นับว่าอวิ๋นรุ่นทำงานได้อย่างรวดเร็วว่องไวยิ่ง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ชายหนุ่มก็กลับมาจากอุทยานล่าสัตว์อู่ถงพร้อมหมอหลวงและหมอหญิงจำนวนหนึ่ง เห็นว่าเป็นหมอหลวงที่ติดตามขบวนเสด็จเพื่อคอยถวายการรักษาฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ตามอวิ๋นรุ่นกลับมาด้วยเมื่อทรงได้ทราบข่าวโรคระบาด ทั้งหมดรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนสกุลหานเพื่อตรวจหานเซียงอวิ๋น บิดาของหานฉงหรงอย่างละเอียด ซึ่งในตอนแรกผู้อาวุโสดูมีท่าทีงุนงงอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ มีคนสำคัญระดับหมอหลวงแห่งราชสำนักมาตรวจรักษาเขาด้วยตนเอง แต่เป็นอวิ๋นรุ่นที่ออกหน้าอธิบายว่านี่คือพระเมตตาของไทโฮ่วที่ต้องการมั่นพระทัยว่าหานปั๋วซื่อจะมาสอนองค์ชายน้อยหย่งเยี่ยในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งเป็นล้นพ้นพร้อมคุกเข่าหันหน้าไปยังทิศที่อุทยานล่าสัตว์อู่ถงตั้งอยู่พร้อมโขกศีรษะขอบพระทัยเป็นพัลวันหลังจากตรวจโรคด้วยวิธีสารพัดสารพัน หมอหลวงก็ออกมาจากห้องพร้อมกระดาษที่เขียนผลตรวจสองแผ่น แผ่นหนึ่งมอบให้หานเซียงอวิ๋น ระบุว่าผู้อาวุโสสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี เพียงแต่มีความเสี่ยงเป็นโรคเซี่ยวเข่อ [1] ให้ระวังเรื่องการรับประทานอาหารรสหวาน แต่ถ
“หานฉงหรง เจ้าเป็นอะไรไป” อวิ๋นรุ่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ท่ามกลางความสับสนในจิตใจที่ยิ่งกว่าทะเลบูรพาคลุ้มคลั่งโดยไม่รู้วานางจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี ยิ่งคิดยิ่งพาให้สองมือเย็นเฉียบประหนึ่งถูกจับแช่ในอ่องน้ำแข็ง ขนาดเด็กเล็กอย่างเด็กชายตรงหน้ายังสำแดงอาการมากเพียงนี้ แล้วกับบิดาของนางที่อายุมากแล้วจะเป็นเช่นไรบ้าง อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าวิชาแพทย์ที่เรียนรู้ตลอดหลายเดือนที่อยู่ที่หอตำราจะได้ผลกับโรคระบาดมากน้อยเพียงใดกันนางจะทำได้จริงหรือ นางจะช่วยบิดาของนางและชาวเมืองจี๋หลินด้วยสองแขนของนางได้จริงๆ หรือ“ฉงหรง” อวิ๋นรุ่นเรียกนางอยู่อีกหลายครั้ง สติของหานฉงหรงจึงกลับคืนสู่ร่าง พร้อมกับกระแสไออุ่นสายหนึ่งโอบล้อมมือที่เย็นชืดเหนียวอย่างเงียบงัน เมื่อก้มลงมองพลันพบว่าอวิ๋นรุ่นกำลังจับมือของนางอยู่“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงใจอย่างยิ่ง “ทีนี้เจ้าค่อยๆ บอกข้าว่าเด็กคนนี้เป็นอะไร” พูดพลางปรายตามองไปยังฝูงชนที่คลาคล่ำอยู่สองข้างทาง “ถ้าไม่ต้องการให้ชาวบ้านตื่นตระหนกก็กระซิบบอกข้าแทนได้”เด็กสาวไม่ได้หันไปตอบเขาทันที กลับหันไปถามหญิงชาวบ้านผู้
