ชายแดนเหนือ หุบเขาพิษ เจียงอี้หยาง ข่มกลั้นความหวาดกลัว เพื่อที่จะนำผลไม้ที่หามาได้ กลับไปให้พี่สาวกับท่านปู่ฮั่ว และท่านลุงอู๋ เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้ทุกคน ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เด็กชายรู้สึกได้ ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าเทียบกับพี่ๆ ทั้งสามแล้ว เขายังห่างชั้นอยู่มากนัก หากพี่สาวไม่เอาร่างกายปกป้องเขา นางคงไม่บาดเจ็บ เมื่อนึกถึงตรงนี้ น้ำตาก็พลันไหลพราก ด้วยความเสียใจ ที่ตัวเขาคือต้นเหตุทั้งหมด กรร!!! เสียงขู่จากรอบทิศ ทำให้เจียงอี้หยาง ถึงกับสั่นเทาไปทั้งกาย สุดท้ายแล้ว...เขาก็ยังเป็นตัวถ่วงของทุกคนอยู่ดี แต่ถ้าเขาต้องรอให้คนเจ็บทั้งสาม ตื่นมาหาของกินก็คงมืดค่ำเสียก่อน เจียงอี้หยาง พยายามมองตรงไปเบื้องหน้า เพื่อมิให้สิ่งที่กำลังข่มขวัญเขาอยู่ จู่โจมเข้ามาในตอนนี้ เขาคือน้องชายของสามแฝด ผู้เก่งกาจแห่งแดนตะวันออก แค่นี้จะผ่านไปไม่ได้เชียวหรือ! แก๊ก! เสียงกิ่งไม้หัก ทำให้เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อ ราวกับขาของเขากลายเป็นหินไปเสียอย่างนั้น ดวงตาที่พร่ามัวจากม่านน้ำตา มิอาจปกปิดแววหวาดหวั่นใ
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” ฉู่เมี่ยวเองก็รู้เรื่องนี้ดี อาการเจ็บปวดของนายทั้งสอง นับว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง ดูได้จากใบหน้าที่เริ่มขาวซีด คุณหนูสามกำลังตกอยู่ในอันตราย... “พวกเจ้าเป็นอะไรไป หมอล่ะ! หมออยู่ในคณะของเรามีมิใช่หรือ!” ไฉอ้ายเอ่ยถามสามี และน้องชายของเขา ด้วยความแตกตื่น ยิ่งเห็นใบหน้าของทั้งสอง เริ่มไร้สีเลือด ความดื้อรั้นที่มีมาตลอด พลันเลือนหายไป กลายเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่ “ไม่เป็นไร...เจ้าอย่าได้กังวล” มือที่ยังสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวด ยกขึ้นวางทาบข้างแก้มของภรรยา เพื่อปลอบโยน ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจ ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าทุกการหายใจเข้า มันเสียดแทงไปทั้งอก ราวมีดนับหมื่นเล่มแทงทะลุงไปในจุดเดียว น้องน้อยของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ครานี้นางต้องพบชะตากรรมที่ร้ายแรงเป็นแน่ มันมิเคยเจ็บเจียนตายเช่นนี้มาก่อนเลย อี้หลิงเจ้าอย่าทำให้พี่กลัว... “ดื่มชาสักหน่อยไหม เผื่อมันจะดีขึ้น” อาการแตกตื่น จนเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้ ของหญิงสาวทำให้ต้วนอี้หลาง ปีติในใจยิ่งนัก ทว่าเวลานี้ เขาคงไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“อี้หยาง ผงราตรี...” น้ำเสียงแหบโหยเอ่ยอยู่กับอกของน้องชาย ไม่มีคำถามใดๆ จากปากของเจียงอี้หยาง เด็กชายทำเพียง