เพียงแต่กระบี่ที่ฝูเหมิ่งสร้างขึ้นนั้นส่วนใหญ่เหมาะสำหรับฝูเหมิ่งเอง ทักษะกระบี่ของเขาบรรลุถึงขั้นที่คนและกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่งแล้วแต่เมื่อผู้อื่นถือกระบี่เล่มเดียวกัน กลับมิอาจบรรลุถึงขั้นและพลังฝีมือเช่นนั้นได้คาดมิถึงว่าฝูเหมิ่งตายแล้ว แต่กระบี่ของเขาจะถูกขโมยออกมาประมูลอวี๋หลินป่าวประกาศไปทั่วว่าตนเองคือเจ้าเมืองคนใหม่ในอนาคต คงหวังจะอาศัยตำแหน่งนี้กดราคากระบี่หมื่นทิศไว้ล่วงหน้ากระมังหากเป็นเช่นนั้น นางย่อมมิอาจปล่อยให้อวี๋หลินสมปรารถนาได้มิเช่นนั้นหนี้บุญคุณนี้จะต้องตกเป็นของตลาดมืดจากนั้นนางก็ออกคำสั่งในทันที “ให้ลานประมูลทุกแห่งจับตาดู หากมีข่าวคราวของกระบี่หมื่นทิศ อย่าปล่อยให้อวี๋หลินซื้อไปก่อนได้เป็นอันขาด”“ขอรับ!”จากนั้นก็รออีกห้าหกวันในที่สุดกระบี่หมื่นทิศก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นไปตามคาด อวี๋หลินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รีบไปยังลานประมูล แล้วพาชายที่นำกระบี่มาไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ข้าง ๆขณะมองฝักกระบี่บนหลังของชายคนนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “พี่ชาย นี่คือกระบี่หมื่นทิศใช่หรือไม่?”อีกฝ่ายมองเขาอย่างระแวดระวัง “ท่านต้องการสิ่งใด?”“คือว่าข้าอยากซื้อมัน! ท่านตั้
อวี๋หลินมองผู้คุ้มกันที่ติดตามลั่วชิงยวนมา แล้วตวาดด้วยความโกรธ “พวกเจ้าถูกสตรีผู้นี้ซื้อตัวไปแล้วรึ?”“ข้าต่างหากคือคนสกุลอวี๋! ข้าต่างหากคือเจ้าเมืองในภายภาคหน้า! พวกเจ้าต้องฟังข้า!”“จับตัวนางมาให้ข้า!”ทว่าผู้คุ้มกันทุกคนในห้องกลับถือกระบี่ชี้ตรงไปยังอวี๋หลิน ไม่มีผู้ใดฟังคำของเขาแม้แต่คนเดียวอวี๋หลินโกรธมากจนชักกระบี่พุ่งเข้าใส่ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรีบลงมือทันที ฉวยกระบี่จากมืออวี๋หลินแล้วโยนทิ้งไปข้าง ๆก่อนจะยกมือขึ้นชกเข้าที่ใบหน้าของอวี๋หลินอย่างแรง“อุตส่าห์ให้หน้าเจ้าสองครา เจ้ากลับคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถือเอาตำแหน่งว่าที่เจ้าเมืองไปข่มขู่ผู้คน เจ้ามิคู่ควรที่จะเป็นสุนัขของเจ้าเมืองเสียด้วยซ้ำ!”ลั่วชิงยวนกล่าวแล้วก็ชกเขาซ้ำอีกครั้งอย่างแรงอวี๋หลินพยายามต่อสู้สุดกำลัง ทว่าลั่วชิงยวนว่องไวนัก อวี๋หลินช้ากว่านางครึ่งก้าวตลอด กระทั่งชายเสื้อของลั่วชิงยวนก็ยังแตะต้องมิได้การต่อสู้ของคนทั้งสอง มีเพียงอวี๋หลินที่ถูกชกอยู่ฝ่ายเดียว“นางสารเลว!” อวี๋หลินโกรธจัด ความแค้นเต็มอก แต่กลับระบายออกมามิได้ ทั้งยังถูกทำร้ายจึงยิ่งรู้สึกอัดอั้นลั่วชิงยวนชกอวี๋หลินอย่างหนักหน่วง
