขอตัวกลับเลยแล้วกัน”“ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าให้คนไปส่ง” หยุนชิงหันไปบอกให้อาลี่ผู้คอยดูแลอาจู ออกไปจัดหารถม้าเพื่อไปส่งท่านอาจารย์“ท่านแม่วันนี้ท่านอาจารย์สอนให้จูเ
หยุนชิงกับหวังอี้หลินตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ จะต้องสอบถามเรื่องอาจูน้อยให้แน่ชัด อาจูน้อยของนางจะได้กลับสู่ครอบครัวที่แท้จริงสักทีถึงแม้อีกใจหนึ่งจะรู้สึกไม่ยินยอมเพราะความรักและผูกพันที่มีให้กัน แต่หากนางเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะเจ็บปวดไม่แพ้กันดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือการให้อาจูน้อยกลับสู้อ้อมกอดของพ่อแม่ที่แท้จริงอย่างน้อยอ๋องหนานฟาหยางก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการกบฏในครั้งนี้ และอีกเรื่องที่สำคัญเขามีภรรยาเพียงผู้เดียวไม่มัวเมาในสตรี ดังนั้นปัญหาเรื่องหลังบ้านก็จะไม่มีให้เรื่องวุ่นวาย หรือชิงดีชิงเด่นกันดั่งเช่นจวนอื่นส่วนหวางเฟยก็เป็นสตรีที่ดีงามใจดีและอ่อนโยนเพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกตนมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าอาจูของพวกเขาจะอยู่ได้อย่างมีความสุขแน่นอน“คารวะท่านอ๋อง กับหวางเฟย เพคะ /พ่ะย่ะค่ะ” สองสามีภรรยารีบออกมาต้อนรับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากกว่านี้เนื่องจาก กว่าจะตกลงพูดคุยกันได้ก็ทำให้แขกต้องรอนานทีเดียว“ไม่ต้องมากพิธีหรอกทำตัวตามสบายเถอะ” อ๋องหนุ่มเอ่ยบอกด้วยท่าทางสบายไม่ได้ถือสาสิ่งใด“ขอบพระทัยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”“อาจูล่ะไม่อยู่หรือข้าคิดถึงนางนัก ข้าทนไม่ไหวเลยมาแบบมิได้บอกพวกเ
สองสามีภรรยานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลหวัง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไรนัก บรรยากาศในรถม้ามีเพียงแต่ความเงียบ จนทำให้หนานเจียอีเริ่มจะทนไม่ไหว กับแรงกดดันที่ถูกแผ่ออกมาจากคนด้านข้าง หากแต่ยังไม่ทันที่นางจะเริ่มพูดสิ่งใดรถม้าได้หยุดลงพอดี เนื่องจากถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"ทูลท่านอ๋อง กับพระชายาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ถึงแม้จะมีเพียงความเงียบให้กันแต่อ๋องหนุ่มก็ยังคงปฏิบัติต่อพระชายาตนด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม มือหนายื่นออกไปรอรับร่างบางลงจากรถม้า เพื่อช่วยประคองไม่ให้สะดุดล้มระหว่างก้าวลงเมื่อทั้งสองได้เห็นบรรยากาศโดยรอบมันทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายนัก ช่างดูเป็นบ้านที่อบอุ่นเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ร่มรื่นยิ่งนัก"ท่านพี่ทำอะไรอยู่เจ้าคะ" หยุนชิงที่เดินเอามะม่วงเข้ามาในห้องเห็นสามีนางกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง ราวกับคนแอบทำอะไรลับหลังมิให้ผู้อื่นรู้เช่นนั้นแหละหวังอี้หลินกำลังกัดดอกไม้กินจนเต็มปากต้องสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองภรรยารักแต่ก็ไม่วายจะกัดดอกไม้อีกดอกเข้าเต็มปากเคี้ยวกลืนอย่างอร่อย เขากลัวว่าผู้อื่นจะมาเห็นตอนที่ตนกินดอกไม้ แล้วมองว่าประหลาดแต่ทำอย่างไรได้ก็กลิ่นดอกไ