ล้วงเอากล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ ออกมาจากอกเสื้อ โดยที่สายตาของเขา มิได้ละไปจากคนทั้งคู่ ที่กำลังยืนหยั่งเชิงกันอยู่เบื้องหน้า เขามีพี่ชายที่เป็นแม่ทัพ แน่นอนว่าต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่ตกอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยเป็นน้องคนเล็ก พี่ชายพี่สาว จึงมักยินยอมให้เขาติดตามไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เช่นในครั้งนี้ ที่เขาติดตามพี่สาวมา “พี่สามอดทนอีกนิดนะขอรับ” อี้หยางเอ่ยปลอบพี่สาว เขามิอาจบอกได้ ว่าครั้งนี้จะพากันรอดไปได้หรือไม่ แต่หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรเล่า เด็กชายเปิดกล่องไม้เทก้อนกลมๆ ในนั้นออกมาจากหมด เขาก้มลงมองพี่สาวอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยนางให้นอนอยู่กับหมาป่าตัวใหญ่ ส่วนตนเองลุกขึ้นยืน แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไอสังหารที่คนทั้งสอง ปลดปล่อยออกมานั้นมันทำให้เขา แทบจะก้าวเท้าไม่ออกเลยทีเดียว มันรุนแรงเกินกว่าเด็กเช่นเขาจะต้านทาน แต่เพื่อชีวิตรอด เขาจะพ่ายต่อมันมิได้เป็นอันขาด “พี่ชาย” เจียงอี้หยางเร
เจียงอี้หลิง ที่อยู่บนหลังของเสี่ยวไป๋ เริ่มที่จะมีเลือดไหลซึมออกจากมุมปาก นางต้องอดทนอีกนิด...แค่นิดเดียวเท่านั้น ก็ถึงที่หมายแล้ว ด้วยพลังของสวี่เทียน พิษสลายพลัง คงใช้กับเขาได้ไม่เกินสามชั่วยามเท่านั้น เสียงคำรามในลำคอของเสี่ยวไป๋ ทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตาซึม มันกำลังกลัว...กลัวว่านางจะจากมันไปอีกครั้ง กึก! อวี๋มู่หลงหยุดเท้าอย่างกะทันหัน เมื่อเสี่ยวไป๋หยุดอยู่ขอบผาสูงชัน ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ข้างเสี่ยวไป๋ แล้วหันมองคนบนหลังของมัน ด้วยสายตามีคำถาม “พี่สาม” อี้หยางที่เอี้ยวใบหน้ามองพี่สาว ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ ทว่าเรียวปากที่มีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ กลับคลี่ออกน้อยๆ เช่นทุกครั้ง ที่ผู้เป็นพี่ต้องการให้เขาคลายกังวล “เจ้าตามข้ามานี่” หญิงสาวไม่ได้พูดกับน้องชาย แต่เอ่ยกับชายหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งนัก มือของนางตบบนตัวเสี่ยวไป๋เบาๆ หมาป่าตัวใหญ่เบนหน้าออกจากผาสูง ก้าวตรงไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่อยู่ขอบผาอีกด้าน ซึ่งมีหินก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้างกองอยู่รอบๆ เสี่ยวไป๋เหมือนรู้ถึงความต้องการของผู้เป็นนาย มันเดินไปหยุดยังหินก้
