“เจ้า!” นัยน์ตาของโฉวสือชีเต็มไปด้วยความโกรธ“วางกระบี่ลง ยอมจำนนแต่โดยดีเสีย!”ฉีอวี้มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่เขาโฉวสือชีขมวดคิ้วแน่น หลังจากต่อสู้กับใจตนเองแล้ว เขาก็โยนกระบี่ทิ้งไปคนของอวี๋หลินกระโจนเข้ามาจับตัวโฉวสือชีในทันที โฉวสือชีมิได้ต่อสู้“จับไปพร้อมกัน!”อวี๋หลินเห็นว่าฟ้ามืดลงแล้ว จึงสั่งให้คนจับตัวทั้งสองมัดไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังลานประมูลทองคำ......ลั่วชิงยวนเพิ่งกินอาหารเย็นกับพ่อบุญธรรมเสร็จ จู่ ๆ ก็มีผู้คุ้มกันมารายงานว่า “มิดีแล้วขอรับ อวี๋หลินกำลังเกี้ยวพาราสีฉีอวี้อยู่บนถนน โฉวสือชีเข้าช่วยเหลือ จึงถูกจับตัวไปพร้อมกันขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รีบลุกขึ้นยืน “ว่ากระไรนะ?!”“อวี๋หลินไปที่ใด?”กล้าจับคนของนางได้อย่างไร!“ไปที่ลานประมูลทองคำขอรับ!”ลั่วชิงยวนรีบพาคนวิ่งออกจากประตูใหญ่ไปทันใด......ที่ลานประมูลทองคำในห้องพัก โฉวสือชีและฉีอวี้ถูกมัดด้วยเชือกฉีอวี้หวาดกลัวมาก โฉวสือชีคอยปลอบโยนนางด้วยสายตาตลอดเวลาแสดงว่าพวกเขาจะมิเป็นอะไรเพราะที่นี่คือตลาดมืด อวี๋หลินมิสามารถก่อเรื่องใหญ่ได้ทว่าการสบตากันของทั้
ฉีอวี้ฉวยโอกาสที่สินค้าดี ๆ เพิ่งถูกนำออกมาขาย ตั้งใจจะเลือกพู่กระบี่ชิ้นหนึ่งมอบให้โฉวสือชีในขณะนั้นเอง อวี๋หลินก็กำลังเดินเล่นไปตามถนนเช่นกันเขาเห็นเงาร่างของฉีอวี้แวบหนึ่งเขาลูบปลายคางแล้วเดินเข้าไป มองสำรวจเด็กสาวตรงหน้า “แม่นางผู้นี้ช่างคุ้นตา ข้าเคยพบเจ้าที่ใดมาก่อนหรือไม่?”ฉีอวี้ตกใจจนรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วมองเขา “ข้ามิรู้จักท่าน จะเคยพบกันได้อย่างไร”กล่าวจบ ฉีอวี้ก็หันหลังเดินจากไปอวี๋หลินกลับรีบวิ่งเข้าไปขวางนางไว้ ใช้สายตามองสำรวจฉีอวี้ “เช่นนั้นพวกเรามารู้จักกันตอนนี้เลยดีหรือไม่ แม่นางมีนามว่าอะไร?”“ข้าคือหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าเมืองตลาดมืด! ต่อไปทั้งตลาดมืดนี้จะเป็นของข้า!”“แม่นางใคร่ได้สิ่งใด ข้าก็จะซื้อให้!”ขณะที่อวี๋หลินกล่าว บ่าวรับใช้ด้านหลังก็รีบเข้ามาล้อมฉีอวี้ไว้ฉีอวี้มองพวกเขาอย่างระแวดระวัง “มิต้องการ ข้ามิซื้อสิ่งใดหรอก!”“แล้วข้าก็มิได้รู้จักท่านด้วย”กล่าวจบ ฉีอวี้ก็เตรียมจะเดินเลี่ยงพวกเขาออกไป แต่ก็ถูกขวางไว้อีกครั้ง“พวกเจ้าต้องการอะไร!” ฉีอวี้เริ่มโกรธเล็กน้อยอวี๋หลินมองสำรวจฉีอวี้แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้าวเข้าไปคว้าข้อ
สายตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ใครก็ได้!”“ไล่ออกไป!”อวี๋หลินดิ้นรนสาปแช่งพลางตะโกน “ปล่อยข้า! ข้าต่างหากคือคนสกุลอวี๋ เจ้ามีสิทธิ์กระไรมาไล่ข้า!”ลั่วชิงยวนมิได้ไว้หน้าแม้แต่น้อย ออกคำสั่งไล่เขาออกไปอย่างนั้นของกำนัลทั้งหมดที่เขานำมา ลั่วชิงยวนก็โยนคืนให้เขาไปด้วย“มาจากไหนก็กลับไปทางนั้นเสีย”อวี๋หลินโกรธจัด ลุกขึ้นจากพื้นแล้วตบฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะชี้หน้านาง “เจ้าคอยดูเถิด!”เมื่อเขากล่าวจบก็พาคนออกไปจากนั้นลั่วชิงยวนจึงกลับมายังลานบ้าน ส่วนผู้อาวุโสอวี๋เดินออกมาแล้วลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “เขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของท่านพี่หรือเจ้าคะ?”ผู้อาวุโสอวี๋พยักหน้า “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่กับพวกเรา ยังมิได้แยกบ้านกัน”“อวี๋หงดูแลกิจการเพียงลำพัง ส่วนพวกเขาเอาแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มิทำอะไรทั้งวัน เหมือนพวกปลวกที่เอาแต่กัดกิน”“จึงได้แยกบ้านกับพวกเขา หลังจากแยกบ้านแล้วพวกเขายังอยากได้กิจการของเรา พ่อมิยอมอยู่แล้ว”“สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนแยกทาง พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่มิได้ จำต้องย้ายจากที่นี่ไป”“ได้ยินว่าต่อมาพวกเขาไปที่อวิ๋นโจว”“ม
