หลิวหยุนจิงกับเสี่ยวหมิงวิ่งไปยังลานฝึกยุทธ์ด้วยความเร่งรีบ แสงแดดยามเช้าทอประกายลอดผ่านยอดไม้ทำให้บรรยากาศดูสดชื่น
ลานฝึกเต็มไปด้วยบรรดาบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกันเพื่อฝึกฝนตามคำสั่งของจางไห่ซึ่งยืนรออยู่พร้อมแส้ม้วนหนึ่งในมือ
“เยว่ฮวา เสี่ยวหมิง เจ้าทั้งสองมาสายไปหนึ่งเค่อ! หากเจ้าเป็นทหารในสนามรบสายไปหนึ่งเค่อนั่นอาจหมายถึงชีวิต” จางไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลิวหยุนจิงรีบประสานมือคารวะด้วยความนอบน้อม “ขออภัยท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกเจ้าค่ะ!”
จางไห่มองนางด้วยแววตาเคร่งขรึมระคนเอ็นดู “ดี! แต่ถ้ายังมีเหตุการณ์เช่นวันนี้อีกเจ้าจะต้องถูกลงโทษ เอาละไปเข้าแถว วันนี้เราจะเริ่มจากฝึกพื้นฐานการทรงตัวก่อน”
หลังจากการฝึกยุทธ์ผ่านไปกว่าครึ่งวัน เหงื่อเม็ดเล็กจำนวนมากผุดพรายเกาะเต็มหน้าผากของหลิวหยุนจิง นางยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อพลางหายใจหอบทว่าในดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เจ้าทำได้ดีมาก ศิษย์น้อง” เสี่ยวหมิงกล่าวพร้อมยื่นน้ำดื่มให้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ศิษย์พี่&rd
“ท่านลุงคงไม่คิดจะถอดใจใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลิวหยุนจิงหรี่ตามองเขาเอ่ยถามตามตรง“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เจ้ารู้หรือไม่ไม่มีวันไหนที่ข้าลืมแม่ของเจ้าได้เลย อีกทั้งข้ายังโทษเรื่องราวทั้งหมดเป็นความผิดของตนด้วย ในเมื่อตอนนี้นางไร้ซึ่งพันธะข้ายิ่งมีแต่ต้องเดินหน้าให้สุดเท่านั้นเอง ว่าแต่เยว่ฮวาเจ้าคงไม่รังเกียจลุงใช่หรือไม่หากว่าลุงจะมาเป็นบิดาของเจ้า” ความตรงไปตรงมาและหนักแน่นของชายหนุ่มที่กำลังอุ้มตนอยู่ทำให้หลิวหยุนจิงแอบยกนิ้วชื่นชมเขาในใจ“ที่ข้าทำอยู่นี่เรียกว่ารังเกียจหรือเจ้าคะ ข้าอยากให้ท่านแม่มีความสุขเจ้าค่ะ ข้าขอแค่เพียงท่านลุงดีกับท่านแม่ให้มากและอย่าได้ขัดขวางสิ่งที่เป็นความสุขของนางก็พอ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม หากท่านรับปากข้าแล้วทำได้ข้าย่อมสนับสนุนท่านจนถึงที่สุด” ถ้อยคำออกจากปากเล็ก ๆ ที่ดูเกินวัยของเด็กหญิงทำให้ซุนเหวินนิ่งงันไปซึ่งเขารู้สึกว่าตั้งแต่รู้จักกับหลิวหยุนจิงมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสามารถทันต่อความคิดของนางได้“เยว่ฮวา เจ้าฉลาดเกินไปหรือว่าลุงเริ่มแก่แล้วจึงไม่อาจทันความคิดของเจ้าได้”หลิวหยุนจินหัวเราะออกมาเสียงใสให
หลิวอวี้เฟยกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ดวงตาของนางหลุบต่ำเล็กน้อยเพื่อซ่อนความรู้สึกวูบไหวในใจ นางไม่คิดว่าซุน เหวินจะกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าเด็กน้อยและองครักษ์ของตน นี่มัน…เกินความคาดหมายของนางไปมาก“เพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้น” ซุนเหวินเน้นย้ำน้ำเสียงทุ้มของเขาฟังดูจริงจังแต่กลับแฝงด้วยความอ่อนโยนบางเบาที่ทำให้หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะหลิวหยุนจิงที่นั่งอยู่บนตักของซุนเหวินกลับเผยรอยยิ้มสดใสออกมา