“ตกลง!” เมื่อทบทวนตามคำพูดของสหาย เจ้าของร้านจึงรับคำอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อก้าวเท้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะถอยหรือก็ยากอยู่ ทั้งคู่จึงวางแผนให้รัดกุมขึ้น ด้วยเป้าหมายท่าทางมิใช่คนไร้ฝีมือ “คุณชายนี่คือซุบไก่ ข้าน้อยเพิ่มให้ไม่คิดเงินขอรับ เอ่อ...อย่าได้คิดเป็นอื่นนะขอรับ พอดีข้าน้อยเห็นอาหารของคุณชายมีแต่ผัดขอรับ” ม่อเหลียว เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของร้าน ที่ยกถ้วยน้ำแกง มาวางอยู่ต่อหน้าเขา ด้วยท่าทางของคนมีน้ำใจ และไม่ลืมที่จะชี้แจงกับชายหนุ่ม ถึงสาเหตุของน้ำใจในครั้งนี้ ชายหนุ่มยกถ้วยน้ำแกงขึ้นดื่ม โดยไม่ได้แสดงอาการแคลงใจใดๆ เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลามากนัก แต่ถ้ายืดเยื้อมากไปการเดินทางก็ย่อมต้องล่าช้า แค่ยาพิษทั่วๆ ไป มันมิคณามือเขาสักนิด ชายหนุ่มดื่มน้ำแกงจนหมดถ้วย ก่อนจะกินอาหารอย่างอื่นต่อด้วยอาการปกติ จนผักชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงท้อง เขาจึงกวักมือเรียกให้เสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาเจ้าของร้าน และอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกล หลังจากจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย ร่างสูงลุกขึ้นเดินออกจากร้านไป เพื่อเดินทางต่อ สิ่งแรกที่เขา
เจ้าของร้านทำได้เพียง กลืนเหล้าลงคอ แม้ไม่เต็มใจแต่เขาก็ยากจะหลีกเลี่ยง มันคือการฆ่าที่อมหิตเหลือเกิน สู้สังหารเขาในคราเดียวยังจะดีกว่า สุราทำให้เลือดไหลเร็วขึ้น บาดแผลของเขาย่อมยากจะหยุดยั้ง มิให้เลือดชะลอตัวได้อีกต่อไป ใบหน้าที่แดงก่ำจากการสำลักสุรา มิได้ทำให้ชายหนุ่มหยุดมือแม้แต่น้อย มือหนาที่แข็งราวเหล็กกล้า ยังคงบีบกรามของเขาเอาไว้แน่น “ข้าปราณีเจ้ามากแล้ว” ตุบ! ร่างเจ้าของร้าน ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยอาการมึนงง จากการดื่มสุรา ม่อเหลียวไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ชายหนุ่มหมุนกายเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้โจรในคราบพ่อค้า จมอยู่กับกองเลือดเพียงลำพัง เพราะอย่างไรเสีย มิช้าคนผู้นี้ก็ตามสหายไป ชายหนุ่มเดินไปที่ม้าคู่ใจ ก่อนจะปลดสายจูงที่ผูกกับเสาออก แล้วเหวี่ยงกายขึ้นไปนั่งอย่างสง่า โดยไม่ลืมที่จะป้อนขนมให้แก่มันอีกหลายชิ้น “เราจะไปหาคุณหนูกัน ยามห่างตาข้าเจ้าต้องระวังตัวให้มากรู้หรือไม่อาหู” ฮี่! ฮี่! เป็นการตอบรับอย่างรู้ใจกัน ชายหนุ่มตบลงบนแผงคอของอาหูเบาๆ เท่านั้นเองอาชาแสนรู้ ก็พานายของมันก้าวออกจากจุดพักม้า ที่เป็นฉากหนึ่งของรังโจร
