ดวงตาจวงชิ่งหมิงเบิกโพลงอย่างงุนงงจั๋วซือหรานอยู่ข้างๆ ได้ยินคำนี้ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน"ตัวตนอย่างวิญญาณวัตถุโดยธรรมชาติ พบได้แต่มิอาจไขว่คว้า ไม่ใช่แค่ตระกูลของเจ้าที่ต้องการตัวตนที่ควบคุมได้และใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ แต่สภาผู้อาวุโสเองก็ไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกันปันอวิ๋นมองเขา "ดังนั้นการกระโดดจากตระกูลไปหาสภาผู้อาวุโส ไม่ได้ถือเป็นการช่วยเหลือกอบกู้ แต่เป็นแค่กระโดดจากหลุมหนึ่งไปอีกหลุมหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ว่าในหลุมนี้อาจจะมีอิสระมากกว่าหลุมก่อนหน้าก็เท่านั้น""ขอแค่เจ้ายังเป็นตัวตนที่ควบคุมได้ คนของสภาผู้อาวุโส ก็น่าจะปล่อยเจ้าได้ชั่วคราว แค่ใช้งานเจ้าตอนที่ต้องการใช้ก็พอ"หลังจากปันอวิ๋นพูดคำนี้ ก็ชะงักลงไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า "หลายปีนี้ เจ้าน่าจะเคยทำงานให้สภาผู้อาวุโสบ้างใช่ไหม?"จวงชิ่งหมิงออกแรงบิดนิ้ว เวลาที่เขากระวนกระวาย จะทำแบบนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นนิสัยที่ติดมาก่อนที่จะรักษาหายดีจวงชิ่งหมิงนึกได้ว่าช่วงหลายปีนี้ก็หลอมสกัดของไปไม่น้อยเลย เพียงแต่เทียบกับในตระกูลแล้ว ดูสบายกว่ามากแต่ถ้าให้พูดขึ้นมาจริงๆ ด้านคุณสมบัติก็ยังคงเป็นแบบเดียวกั
แต่ถ้าจะบอกว่าหรูหรา ก็ไม่ขนาดนั้น"นั่งสิ"ปันอวิ๋นชี้ไปที่ม้านั่งหินเย็นข้างๆ โต๊ะหินหยกเย็น จากนั้นตัวเขาก็เดินไปนั่งลงที่เตียงหินหยกเย็นข้างๆ ตัวหนึ่ง"ม้านั่งนี้เจ้านั่งน่าจะสบายหน่อย" ปันอวิ๋นบอกเฟิงเหยียนเฟิงเหยียนเองก็มองออกว่านี่คือหินหยกเย็น ก่อนที่จะนั่งลง เขาก็ยื่นมือไปดึงจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานก้มหน้ามองแรงกระชากเบาๆ ที่นิ้วของนาง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น "อื๋อ?""อย่านั่ง" เสียงของเฟิงเหยียนทุ้มต่ำปันอวิ๋นเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น "อ๊ะจริงด้วย สภาพร่างกายเจ้าตอนนี้ไม่ควรสัมผัสกับหินหยกเย็นนี่"จั๋วซือหรานเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจกับมัน นางยืนก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ใครจะรู้ ว่าปันอวิ๋นจะหักคำพูดลงมา "ดังนั้นเจ้าก็นั่งขนตักเฟิงเหยียนเถอะ"จั๋วซือหราน "..."นางรู้สึกว่าตนเองยืนก็ไม่มีปัญหาแต่เฟิงเหยียนกลับไม่มีข้อโต้แย้งใดกับข้อเสนอของปันอวิ๋น พอนั่งลงบนม้านั่งหิน ก็ตบที่ต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างตรงไปตรงมาจั๋วซือหรานคิดว่าตนเองเป็นคนหน้าด้านพอตัวแล้วนะ แต่ก็ยังอดร้อนผ่าวที่ใบหน้าไม่ได้นางกระแอมเบาๆ ไม่ยอมนั่ง แต่รีบเปิดหัวข้อสนทนา "ป๋อยวนถูกคนของสภาผู้อ