นางชอบใจนักที่ท่านลุงของนางเดินหน้าเช่นนี้ นางมองไปทางมารดาอย่างคาดหวัง“ท่านแม่เจ้าคะ คิดเสียว่าพวกเราเลี้ยงข้าวตอบแทนท่านลุงดีหรือไม่ หากท่านไม่วางใจเช่นนั้นพวกเราก็พาท่านลุงไปกินข้าวที่เหลาเมิ่งฮวาของเราดีหรือไม่เจ้าคะ”หลิวอวี้เฟยตวัดสายตามองบุตรี ดวงตาของเด็กน้อยฉายแววพราวระยับนางรู้ทันทีว่าบุตรีของนางกำลังสมรู้ร่วมคิดกับ ซุนเหวินโดยที่นางไม่อาจปฏิเสธได้“เพียงมื้อเดียวเท่านั้น” นางกล่าวเสียงเบารู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบอย่างประหลาดซุนเหวินเผยรอยยิ้มที่มุมปาก “ตกลง เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเลือกร้าน
“ได้! ถ้าอย่างนั้นข้าจะพาเจ้าไปเอง เหม่ยจูเจ้ารอพวกเราอยู่ที่นี่เถอะนะ หากให้เจ้ากลับจวนตามลำพังข้าไม่วางใจ” ซุนเหวินพูดพลางมองสบเข้าไปในดวงตาของนาง“ตกลง ข้าจะรอท่านกับลูกอยู่ที่นี่” หลิวอวี้เฟยพูดขึ้นแต่เมื่อรู้ตัวว่าได้พูดคำผิดไปใบหน้าของนางก็เจือสีระเรื่ออย่างไม่อาจควบคุมทว่าหลังจากเห็นว่าซุนเหวินไม่ได้สนใจและหมุนกายอุ้มลูกน้อยของตนเดินออกจากห้องไปแล้วนางจึงได้พรูลมหายใจออกมาโดยไม่รู้เลยว่าทุกประโยคนั้นซุนเหวินกับคนของเขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจนและหลังจากซุนเหวินกับคนของตนเดินออกมาหน้าประตู ชายหนุ่มก็ไม่ลืมให้คนสนิททั้งคู่คอยอารักขาหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของดวงใจที่กำลังนั่งกระวนกระวายใจอยู่ด้านในและเมื่อเขาได้อยู่ตามลำพังกับเด็กหญิงตัวน้อย “ท่านลุง ได้ยินชัดเจนใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลิวหยุนจิงอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าคนร่างสูงที่ตอนนี้ใบหูกำลังแดงก่ำ“อะ...แฮ่มได้ยินอันใดกัน เจ้าเกาะคอลุงให้ดีเถอะ ลุงจะรีบพาเจ้าไปยังสำนักไท่ฉางเดี๋ยวนี้แล้ว” ซุนเหวินแสร้งกลบเกลื่อนก่อนจะทะยานกายไปด้านหน้าด้วยความเร็วทว่าในอ้อมแขนขอ
“ท่านลุงกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรามานั่งดูการแสดงของเขากันเถอะ” หลิวหยุนจิงเผยรอยยิ้มบางเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะขยับกายเล็กน้อยสองตามองลงไปทางด้านล่างบุรุษบนเวทีโค้งตัวให้กับแขกก่อนจะเริ่มต้นการแสดง เสียงพัดกระดาษที่ถูกสะบัดดังขึ้นเมื่อเขาใช้มือข้างหนึ่งโบกสะบัดพัดสีขาวเพียงครั้งเดียวดอกเหมยสีแดงก็ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศราวกับเกิดขึ้นจากความว่างเปล่าเสียงฮือฮาจากผู้ชมดังขึ้นทันที ดอกเหมยเหล่านั้นโปรยปรายลงสู่พื้นเวทีราวกับถูกเรียกมาจากหิมะฤดูหนาว“ดอกเหมยพัดสะบัด” หลิวหยุนจิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เป็นมายากลที่ใช้เทคนิคการซ่อนสิ่งของเล็ก ๆ ไว้ในพัด