ในเมื่ออวี๋หงมิอยู่ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องเป็นคนจัดการเองอวี๋หลินเดินไพล่หลังเข้ามาในคฤหาสน์อย่างสง่าผ่าเผย เดินตรงเข้าไปราวกับคุ้นเคยเส้นทางดี“เฮ้อ เหตุใดท่านอาของข้าจึงยังอาศัยอยู่ในเรือนเก่าโทรมเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้เล่า ลานบ้านควรได้รับการบูรณะเสียใหม่”“ส่วนสวนดอกไม้นั่น ดอกไม้ก็ขึ้นกระจายไปหมด ทั้งหมดล้วนเป็นดอกไม้ป่าไร้ค่า เหตุใดเจ้าเมืองแห่งเมืองป้านกุ่ยผู้ยิ่งใหญ่จึงมิปลูกดอกไม้ล้ำค่าบ้างเล่า”“ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ เหตุใดหลังจากครอบครัวพวกข้าจากไป ท่านอาจึงยิ่งมีชีวิตที่รันทดขึ้นเล่า?”“โชคดีที่คราวนี้ข้าพาคนมาด้วยมิน้อย หากว่างก็จะช่วยกันบูรณะลานบ้านนี้ให้งดงามสมกับฐานะเจ้าเมือง”อวี๋หลินพึมพำกับตนเอง เดินไปจนถึงที่พักของผู้อาวุโสอวี๋เมื่อผู้อาวุโสอวี๋เห็นเขาก็ยังจำมิได้ในตอนแรกหลังจากอวี๋หลินบอกฐานะของตนแล้ว ผู้อาวุโสอวี๋ก็ขมวดคิ้ว“ในเมื่อเจ้ามีชีวิตที่ดีแล้ว เหตุใดจึงยังมาหาพวกเราอีก?”อวี๋หลินย่อตัวลง กล่าวด้วยท่าทีประจบประแจง “ท่านอาอยู่คนเดียว เกรงว่าจะดูแลท่านทั้งสองมิไหวขอรับ”“ดังนั้นข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อมาดูแลท่านทั้งสองโดยเฉพาะ”“ท่านปู่ ความบา
ซ่งเชียนฉู่ฟังแล้วทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลในที่สุดก็มีหนทางช่วยลั่วชิงยวนแล้ว แต่โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ย่อมทำให้นางวิตกกังวลอย่างเลี่ยงมิได้นางจึงมองไปยังฉู่จิ้งที่อยู่ข้าง ๆ “คราวนี้พวกเราต้องการเจ้าอย่างยิ่ง”ฉู่จิ้งเมื่อได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดมิได้ที่จะยกยิ้ม“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าบอกว่าต้องการข้า”“วางใจเถิด ต่อให้ข้าจะต้องมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีก็จะช่วยให้เจ้าช่วยลั่วชิงยวนออกมาให้ได้!”เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งเชียนฉู่ก็รีบส่ายหน้า “ไม่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”“ข้าเพียงอยากถามว่าช่วงนี้เจ้าฝึกปรือเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าต้องการสมุนไพรใดช่วยในการฝึก ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”“ข้าจะช่วยลั่วชิงยวน แต่ข้าก็มิอยากให้เจ้าตาย”ซ่งเชียนฉู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉู่จิ้งชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก “ข้าจะมิตาย”เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อนาง ท่าทีของซ่งเชียนฉู่ที่มีต่อเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาคิดว่าความพยายามในช่วงนี้คุ้มค่าแล้วถึงแม้นางจะยังมิอาจยอมรับเขาได้ในยามนี้ แต่เขาสามารถรอได้เวลาที่ยาวนานถึงเพียงนั้นเขาก็รอมาแล้วเขาสามารถรอได้ชั่วกัลปาวสาน ค
ซ่งเชียนฉู่รีบถามอีกว่า “เช่นนั้นในเมื่อท่านได้พบกับชิงยวนแล้ว ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมนางให้กลับมาได้หรือไม่?”“ใช้เส้นทางนี้เถิด สะพานสร้างเสร็จแล้ว กลับมาจากทางนั้นเถิด!”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนกลับหัวเราะขื่น “มิง่ายเช่นนั้น ข้ามิได้พบนางด้วยใบหน้าที่แท้จริง นางคิดว่าข้าตายไปแล้ว”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ “เหตุใด? เช่นนั้นนางคงเสียใจมาก เหตุใดท่านจึงมิบอกนางว่าท่านยังมิสิ้นพระชนม์เล่า?”นางมิเข้าใจ เหตุใดเมื่อพบกันแล้วกลับมิบอกตัวตนที่แท้จริง เหตุใดจึงต้องปิดบังดวงตาของฟู่เฉินหวนหม่นแสง น้ำเสียงแฝงความขมขื่น “นางมิอยากพบข้า”แม้กระทั่งไปเข้าฝันนาง นางยังมิยินยอมคิดไปแล้ว ความทรงจำที่เขามอบให้นางคงเหลือเพียงความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนางคงมิปรารถนาที่จะพบเขาอีก มิปรารถนาที่จะหวนรำลึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้น“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ลั่วชิงยวนยังมิอาจจากแคว้นหลีมาได้” ฟู่เฉินหวนเงยหน้ามองไปยังที่ไกลโพ้นขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง“หากจะช่วยลั่วชิงยวนกลับมา ต้องสังหารเฉินชีเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถสังหารเฉินชีได้”“มิเช่นนั้นหากลั่วชิงยวนจากแคว้นหลีไ