เส้นทางสู่แดนเหนือ ณ คณะของต้วนอี้หลาง บ่ายคล้อยแล้ว ต้วนอี้หลางจึงให้คนจัดตั้งที่พัก คืนนี้เป็นอีกคืนที่พวกเขา ต้องพักกันในป่ามิได้พักตามโรงเตี๊ยม ด้วยเร่งรีบติดตามม่อเหลียว ที่คงล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว อีกเพียงไม่ถึงสามวัน พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตแดนเหนือของแคว้น และนับว่าโชคดีนัก ที่การเดินทางในช่วงนี้ไม่มีหิมะตก อากาศจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก สำหรับเขาที่ทำทั้งการค้า และสำนักคุ้มกันสินค้า ย่อมคุ้นชินต่อทุกสภาพอากาศ ด้วยเดินทางทั้งใน และนอกแคว้นอยู่เป็นนิจ ต่างกับภรรยาและฉู่เมี่ยว ซึ่งอากาศหนาวจนติดลบ คงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับพวกนาง “เหนื่อยหรือไม่” หลังจากเดินสำรวจจุดพักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มได้เดินกลับมาหาภรรยา ที่ยืนอยู่กับสาวใช้ของนาง ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือองครักษ์ของนางนั่นเอง “ไม่เลย...แต่เจ้าเล่า หายหรือยัง” หญิงสาวถามสามี อย่างไร้จริตของสตรี ที่เติบโตมากับการช่วงชิงอำนาจ หรือเพราะเขาไร้อำนาจให้ต้องช่วงชิง นางเลยถามเขาอย่างไม่ต้องแต่งเติมเสริมคำ “ดีขึ้นมากแล้ว น้องสามอาจเจ็บหนักจริง แต่นางยังมีชีวิตคง
“แล้วทำไมท่านไม่บอกข้า! หรือท่านพี่คิดว่าข้ามิน่าไว้วางใจ” ใบหน้าที่ยังแสดงความสงสัยเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความไม่วางใจในตัวนาง ทว่าคนถูกตำหนิกลับยิ้มระรื่น เพราะคำเรียกแทนตัวเขา ที่ภรรยาใช้มันเปลี่ยนไปแล้ว “ภรรยา...ข้ายังไม่สบโอกาสที่จะบอกเจ้า หรือเจ้าคิดว่าตลอดการเดินทาง เราไม่มีหนอนติดตามหรือ” ชายหนุ่มคว้ามือบาง มากุมไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และไม่คิดถือสา ต่ออาการกระฟัดกระเฟียดของนาง “เรามิใช่ไปตามหาน้องๆ ท่านหรอกหรือ” “นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานของอี้หลง” “ท่านพ่อไยใจร้ายต่อข้านัก ใช้งานพวกท่าน ทั้งที่ข้ายังมิทัน...เอ่อ เข้าพิธีอย่างสมเกียรติ” หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำ เมื่อนึกถึงคำที่นางเว้นไว้เมื่อครู่ นางเป็นสตรีจะร่ำร้องหาการเข้าหอได้อย่างไรกัน “ท่านพ่อตาเริ่มชรามากแล้ว ย่อมต้องสร้างรากฐานที่มั่นคง ให้แก่ทายาทคนต่อไป รวมถึงตัวเจ้าด้วยภรรยา ท่านพ่อตาห่วงใยเจ้ายิ่งนัก” “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือ!” หญิงสาวเอ่ยถามสามี ด้วยแววตาหม่นแสงลงเล็ก
ยามค่ำคืน ณ เรือนรับรองแขก ภายในเรือนหลังใหญ่ ซึ่งด้านหลังเรือน ถูกจัดให้เป็นเป็นที่พักของเหล่าผู้ติดตาม และเก็บเสบียงในการเดินทาง ภายในห้องที่ดูกว้างขวาง เกินฐานะเจ้าเมืองห่างไกล ในเวลานี้มีเพียงความเงียบสงัดไร้ผู้คนเฝ้าจับตาสิ่งของภายในห้อง ด้วยทุกคนในคณะเดินทาง ต่างได้รับเชิญให้เข้าร่วมดื่มกินในงานเลี้ยงต้อนรับ ซึ่งท่านเจ้าเมืองจัดเสียใหญ่โต โดยมีขุนนางหลายฝ่าย ที่ประจำอยู่ในเมืองหลี่ และคหบดีผู้มั่งคั่งหลายสกุล ต่างพาครอบครัวมาร่วมงานเลี้ยงกันอย่างคับคั่ง