“แต่ท่านอ๋องถึงขนาดออกโรงเอง หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องเสื่อมเสียชื่อเสียง” หานฉงหรงพึมพำเมื่อเห็นเขาสาธยายออกมาอย่างไม่ติดขัด ท่าทีอ่อนลงหลายส่วน สิ่งที่คับข้องใจมาตลอดล้วนกระจ่างสิ้นชายหนุ่มถอนใจ พลางหยิบขนมในถุงเข้าปากอีกชิ้น “อีกไม่นานพวกเราก็จะกลับเมืองหลวง ข้าก็จะกลับไปเป็นเป่ยหนานหวังอวิ๋นรุ่นแห่งจวนเป่ยหนาน สถานะของเจ้ากับบิดาก็พลอยเปลี่ยนไป หานปั๋วซื่อจะกลายเป็นพระอาจารย์ของหย่งเยี่ย ส่วนเจ้าก็จะกลายเป็นธิดาตระกูลขุนนาง ลำดับขั้นสูงศักดิ์เกินกว่าที่จะสนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ เรื่องราวในจี๋หลินหลังจากนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับสกุลหานอีกต่อไปแล้ว คำติฉินที่ผ่านมาก็ไม่ต่างจากผายลม เช่นนี้แล้วเจ้าจะคิดมากไปทำอันใดกัน”“ก็จริง” หานฉงหรงฟังวาจาของอีกฝ่ายก็ให้ชวนคล้อยตาม ใจหนึ่งก็รู้สึกหงุดหงิดใจชอบกลที่นางหาเหตุผลแย้งอีกฝ่ายไม่ได้เลยอวิ๋นรุ่นเห็นคนตรงหน้าไม่ติดใจสงสัยอะไรก็เอ่ย “เราออกมาข้างนอกนานพอสมควรแล้ว ข้าว่าพวกเรากลับเรือนสกุลหานเถิด อย่าปล่อยให้หานปั๋วซื่อแขวนท้องรอกินอาหารกลางวันร่วมกัน”“เพคะ”หานฉงหรงขานรับ ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเห็นด้วยกับน้ำคำของเป่ยหนานหวังมากเท่าน
ด้วยเกรงว่าถ้าไม่นางทำตามอาจจะถูกผีร้ายที่สิงร่างอวิ๋นรุ่นบีบคอตายเสียก่อน ฉงหรงจึงยื่นมือสั่นเทาที่ถือขนมอยู่ไปหาชายหนุ่ม อวิ๋นรุ่นเมื่อเห็นว่าขนมกำลังจะร่วงจากมือบาง เขาจึงยกมือใหญ่ประคองมือเล็กของนางแล้วรีบงับขนมใส่ปาก เคี้ยวหงุบหงับไปมาพลางยิ้มชอบใจ “หวานยิ่ง”หานฉงหรงอยากกรีดร้องใส่หน้าอีกฝ่ายดังๆ ใบหน้าแดงก่ำสลับเผือดขาวจนดูน่าขัน แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะดึงมือกลับยังไม่มี ได้แต่ปล่อยให้อวิ๋นรุ่นกอบกุมราวกับกำลังประคองไข่มุกบูรพาที่กลมกลิ้งอยู่ใจกลางฝ่ามือกระนั้นชายชราเจ้าของแผงขายขนมที่ได้ยินข่าวลือใหม่มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อได้มาเห็นเป็นประจักษ์กับตาก็ให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาเห็นหานฉงหรงมาแต่อ้อนแต่ออก เรื่องข่าวลือเสียหายที่ลือกันในตอนแรกเขาจึงไม่ได้ปักใจเชื่อทันทีเหมือนผู้อื่น จนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป หานฉงหรงกลับมาพร้อมกับบุรุษที่ทั้งหล่อเหลาและสุภาพผู้หนึ่ง เมื่อสอบถามเด็กรับใช้ที่ติดตามกับสาวใช้ในเรือนสกุลหานก็ได้ความตรงกันว่านั่นคือคู่หมายของคุณหนูหานที่แท้จริง ทั้งรูปร่างหน้าตา และฐานะยศศักดิ์ ไม่ว่าจะมองด้านไหนก็นับว่าเหนือกว่าฉางซื่อหลางทุกทาง อีกทั้งคนพวกนั้นยังบอกเล่าเรื่องร