แล้วใช้แรงสะบัดทำให้มันปลิวออกมาเสมือนว่าดอกไม้ลอยขึ้นเอง” ซุนเหวินพยักหน้ารับรู้อย่างสนใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนนักแสดงบนเวทีไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายกมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวลูกแก้วใสลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของตน ก่อนที่มันจะเริ่มลอยขึ้นช้า ๆ ราวกับไม่ได้อยู่ในอำนาจของแรงโน้มถ่วงเสียงอุทานของแขกดังขึ้นอีกเป็นคำรบสอง บางคนถึงกับขยับตัวเข้าใกล้เวทีเพื่อจับตามองให้แน่ชัดว่ามัน
ในช่วงเวลานี้บริเวณหน้าเหลาสุราเมิ่งฮวายังไม่ค่อยมีคนมากนักแม้ว่าที่นี่จะเปิดเป็นกึ่งร้านอาหารโดยอาศัยแนวคิดมาจากโลกยุคปัจจุบันก็ตามเฟิงชิงที่ยืนอยู่หลังเคาร์เตอร์เมื่อเห็นกลุ่มของเจ้านายตัวน้อยเดินเข้ามาเจ้าตัวก็รีบเดินเข้าต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ซึ่งสำหรับสายตาของคนนอกนั้นได้มองว่าเขาคงรีบออกมาต้อนรับซุนเหวิน“คารวะทุกท่านขอรับ เหลาสุราเมิ่งฮวายินดีต้อนรับขอรับข้าน้อยได้ให้คนเตรียมห้องส่วนตัวบนชั้นสองเอาไว้แล้ว” ชายวัยกลางคนผายมือพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มซึ่งการพูดต้อนรับแบบนี้เป็นสิ่งที่เยว่ฮวานำมาสอนพนักงานในร้านทุกระดับชั้นไม่ว่าคนผู้นั้นจะแต่งกายเช่นไรหรือเป็นใคร“คารวะทุกท่านเจ้าค่ะ/ขอรับ เหลาสุราเมิ่งฮวายินดีต้อนรับเจ้าค่ะ/ขอรับ” คำพูดของพนักงานพร้อมกับกิริยาการค้อมตัวลงต่ำที่ดูแตกต่างจากที่อื่นทำให้ซุนเหวินรวมถึงผู้ติดตามอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ขณะที่ซุนเหวินก้าวเข้าไปในเหลาสุราเมิ่งฮวา เขาสังเกตเห็นว่าที่นี่แตกต่างจากโรงเตี๊ยมทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่การต้อนรับที่ดูเป็นระเบียบและให้เ
เมื่อสองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์รวมถึงพระมเหสีเว่ยจื่อฟูซึ่งได้ถูกแต่งตั้งขึ้นต่อจากมเหสีเฉินเจียวได้ลองใช้ พระนางทั้งสามก็รู้สึกโปรดปรานและชื่นชอบเป็นอย่างมากดังนั้นหลิวหยุนจิงจึงคิดว่าถึงเวลาสมควรที่จะให้มารดามองหาร้านและเปิดร้านเครื่องหอมอย่างเป็นทางการได้แล้ว นางจึงได้พูดออกมาหลังจากการรับอาหารเช้าร่วมกับครอบครัว“ท่านแม่ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องหาร้านเพื่อเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ” หลิวหยุนจิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง พลางทอดสายตามองมารดาที่กำลังมองนางอยู่เช่นกันหลิวอวี้เฟยพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่พวกเราจะเลือกที่ใดดี?”การเปิดร้านค้าสำหรับขายเครื่องหอมและผลิตภัณฑ์ความงามจำเป็นต้องมีทำเลเหมาะสม ลูกค้าหลักของพวกเขาคือ สตรีชั้นสูงและขุนนางผู้มั่งคั่งซึ่งหมายความว่าร้านต้องตั้งอยู่ในย่านการค้าของผู้คนมีกำลังซื้อ“ย่านตะวันออกของเมืองหลวงมีร้านค้าจำนวนมาก แต่หากต้องการให้สินค้าของเราเข้าถึงกลุ่มสตรีชั้นสูงเราอาจต้องพิจารณาย่านใกล้จวนขุนนางหรือใกล้พระราชวัง” หลิวหยุนจิง กล่าวหลิวอวี้เฟยคิดตาม “แต่การเ