เพื่อยลโฉมองค์หญิงมู่ไฉอ้าย พระธิดาองค์เล็กของฮ่องเต้ และท่านราชบุตรเขย ชายหนุ่มผู้เป็นทายาทของเจียงกั๋วจ้าน สกุลที่ผู้คนทั้งแผ่นดินล้วนยำเกรง แอ๊ด!! เสียงประตูเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับเงาร่างของชายหลายคน ก้าวเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับคบไฟทำให้ภายในห้องสว่างจ้า “เราจะทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านี้ขอรับ” หนึ่งในคนที่ก้าวเข้ามาในห้องเก็บเสบียงเอ่ยถาม ด้วยเขาอยากที่จะหยิบสิ่งของติดมือไปบ้างนั่นเอง “แค่เสบียงอาหารหาได้สำคัญ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ คือเพิ่มสิ่งของไปในเสบียงเพื่อให
“ฉีอันหนิง คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” บุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมืองหลี่ ย่อกายลงอย่างงดงาม สมกับบุตรตรีขุนนาง ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี “คารวะท่านราชบุตรเขย องค์หญิงเจ้าค่ะ” หญิงสาวอีกสองนาง และบ่าวไพร่ที่ยืนเรียงราย ต่างรีบพากันทำความเคารพแขกของท่านเจ้าเมือง ซึ่งเวลานี้ท่านเจ้าเมือง ได้ขอตัวแยกไปสะสางงาน ให้เสร็จก่อนงานเลี้ยงต้อนรับในค่ำนี้ “คุณหนูฉี เชิญตามสบาย” ต้วนอี้หลาง เอ่ยปากอนุญาตตามมารยาท ก่อนจะหันไปประคองเอวคอดของภรรยา ที่ก้าวขึ้นมาเคียงข้าง ส่วนชายหนุ่มสวมหน้ากาก ได้ถอยลงไปยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคน “ขอบคุณท่านราชบุตรเขย เอ่อ...ข้าน้อยขอแนะนำตัวอีกครั้งนะเจ้าคะ ข้าน้อยเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมือง ฉีอันหนิง ส่วนนี่คือน้องสาวคนรองของข้า ฉีอันผิง และน้องสาวคนเล็กฉีอันนาเจ้าค่ะ” หญิงสาวแนะนำน้องสาวทั้งสอง ด้วยน้ำเสียงและท่าทางขัดเขินเล็กน้อย ใครกันจะไปคิดว่าราชบุตรเขย จะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ อีกทั้งสายตาและรอยยิ้ม ยังดูอบอุ่นยิ่งนัก ต่างจากองค์หญิงไฉอ้าย ที่ดูเย่อหยิ่งจองหองจนเกินไป “เรากับน้องส
เรือนพักรับรอง จวนเจ้าเมืองหลี่ มู่ไฉอ้ายก้าวเคียงข้างฉู่เมี่ยว โดยที่สามีและน้องชายของเขา เดินนำหน้าไปตามทางเดิน แววตาเย่อหยิ่งนั้นไม่ได้วอกแวกมองไปทั่ว เยี่ยงคนไม่รู้มารยาท ทว่านางกลับเชิดหน้ามองตรง ก้าวตามสามีไปด้วยท่วงท่าของนางหงส์ และนางไม่ลืมที่จะกำชับฉู่เมี่ยว ให้ทำตามนางเช่นกัน ในฐานะน้องสาวบุญธรรมขององค์หญิง ต้องสูงส่งไม่แพ้กัน ในเมื่อมีคนรู้ตัวตนก็ต้องเป็นคนที่น่ายำเกรงเข้าไว้ และดูเหมือนความเย่อหยิ่งนี้ของนาง จะได้รับสายตาเหยียดๆ จากสตรีในจวนเจ้าเมือง ทว่านางกลับไม่ได้คิดเอ่ยปาก แสดงความไม่พอใจ เช่นเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่เมื่อใดก็ตามที่ได้รับสายตาเช่นนี้ จากคนที่มีอำนาจลดลั่นลงมา