เมื่ออวิ๋นรุ่นและหานฉงหรงเดินออกมาที่หน้าประตูเรือนก็เห็นเพียงหลีรั่วกับเหวินซิ่วที่ยิ้มต้อนรับพวกเขาอยู่ หานฉงหรงลอบเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายที่บริเวณจอนผมและหน้าผากเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มคนสนิทอวิ๋นรุ่นคล้ายไปเผชิญสมรภูมิอันหนักหนา เมื่อหันไปมองบุรุษสูงศักดิ์ข้างๆ เป็นเชิงถามก็ไม่ได้รับคำตอบอันใด“ท่านอ๋อง พวกท่านจะออกไปข้างนอกหรือ ให้พวกกระหม่อมติดตามรับใช้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหวินซิ่วยิ้มเอ่ย“ไม่เป็นไร ร้านค้าในตลาดใกล้ๆ แค่นี้ พวกเราไปกันเองได้ พวกเจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด” ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นจึงเดินนำหน้าก้าวออกจากประตูจวนด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่งทั้งสองตรงไปยังร้านขายแพรพรรณขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองจี๋หลิน หานฉงหรงบอกว่าที่นั่นเถ้าแก่เนี้ยหัวคิดทันสมัยกว่าใคร จำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปเอาไว้รับรองเผื่อมีกรณีที่มีลูกค้าที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ ตอนที่นางอยู่ที่นี่เคยลองซื้อไปชุดหนึ่ง พบว่าเนื้อผ้าไม่เลว อีกทั้งยังบำรุงรักษาและอบร่ำให้หอมสะอาดพร้อมสวมใส่ทันทีอยู่เสมอ ซึ่งอวิ๋นรุ่นได้เห็นเองกับตาก็พบว่าเป็นเรื่องจริง พอนางเลือกได้ชุดสีเขียวไล่สีอ่อนเข้มอย่างพิถีพิถันมาชุดหนึ่ง
หานเซียงอวิ๋นรับการคารวะอย่างเต็มพิธีการจากหานฉงหรงผู้เป็นบุตรสาวก่อนตรงเข้าสวมกอดกันทั้งน้ำตา ผู้อาวุโสกว่าใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้บุตรสาวพลางเอ่ย “ลูกเอ๋ย ไม่ได้เจอกันเสียนาน เจ้าสบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านอ๋องดูแลลูกเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ลูกไม่สบายกายไม่สบายใจแม้แต่น้อย” นางคลี่ยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลอที่หน่วยตาทั้งสองข้าง ทั้งที่นางตั้งใจแล้วว่าเมื่อพบหน้าบิดาจะมอบแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่บิดาให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่เมื่อเห็นบิดาผู้ให้กำเนิดยังมีชีวิตอยู่ หาได้ประสบภัยจากโรคระบาดจนตายจากเหมือนดั่งโลกก่อนไม่ อีกทั้งอีกไม่นานก็จะกลายเป็นพระอาจารย์ของว่าที่รัชทายาทของแผ่นดินในอนาคตก็อดที่จะดีใจและโล่งใจจนน้ำตาไหลมิได้ชะตากรรมของนางและบิดาเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนไปด้วยน้ำมือของนางเอง...อีกฝ่ายพินิจเครื่องแต่งกายอันหรูหราสมฐานะนางกำนัลระดับสูงที่รับใช้เชื้อพระวงศ์ของบุตรสาวก็ให้นึกยินดี “สบายดีก็ดีแล้ว แต่พ่อว่าเจ้าผอมลงไปอยู่โข คาดว่าที่เจ้ารับหน้าที่สอนสั่งองค์ชายน้อยคงลำบากไม่น้อยสินะ”“หามิได้หรอกเจ้าค่ะ องค์ชายน้อยเฉลียวฉลาด ลูกเพียงชี้แนะเพียงเล็กน