"ทูลท่านอ๋องหวางเฟยขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" กงกงคนสนิทเดินเข้ามารายงานภายในห้องทรงอักษรด้วยฝีเท้าที่บางเบา เนื่องด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเจ้านาย"ให้นางเข้ามา" เมื่อเห็นว่าทำงานทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาจึงวางพู่กันและพับเก็บงานต่าง ๆ ไว้ข้างโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยอนุญาตหลังจากได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นนาย กงกงจึงได้เดินตรงไปเปิดประตูให้กับหวางเฟยที่ยืนรออยู่หน้าประตู"เชิญหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ" หลังจากที่หวางเฟยเดินเข้าไปในห้อง เขาจึงปิดประตูให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวถอยออกไปสองก้าวยืนคอยรับใช้ผู้เป็นนาย"น้องหญิงเหตุใดวันนี้ถึงได้มาหาพี่ถึงที่นี่" อ๋องหนุ่มรีบก้าวออกไปประคองภรรยาผู้เป็นที่รักอย่างทะนุถนอมทันทีที่เห็นนางเดินเข้ามา"หม่อมฉันจะมาขออนุญาตออกจากวังไปเยี่ยมบ้านตระกูลหวังเพคะ" หนานเจียอียิ้มให้พระสวามีอย่างอ่อนหวาน แม้จะนานเพียงใดสวามีนางก็ยังอ่อนโยนกับนางเสมอ ถึงแม้ตอนที่แต่งเข้าจวนอ๋องจะไม่มีใจรักต่อกัน หากแต่พออยู่ด้วยกันนานเข้าเป็นนางเองรักไปตอนไหนก็ไม่รู้"เจ้ามีสิ่งใดหรือถึงไปที่นั่นให้คนไปทำแทนก็ได้ ร่างกายเจ้ายิ่งร่างกายอ่อนแอ พี่เกรงว่าหากต้องลมมากไปจะไม่สบาย""ทูลตามตรง หม่อมฉันคิดถึงอาจูน
"กินสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ กินเสร็จจะได้ทานยา" ร่างบางหยิบถ้วยข้าวขึ้นมาก่อนจะตักและเป่าเพื่อคลายความร้อน เมื่อแน่ใจว่าสามารถกินได้จึงได้ยื่นไปให้ชายหนุ่มหวังอี้หลินเพียงได้กลิ่นเขาก็เบ้หน้าแล้ว ถึงจะกลิ่นไม่แรงแต่ก็ยังรู้สึกเหม็นอยู่ดี เพื่อไม่ให้ภรรยาตัวน้อยเสียใจ เขาจึงทนกลืนโจ๊กในถ้วยไปได้ไม่กี่คำก่อนที่จะทนกินต่อไม่ไหวเมื่อเห็นว่าสามีฝืนกินไม่ได้แล้วหยุนชิงจึงไม่เซ้าซี้ให้ทานต่อ ก่อนจะให้เขาทานยาและนอนพักผ่อน หากแต่ยังไม่ทันจะเก็บถาดไปวางไว้ที่โต๊ะ ร่างหนาที่นอนไร้เรี่ยวแรงถามขึ้นก่อน"ชิงเอ๋อร์ในจานนั้นอะไรรึ" ชายหนุ่มชี้ไปที่มะม่วงน้ำปลาหวานอย่างสงสัย ปกติคนทั่วไปเขาไม่กินมะม่วงดิบกันนางจะเอามาทำอะไร"มะม่วง ส่วนนี่คือน้ำจิ้มเรียกว่าน้ำปลาหวานเจ้าค่ะ ท่านพี่ลองชิมดูสิอร่อยนะ" หยุนชิงหยิบมะม่วงมาหนึ่งชิ้นก่อนจะจิ้มน้ำปลาหวานแล้วมาจ่อที่ปากชายหนุ่ม"มันกินได้แน่รึ" หวังอี้หลินยังคงมองมะม่วงชิ้นนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ"กินได้สิเจ้าคะลองดู" มีใครกินมะม่วงดิบแล้วตายบ้างนางยังไม่เคยเห็นนะ คนโบราณนี่ก็อะไร ไม่รู้จักของแซ่บของอร่อย ถ้ามีปลาร้านะนางจะตำมะม่วงเผ็ด ๆ แซ่บ ๆ พูดแล้วก็น้ำลาย