คงสั่งควักลูกตาหรือบั่นคอไปแล้ว แต่สำหรับนางนั้น นางรอได้เสมอ ที่จะทบต้นดอกในคราเดียวไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา “พี่สะใภ้ทำไมสาวใช้จวนเจ้าเมือง จึงได้มองเราด้วยสายตาเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” ฉู่เมี่ยวอดที่จะเอ่ยถามพี่สะใภ้ไม่ได้ ก็ในเมื่อคนเราไม่รู้จักกัน แต่อย่างไรพวกนางก็คือแขก อีกทั้งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไยสาวใช้ของจวนเจ้าเมืองเล็กๆ คนหนึ่ง จึงอาจห
“เหอะ! มีแค่นี้เองรึ! แล้วทำเป็นมาบอกจะจ่ายให้มากกว่าคุณชายคนเมื่อครู่” “ได้โปรด...เจ้าเอาเงินนั่นไป แล้วตามท่านหัวหน้าให้ข้าที” เถ้าแก่สะบัดมือเล็กน้อย เสี่ยวเอ้อได้เดินหายไปยังทิศทางภายในร้าน ขอแค่เงินมางานก็เดินเสมอ ส่วนเสี่ยวเอ้อคนอื่น ได้จัดการกับศพของชายอีกสองคน พร้อมกับนำน้ำมาล้างคราบเลือด ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว ราวกับมันคือเรื่องที่ทุกคนช่ำชองกันดีอยู่แล้ว “ที่ไหนๆ ก็ย่อมมีเรื่องที่ต้องทำ หากเขามาแล้วไม่จ่ายเงินให้ข้า เรื่องอื่นใดไม่ต้องมาเอ่ยกับข้าให้เสียเวลา” คำพูดของเถ้าแก่ชัดเจนยิ่งนัก ว่าหากไม่มีเงิน ชีวิตของเขาจะต้องตาย ใต้คมดาบของชายเจ้าของโรงเตี๊ยม ตามสินจ้างของทายาทแห่งหนาน ที่จ่ายไปเพื่อเก็บกวาดพวกเขาทั้งสามคน “เจ้าไม่ต้องห่วง ท่านหัวหน้าของข้า ย่อมต้องจ่ายเจ้าอย่างงามแน่นอน”แม้ไม่มั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นไหม แต่อย่างน้อยก็ยื้อลมหายใจของเขา ออกไปอีกสักหน่อยในตอนนี้ ภายในห้องอาหาร ม่อเหลียวเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร โดยไม่ลืมที่จะเหลือบตามองไปยังหญิงสาวชาวเมืองหยินกวง ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ห่างกัน ก่อนจะนั่งลงเ
แต่ในเวลานี้ทั้งคู่ไม่มีเวลา ที่จะใส่ใจสหายได้เลย ดาบในมือตวัดฟาดฟันเข้าหาชายหนุ่ม ผู้เป็นทายาทแห่งหนานอย่างดุดันและไม่ลดละ จังหวะนั้นเสี่ยวเอ้อ ได้ถือจานชาลาเปาผ่านมาทางนั้นพอดี หมับ! ม่อเหลียวคว้าชาลาเปามาลูกหนึ่ง ก่อนที่เสี่ยวเอ้อจะรีบเร้นกายหายไป มุมปากหนาบิดขึ้นน้อยๆ ก่อนที่เขาจะใช้สันมือ กระแทกเข้าที่ลำคอของหนึ่งในสอง ที่พุ่งเข้าโรมรันอยู่กับเขา “อัก!” ชายชุดดำใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอ พร้อมกับพยายามอย่างยิ่ง ที่จะเปล่งเสียงออกมา ทว่ามันกลับไม่เป็นผล หวืด! ฉึก! แต่ยังไม่ทันที่จะยกดาบขึ้นตั้งรับ ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยอามรามตกใจ พลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ชายชุดดำอีกคนถึงกับผงะถอยไปหลายก้าว ด้วยภาพตรงหน้า มันเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด ตะเกียบคู่หนึ่งแทงเข้าไปในดวงตาของสหายทั้งสองข้าง ปากก็ถูกยัดเอาไว้ด้วยชาลาเปาร้อนๆ ที่ยังมีควันลอยกรุ่นออกมาให้เห็น “อยากเห็นว่าลูกกำพร้าเยี่ยงข้า มีเมตตาแค่ไหน พวกเจ้ามองได้ชัดเจนดีหรือยัง” ปึก! ชายที่ตอนนี้เสียดวงตาทั้งสองข้าง ถูกผลักออกให้พ้นทางของผู้พูด แน่นอนว่านี่แค่การทักทายเท่านั้น หากคนพวกนี้อย