“เจ้า!” นัยน์ตาของโฉวสือชีเต็มไปด้วยความโกรธ“วางกระบี่ลง ยอมจำนนแต่โดยดีเสีย!”ฉีอวี้มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่เขาโฉวสือชีขมวดคิ้วแน่น หลังจากต่อสู้กับใจตนเองแล้ว เขาก็โยนกระบี่ทิ้งไปคนของอวี๋หลินกระโจนเข้ามาจับตัวโฉวสือชีในทันที โฉวสือชีมิได้ต่อสู้“จับไปพร้อมกัน!”อวี๋หลินเห็นว่าฟ้ามืดลงแล้ว จึงสั่งให้คนจับตัวทั้งสองมัดไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังลานประมูลทองคำ......ลั่วชิงยวนเพิ่งกินอาหารเย็นกับพ่อบุญธรรมเสร็จ จู่ ๆ ก็มีผู้คุ้มกันมารายงานว่า “มิดีแล้วขอรับ อวี๋หลินกำลังเกี้ยวพาราสีฉีอวี้อยู่บนถนน โฉวสือชีเข้าช่วยเหลือ จึงถูกจับตัวไปพร้อมกันขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รีบลุกขึ้นยืน “ว่ากระไรนะ?!”“อวี๋หลินไปที่ใด?”กล้าจับคนของนางได้อย่างไร!“ไปที่ลานประมูลทองคำขอรับ!”ลั่วชิงยวนรีบพาคนวิ่งออกจากประตูใหญ่ไปทันใด......ที่ลานประมูลทองคำในห้องพัก โฉวสือชีและฉีอวี้ถูกมัดด้วยเชือกฉีอวี้หวาดกลัวมาก โฉวสือชีคอยปลอบโยนนางด้วยสายตาตลอดเวลาแสดงว่าพวกเขาจะมิเป็นอะไรเพราะที่นี่คือตลาดมืด อวี๋หลินมิสามารถก่อเรื่องใหญ่ได้ทว่าการสบตากันของทั้
ฉีอวี้ฉวยโอกาสที่สินค้าดี ๆ เพิ่งถูกนำออกมาขาย ตั้งใจจะเลือกพู่กระบี่ชิ้นหนึ่งมอบให้โฉวสือชีในขณะนั้นเอง อวี๋หลินก็กำลังเดินเล่นไปตามถนนเช่นกันเขาเห็นเงาร่างของฉีอวี้แวบหนึ่งเขาลูบปลายคางแล้วเดินเข้าไป มองสำรวจเด็กสาวตรงหน้า “แม่นางผู้นี้ช่างคุ้นตา ข้าเคยพบเจ้าที่ใดมาก่อนหรือไม่?”ฉีอวี้ตกใจจนรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วมองเขา “ข้ามิรู้จักท่าน จะเคยพบกันได้อย่างไร”กล่าวจบ ฉีอวี้ก็หันหลังเดินจากไปอวี๋หลินกลับรีบวิ่งเข้าไปขวางนางไว้ ใช้สายตามองสำรวจฉีอวี้ “เช่นนั้นพวกเรามารู้จักกันตอนนี้เลยดีหรือไม่ แม่นางมีนามว่าอะไร?”“ข้าคือหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าเมืองตลาดมืด! ต่อไปทั้งตลาดมืดนี้จะเป็นของข้า!”“แม่นางใคร่ได้สิ่งใด ข้าก็จะซื้อให้!”ขณะที่อวี๋หลินกล่าว บ่าวรับใช้ด้านหลังก็รีบเข้ามาล้อมฉีอวี้ไว้ฉีอวี้มองพวกเขาอย่างระแวดระวัง “มิต้องการ ข้ามิซื้อสิ่งใดหรอก!”“แล้วข้าก็มิได้รู้จักท่านด้วย”กล่าวจบ ฉีอวี้ก็เตรียมจะเดินเลี่ยงพวกเขาออกไป แต่ก็ถูกขวางไว้อีกครั้ง“พวกเจ้าต้องการอะไร!” ฉีอวี้เริ่มโกรธเล็กน้อยอวี๋หลินมองสำรวจฉีอวี้แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้าวเข้าไปคว้าข้อ
สายตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ใครก็ได้!”“ไล่ออกไป!”อวี๋หลินดิ้นรนสาปแช่งพลางตะโกน “ปล่อยข้า! ข้าต่างหากคือคนสกุลอวี๋ เจ้ามีสิทธิ์กระไรมาไล่ข้า!”ลั่วชิงยวนมิได้ไว้หน้าแม้แต่น้อย ออกคำสั่งไล่เขาออกไปอย่างนั้นของกำนัลทั้งหมดที่เขานำมา ลั่วชิงยวนก็โยนคืนให้เขาไปด้วย“มาจากไหนก็กลับไปทางนั้นเสีย”อวี๋หลินโกรธจัด ลุกขึ้นจากพื้นแล้วตบฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะชี้หน้านาง “เจ้าคอยดูเถิด!”เมื่อเขากล่าวจบก็พาคนออกไปจากนั้นลั่วชิงยวนจึงกลับมายังลานบ้าน ส่วนผู้อาวุโสอวี๋เดินออกมาแล้วลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “เขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของท่านพี่หรือเจ้าคะ?”ผู้อาวุโสอวี๋พยักหน้า “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่กับพวกเรา ยังมิได้แยกบ้านกัน”“อวี๋หงดูแลกิจการเพียงลำพัง ส่วนพวกเขาเอาแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มิทำอะไรทั้งวัน เหมือนพวกปลวกที่เอาแต่กัดกิน”“จึงได้แยกบ้านกับพวกเขา หลังจากแยกบ้านแล้วพวกเขายังอยากได้กิจการของเรา พ่อมิยอมอยู่แล้ว”“สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนแยกทาง พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่มิได้ จำต้องย้ายจากที่นี่ไป”“ได้ยินว่าต่อมาพวกเขาไปที่อวิ๋นโจว”“ม
ในเมื่ออวี๋หงมิอยู่ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องเป็นคนจัดการเองอวี๋หลินเดินไพล่หลังเข้ามาในคฤหาสน์อย่างสง่าผ่าเผย เดินตรงเข้าไปราวกับคุ้นเคยเส้นทางดี“เฮ้อ เหตุใดท่านอาของข้าจึงยังอาศัยอยู่ในเรือนเก่าโทรมเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้เล่า ลานบ้านควรได้รับการบูรณะเสียใหม่”“ส่วนสวนดอกไม้นั่น ดอกไม้ก็ขึ้นกระจายไปหมด ทั้งหมดล้วนเป็นดอกไม้ป่าไร้ค่า เหตุใดเจ้าเมืองแห่งเมืองป้านกุ่ยผู้ยิ่งใหญ่จึงมิปลูกดอกไม้ล้ำค่าบ้างเล่า”“ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ เหตุใดหลังจากครอบครัวพวกข้าจากไป ท่านอาจึงยิ่งมีชีวิตที่รันทดขึ้นเล่า?”“โชคดีที่คราวนี้ข้าพาคนมาด้วยมิน้อย หากว่างก็จะช่วยกันบูรณะลานบ้านนี้ให้งดงามสมกับฐานะเจ้าเมือง”อวี๋หลินพึมพำกับตนเอง เดินไปจนถึงที่พักของผู้อาวุโสอวี๋เมื่อผู้อาวุโสอวี๋เห็นเขาก็ยังจำมิได้ในตอนแรกหลังจากอวี๋หลินบอกฐานะของตนแล้ว ผู้อาวุโสอวี๋ก็ขมวดคิ้ว“ในเมื่อเจ้ามีชีวิตที่ดีแล้ว เหตุใดจึงยังมาหาพวกเราอีก?”อวี๋หลินย่อตัวลง กล่าวด้วยท่าทีประจบประแจง “ท่านอาอยู่คนเดียว เกรงว่าจะดูแลท่านทั้งสองมิไหวขอรับ”“ดังนั้นข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อมาดูแลท่านทั้งสองโดยเฉพาะ”“ท่านปู่ ความบา