จั๋วซือหรานเอียงหัวมองเขาผาดหนึ่ง ความหมายชัดเจนอยู่แล้วถึงอย่างไรก็อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษมานาน แม้ปันอวิ๋นจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าเขากับจั๋วซือหรานก็มีความรู้กันแล้วจริงๆพอเห็นสายตาของจั๋วซือหราน ปันอวิ๋นก็รู้ว่า ที่จะแอบดอดไปนอนนี่น่าจะหมดหวังแล้วเขามองเฟิงเหยียนอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ความหายาลูกกลอนกระตุ้นสมองออกมาเคี้ยวกร้วมๆกวักมือเรียกศิษย์สำนักเข้ามา กำชับไปคำหนึ่งเซี่ยอวิ๋นซีแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาวมาก แต่ก็รู้ว่าลูกสาวปกติเป็นคนมีแผนการในใจอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสภาพเองก็ดูดีอยู่ จึงพอวางใจลงได้ชั่วคราว บวกกับเสี่ยวหวายเองก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ต้องเข้าใจสถานการณ์ช่วงนี้ดีแน่ๆ อีกเดี๋ยวค่อยถามเสี่ยวหวายเอาดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาก พยักหน้าตามจั๋วหวาย ตรงไปยังห้องพักที่จัดไว้แล้วพร้อมศิษย์สำนักจั๋วเฮ่ออิงเดิมทีควรจะตามศิษย์สำนักไปด้วยกัน แต่เขาก็ยังไม่วางใจจั๋วซือหราน จึงยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจั๋วซือหรานก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร มองเขาด้วยสายตาราบเรียบครู่ต่อมา จั๋วเฮ่ออิงก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว หลังจากกวาดสายตามองนางไปทั้งตัวแล้
"ข้าเองก็วางใจไม่ลง ดังนั้นคิดๆ แล้ว จึงตามนางมาดูด้วยกันเลย การเดินทางนี้ก็ไกลพอควรด้วย ระหว่างทางยังคอยปกป้องความปลอดภัยของนางได้ ป๋อยวนเองก็เลยมาด้วยกัน"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะเป็นห่วงจนลนลานทำอะไรไม่ถูก แล้วก็รีบบุ่มบ่ามเข้ามาที่นี่เสียอีกคิดไม่ถึงว่า ท่านแม่จะเป็นเหมือนที่นางคาดไว้ ช่วงเวลาที่ท่านแม่ต้องลุกขึ้นยืน นางก็จะทำได้เป็นอย่างดีและจากในคำพูดของจวงชิ่งหมิงก็ฟังออกไม่ยาก ว่าการกระทำนี้เป็นการตัดสินใจในฉับพลัน ไม่ได้วางแผนกันล่วงหน้าดังนั้นตามหลักการแล้ว ก็ไม่น่าถูกพวกสภาผู้อาวุโสรู้แผนล่วงหน้าแล้วมาดักซุ่มเล่นงานได้...สีหน้าจั๋วซือหรานดูแล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่จวงชิ่งหมิงแม้จะอ่านความหมายลึกซึ้งในสีหน้าครุ่นคิดของนางไม่ออก แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างนางคนนั้น ทั้งๆ ที่จำเรื่องราวในอดีตกับตัวนางไม่ได้แล้วแท้ๆกลับแค่เหลือบตามองสีหน้านาง ก็เหมือนจะอ่านความหมายลึกซึ้งในสีหน้านางออกแล้วเขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "โถงลงโทษสภาผู้อาวุโสไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ แต่จะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าเสมอ"ในใจจั๋วซือหรานเดิ่มทีก็คิ
‘จั๋วจิ่วปกป้องชิ่งหมิงฝากด้วยนะ'จั๋วซือหรานมองอักษรพวกนี้ ก็อดถอนใจเงียบๆ ออกมาไม่ได้ชิ่งหมิงยืนอยู่ข้างๆ เนื้อหาอักษรไม่กี่ตัวนั้น เขาเองก็เห็นมันอย่างชัดเจนบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่ไม่มีน้ำตาใดๆ แต่ดวงตากลับแดงก่ำ"..." จั๋วซือหรานเม้มปาก มองชิ่งหมิง เรียกขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ "ชิ่งหมิง..."