“เชื่อข้าเถอะ แค่นี้พี่ม่อเหลียวจัดการได้ไม่คณามือเขาหรอกขอรับ”เจียงอี้หยางยังคงยืนยันหนักแน่น ด้วยรู้ถึงฝีมือและนิสัยของว่าที่พี่เขยดี แค่รอให้แมงเม่าบินเข้ากองไฟไปอีกสักตัวสองตัว และเหมือนจะบินไปเพิ่มอีกแล้วสองตัว “ขอรับ” แม้เขาอยากที่จะลุกไปดูให้เห็นด้วยตา แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เพราะเขายังไม่อยากให้นายน้อย หลุดหายไปจากสายตาอีกครั้ง ลานกว้างหลังร้าน ม่อเหลียว ยืนมองชายหนุ่มที่หมายจะใส่ยาในอาหาร กำลังทุรนทุรายด้วยพิษของตนเอง ชายหนุ่มในชุดดำใช้สองมือ กุมลำคอที่แสบร้อนเอาไว้ ความทรมานนี้ทำไมมันเกินกว่าพิษ ที่เขาตั้งใจใส่ในอาหาร มันมิใช่ยานอนหลับชนิดรุนแรงหรอกหรือ ที่สำคัญไปกว่านั้น เสี่ยวเอ้อและคนงานในร้าน ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ กลับไม่ได้ให้ความสนใจ ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาเลย ราวกับเขาที่กำลังคุกเข่าทรมานเจียนตายอยู่นี้ เป็นเพียงอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น “เงินถึง...ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปตามที่ต้องการเสมอ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นไม่ไกลจากชายชุดดำ คำพูดนี้เสมือนมีดนับหมื่นเล่ม เสือกแทงเข้ากลางใจเขาก็มิปาน เขาไม่อยากเ
“เจ้าเด็กผีนี่ สิ่งใดเจาะปากมาให้พูดกัน” หญิงสาวบ่นอุบ ทว่าหญิงสาวอีกคน กับชายที่มีหนวดเครารุงรัง กลับพากันหัวเราะคิกคักชอบใจ “กรรมช่างรวดเร็วทันใจข้าเหลือเกิน หึๆ” หญิงสาวใบหน้าหวานละมุน ทว่ากลับมีรูปร่างสูงใหญ่ราวบุรุษ ได้หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างสำราญ ใครใช้ให้เจียงอี้หลิง จับเขาแปลงโฉมเป็นสตรีเล่า ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายนัก เขาเป็นถึงประมุขน้อย กลับต้องมาแต่งกายเป็นหญิง เพื่อลักลอบเข้าเมืองของตัวเอง ส่วนตัวต้นคิดก็ถูกนินทาระยะเผาขน ช่างเป็นการเอาคืน โดยที่เขาไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง “แบบนี้ดีแล้ว” หญิงสาวเอ่ยกับคนที่นั่งขำนางอยู่ แม้การแปลงโฉมของท่านอาจารย์จะแนบเนียนแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรประมาทใดๆ ทั้งสิ้น บางทีคนที่คุ้นเคยกับชายหนุ่ม อาจจดจำท่าทางของเขาได้ เช่นที่พี่ม่อเหลียวจดจำท่านลุงอู๋และอี้หยางได้ แน่นอนไม่มีใครคาดคิด ว่าประมุขน้อยแห่งหุบเขาพิษ จะกล้าแต่งกายเป็นหญิง ออกมาเดินอวดโฉมเยี่ยงนี้ อีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็จะครบกำหนดการเผชิญหน้ากับฉินชวง ฉินชวงไม่มีทางได้หัวของสวี่เทียนมา และคงต้องคิดตลบหลั
“พวกมันจริงๆ ด้วยขอรับ” หนึ่งในคนที่ร่วมโต๊ะเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งหันมองไปยังกลุ่มคนที่เดินลงจากชั้นบน ม่อเหลียวใช้เพียงหางตาชำเลืองมอง ก็เห็นกลุ่มคนซึ่งมีรูปลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ระหว่างคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาในตอนนี้ และกลุ่มคนที่ลงมาจากชั้นบน ว่ามาจากบ้านเมืองเดียวกัน ชายหนุ่มวางมือบนต้นขาของคุณชายน้อย พร้อมขยับตบเบาๆ เป็นการบอกให้เชื่อใจเขา วันนี้เขาและคุณชายน้อย ได้ออกมาสืบหาข่าวของเจ้านายอีกสองคน ซึ่งเดินทางติดตามมาในภายหลัง “นายน้อยไม่ต้องกังวลไป ข้าน้อยจะไม่ให้พวกมันได้แตะต้องท่าน กับคุณชายผู้นี้อย่างแน่นอนขอรับ” ตู้ฮั่นยืนยันหนักแน่น ทั้งคำพูดและแววตา มันเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่กระนั้นม่อเหลียวก็ไม่เคยคิดที่จะวางใจ เพราะถ้าเขาคือคนผู้นั้นจริง นั่นก็เท่ากับเขากำลังพาตนเอง ก้าวเข้าสู่สงครามอันดุเดือด เขาติดตามผู้เป็นนายทำการค้า และเป็นผู้คุ้มกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าเวลานี้มีแคว้นใดบ้าง ที่กำลังมีปัญหาภายใน ที่ยังยากจะแก้ไขให้ลงตัว และการที่ตัวเขาถูกนำมาทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก นั่นก็เท่ากับความสงบสุขในบ้านเมือง ไม่มีเลยนั่นเอง
เจียงอี้หลิง ทำเพียงชำเลืองมองสองพี่น้อง ที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สวี่เทียนและฉินชวง ต้องการให้ลูกของนางเป็น นางก็เพียงส่งคืนสนองเท่านั้น การจองเวรใช่สิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็สมควรทำ ถ้ามันรบกวนชีวิตในภายหน้า “แล้วพวกหมู่แมลงเล่าขอรับ” ม่อเหลียวเอ่ยถามผู้เป็นนาย โดยที่เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง ไปยังจุดที่มีผู้อื่นซ่อนตัวอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมายแม้แต่น้อย “พวกมันคงตามเก็บกวาดให้นาย แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว ปั่นจิ้งหรีดให้กัดกันเอง เราก็แค่รอดูว่าตัวไหน ที่จะรอดมาพบกับเราเป็นตัวสุดท้าย” นี่คือแผนถ่วงเวลา สำหรับคนในชีวิตเดิมของนาง ที่กำลังรอเข้ามาในหุบเขา ในตอนนั้นนางไม่อาจทำเรื่องให้ใหญ่โตได้ เพราะบุตรชายยังเด็กเกินไป และสภาพร่างกายของนาง ไม่ได้พร้อมกับการต่อสู้ใดๆ ทั้งสิ้น กองทัพที่นางซ่อนเร้นไว้ จึงไม่ถูกเรียกใช้ เพราะสิ่งที่สวี่เทียนต้องการ จะมาพร้อมกับคนของนางในไม่ช้า กองทัพนี้เพื่ออวี๋มู่หลงเท่านั้น เมื่อใดที่ทุกอย่างจบสิ้น นางจะจากไปเพื่อเดินตามเส้นทาง ของเจียงอี้หลิง เป็นหมอหญิงสืบทอดโรงหมอสกุลต้วน