แต่ชิ่งหมิงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่พูดจาตะกุกตะกักแบบแต่ก่อนแล้ว จั๋วซือหรานรักษาอาการป่วยเรื้อรังของเขาจนหายดีแล้วเขาในตอนนี้ เป็นชายหนุ่มที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ได้แล้วดังนั้นตอนนี้ เขาไม่รอให้จั๋วซือหรานได้ปลอบหรือเกลี้ยกล่อม เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า "ดู่ท่าป๋อยวนจะถูกพวกเขาพาตัวไปแล้ว พวกเรามาเสียเวลาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร"จวงชิ่งหมิงเอียงตามองไปทางจั๋วซือหราน "ไปเถอะ ไม่งั้นอีกเดี๋ยว..." เขามองไปทางเส้นขอบฟ้า "...ฟ้าจะสางแล้ว"เขาเข้าใจสถานการณ์ของเฟิงเหยียนอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานมองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ "ได้ เช่นนั้นไปกันก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยหารือกัน"หลังจากชิ่งหมิงเดินออกไปสองสามก้าว ก็หันกลับไปมองยังจุดก่อนหน้านี้ ร่องรอยหลุมบ่
ริมฝีปากจวงชิ่งหมิงเม้มแน่น เขายืนยันได้แล้ว ว่าป๋อยวนออกไปพร้อมอาการบาดเจ็บ ถูกพวกเขาทำร้าย กระทั่งบาดเจ็บจนสูญเสียความสามารถการเคลื่อนไหวด้วย...จั๋วซือหรานลูบผ้าชิ้นนี้อีก เหมือนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจางๆ นางขมวดคิ้ว"เดี๋ยวนะ..." จั๋วซือหรานขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นชิ่งหมิงงงงันไป "มีอะไรหรือ?""เหมือนไม่ใช่แค่รอยเลือดเท่านั้น" จั๋วซือหรานพูดพลางหยิบผ้าผืนนั้นวางไปที่แสงไฟของคบเพลิงแล้วดูอย่างละเอียดถ้าหากเป็นแค่รอยเลือด รอยเลือดมันจะไม่..ละเอียดแบบนี้รอยเลือดหลังมนุษย์บาดเจ็บ ปกติจะเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่รอยเลือดที่ละเอียดแบบนี้ กลับดูคล้าย...เขียนอักษร?พอเห็นจั๋วซือหรานมองรอยเลือดนี้อย่างละเอียด เฟิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นเสียงต่ำ "มีตัวอักษรอยู่หรือ?"จั๋วซือหรานพยักหน้าเงียบๆ "แต่มองไม่ค่อยชัด นี่เป็นชุดสีดำ..."จะหาอักษรเลือดบนเสื้อสีดำ ภายใต้สภาพที่แสงสว่างแรงมากบางทีอาจยังพอทดลองดูได้ตอนนี้ในความมืดที่ไม่มีแสงไฟ นอกจากแสงของคบเพลิงแล้ว ก็มีแค่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเท่านั้นหากคิดจะมองเห็นตัวอักษรเลือดบนเสื้อผ้าสีดำ ถือเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ไม่รู้เพราะอะไร จั๋วซือห
ตาของจั๋วซือหรานก็แหงนขึ้นฉับพลันเช่นกัน มองไปทางเฟิงเหยียนเพราะถ้าหากจั๋วซือหรานจำไม่ผิด ตอนนั้นที่เฟิงเหยียนกับฉุนจวินถูกลอบทำร้าย เฟิงเหยียนนำพลังวิญญาณที่นางเอาไว้ให้ใช้ปกป้องแสงแดดรุกล้ำบนตัวเขา ไปใช้ปกป้องชีวิตของฉุนจวินทั้งหมดส่วนตัวเขาก็ถูกคนพวกนั้นพาไป ตอนนั้นคนเหล่านั้น...ก็เป็นกลุ่มสิบคนเห็นได้ว่า นับจากตอนนั้น ตระกูลเฟิงเป็นแค่ชนวนเท่านั้น ตัวสำคัญอยู่ที่สภาผู้อาวุโสมาตลอดริมฝีปากชิ่งหมิงสั่นระริกเบาๆ "ดังนั้นก็คือ...คนของสภาผู้อาวุโสลงมือ พาตัวป๋อยวนไป"เขากระทั่งไม่ใช้ประโยคคำถาม น้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจมากสำหรับตัวตนฐานะของเฟิงเหยียน ชิ่งหมิงอันที่จริงคาดเดาไว้แล้ว ถ้าหากเป็นเขาในอดีตที่ยังไม่รู้เรื่องราว คงเดาไม่ออกแน่นอนแต่เขาตอนนี้ ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจได้ปรุโปร่งมากขึ้นต่อให้ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน ก็มีการคาดเดาไว้บ้างแล้วต่อฐานะของเฟิงเหยียนเช่นนั้นความน่าเชื่อถือของคำพูดเฟิงเหยียนจึงไม่ต้องสงสัยเลยจั๋วซือหรานเดิมทีไม่รู้สึกว่าชิ่งหมิงจะไปอยู่แล้ว ตอนนี้จึงยิ่งไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอะไรเดิมทียังคิดว่าจะรอให้ฟ้
จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไร แค่หันหน้าไปบอกคำหนึ่งกับชิ่งหมิงว่า "รอข้าครู่หนึ่ง ข้าขอทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นสถานการณ์แบบไหน่"เพราะตอนแรกข่าวที่ตระกูลซางเผยออกมา พวกเขาล้วนเข้าใจว่าจั๋วซือหรานมีความสามารถของนักภาษาสัตว์ ดังนั้นให้รอนางเข้าไปพูดคุยกับอสูรกลืนแมลงนั่นก่อนในมิติ อสูรกลืนแมลงตัวนั้นหายใจรวยริน นอนอยู่ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลที่สุดสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ก็ล้วนเว้นระยะห่างจากมันหลังจากจั๋วซือหรานเข้ามาในมิติ ก็สาดน้ำของน้ำพุวิเศษใส่มันทันทีสัตว์อสูรที่แต่เดิมดูร้ายกาจมาก อาจจะเพราะมันบาดเจ็บสาหัส บวกกับหลังจากสัตว์ประหลาดเข้ามาในมิติน้ำพุวิเศษ รูปร่างของมันจะปรับตัวไปด้วยดังนั้นมันตอนนี้จึงดุแล้ว รูปร่างไม่ได้ใหญ่โตเหมือนตอนอยู่ด้านนอกแบบนั้นในความรู้สึกก็ไม่ได้ดูชั่วร้ายแบบนั้นแล้ว สภาพหายใจรวยริน ก็ดูน่าเวทนาอยู่เหมือนกันพอเห็นจั๋วซือหรานเดินเข้าไป หนังตาของมันก็เลิกขึ้น ดูน่าสงสารมากมือของจั๋วซือหรานกดอยู่บนตัวมัน บาดแผลที่ถูกน้ำพุวิเศษสาดไปก่อนหน้า หลังจากสัมผัสกับพลังวิญญาณของจั๋วซือหราน ก็ยิ่งสมานตัวกันไวขึ้นในดวงตาครึ่งเปิดครึ่งปิดของมัน ความอ่อนแอใน
จวงชิ่งหมิงมองไล่ไปตามสายตาจั๋วซือหราน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยสมองสับสนที่พูดจาตะกุกตะกักแบบตอนนั้นแล้วดังนั้นจากสายตานี้ของจั๋วซือหราน ในสมองเขาก็มีปฏิกิริยาต่อความหมายของนางอย่างรวดเร็ว"เจ้าจะบอกว่า..." ดวงตาของจวงชิ่งหมิงที่เดิมทีดูหม่นแสงสิ้นหวัง ก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย จ้องมองจั๋วซือหรานนิ่ง ความหวังเหล่านั้น ราวกับเป็นแสงเรืองรองสุดท้ายในความมืดมิดจั๋วซือหรานประกบสองมือเข้าด้วยกัน ถูๆ ฝ่ามือ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าลองดูหน่อย ช่วงนี้สภาพร่างกายยังไม่ค่อยดี เจ้ายักษ์นี่ก่อนหน้าก็ไม่ค่อยลงรอยกับข้าด้วย บางที...ข้าคงต้องลุยเต็มที่หน่อย"จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้เคยปะทะกับอสูรกลืนแมลงตัวนี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่กล้าพูดโอ้อวด หนึ่งเพราะเคยสู้กันมาแล้ว สัตว์ประหลาดบางตัวก็หยิ่งทะนงมาก ยอมตายมากกว่ายอมจำนนยิ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่พลังแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งวิวัฒนาการสติปัญญาได้มากขึ้นเท่านั้น ในด้านนี้พวกมันก็ยิ่งหยิ่งผยองขึ้นไปอีก ไม่แน่อาจจะไม่ยอมศิโรราบต่อจั๋วซือหรานก็ได้สองคือเพราะ ชิ่งหมิงตอนนี้คาดหวังมากสำหรับความคาดหวังที่มากเกินไปของคนอื่น กระทั่งการให้ความหวัง