หลังจากการเรียนชงชากับฮองเฮาสำเร็จลง หวังหยู่ก็เริ่มผ่อนคลายและรู้สึกอบอุ่น กับการที่ได้ใช้เวลาร่วมกับฮองเฮา พระนางไม่เพียงสอนเรื่องการชงชา แต่ยังถ่ายทอดความเมตตาและความห่วงใยที่มีต่อหวังหยู่เช่นเดียวกับลูกของตัวเอง การสนทนาระหว่างทั้งสองเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจกันดี ฮองเฮาและหวังหยู่ดูเข้ากันได้อย่างไร้ช่องว่างระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ขณะที่องค์รัชทายาทหลี่หยางกำลังทรงงานร่วมกับฮ่องเต้พระบิดาในราชสำนัก หลี่หยางรู้สึกว่าการทำงาน ในวันนั้นช่างยาวนาน เขาทำงานด้วยความตั้งใจแต่ในเวลาที่วางใจเขากลับมีภาพของหวังหยู่ลอยเข้ามาเสมอ เขานึกถึงพระชายาของเขาที่เขินอายเวลาที่หยอกล้อกับเขา ใบหน้าสวยหวานยิ่งกว่าสตรีของพระชายาทำเอาความรู้สึกคิดถึงนั้นยิ่งทวีคูณขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งองค์รัชทายาทไม่สามารถอดใจรอได้อีกต่อไปเมื่อการทรงงานในราชสำนักเสร็จสิ้นลง หลี่หยางไม่รอช้าตัดสินใจที่จะไปหาพระชายาของตนทันที เมื่อเขาได้ยินว่าพระชายากำลังอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาเขาจึงรีบเดินไปหาทั้งสองคนด้วยความคิดถึงเมื่อหลี่หยางเดินเข้าไปในตำหนักของฮองเฮา เขาพบว่าฮองเฮากำลังนั่งสนทนากับพระชายาของเขาอย่างมีความสุข ทั้งสอ
ท่ามกลางการประชุมที่เต็มไปด้วยข้อเสนอและความเห็นที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง มีเสียงหนึ่งที่เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง นั่นคืออ๋องหลี่จิ้ง โอรสของพระสนมฉินฮวา ซึ่งมักจะมีท่าทีอิจฉาริษยาต่อองค์รัชทายาทหลี่หยางและพระชายาหวังหยู่ อ๋องหลี่จิ้งมองด้วยความไม่พอใจมาตลอดที่หวังหยู่ไม่เพียงแค่เป็นพระชายาของรัชทายาท แต่ยังเป็นที่ยอมรับในความสามารถด้านการปกครองและการแพทย์ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้หลี่จิ้งรู้สึกว่าตนถูกมองข้ามในราชสำนัก และเขาจึงมักจ้องหาโอกาสที่จะคัดค้านและโต้แย้งความคิดเห็นของหวังหยู่ เพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง หลังจากที่หวังหยู่ได้เสนอแนะเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนและส่งยารักษาโรคไปยังพื้นที่ประสบปัญหาอ๋องหลี่จิ้งก็ลุกขึ้นทูลคัดค้านความคิดนี้ทันที น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่พอใจ “ข้าขอกราบทูลฝ่าบาท ข้าคิดว่าการส่งหมอและเวชภัณฑ์ไปยังพื้นที่เหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น เราควรให้ความสำคัญกับการจัดส่งเสบียงและการฟื้นฟูการเกษตรมากกว่า การส่งหมอหลวงไปจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของราชสำนักโดยไม่จำเป็น” อ๋องหลี่จิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
หลังจากที่องค์รัชทายาทหลี่หยางเริ่มต้นฝึกทรงงานในราชสำนักภายใต้การควบคุมดูแลของฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาอย่างจริงจัง พระองค์ได้แสดงความสามารถและสติปัญญาที่เฉียบแหลมให้ปรากฏชัดต่อเหล่าขุนนาง หลายคนเริ่มยอมรับในความสามารถขององค์รัชทายาทมากขึ้นในช่วงนี้เองฮองเฮาที่ทรงเห็นความทุ่มเทและการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยของหลี่หยาง และทรงรู้ว่าหวังหยู่เป็นคนสำคัญที่คอยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างองค์รัชทายาทตลอดมา จึงมีรับสั่งให้หลี่หยางพาพระชายามาร่วมดูการว่าราชการในราชสำนักด้วยเช้าวันหนึ่งหลี่หยางได้รับรับสั่งจากฮองเฮาว่า พระองค์อยากให้พระชายาหวังหยู่ได้มาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทขณะว่าราชการ เพราะหวังหยู่มีความสามารถรอบด้านและจะเป็นประโยชน์ต่อการทรงงานของหลี่หยางในหลาย ๆ ด้าน“ข้าเห็นว่าพระชายาของเจ้าช่วยเหลือเจ้าได้มากในการดูแลประชาชน เจ้าควรพาหวังหยู่มาร่วมดูว่าราชการด้วย ข้าเชื่อว่าทักษะและความรู้ของเขาจะช่วยเจ้าได้อีกมาก” ฮองเฮาตรัสกับหลี่หยางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่จริงจังหลี่หยางรับฟังคำรับสั่งจากฮองเฮาด้วยความเคารพ แม้ในใจของเขาจะรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะการนำพระชายาเข้ามาร่วมว่าราชการเป็นเรื่องที่
เมื่อเวลาผ่านไปหวังหยู่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ หลังจากคืนที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เมื่อดวงตาเขาเปิดเต็มที่ เขากลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทหลี่หยาง กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ และจ้องมองเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น“ท่าน ท่านมองข้าตลอดเวลาเลยหรือ” หวังหยู่ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตกใจและเขินอาย ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกมองในยามหลับหลี่หยางยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของหวังหยู่ “แน่นอนสิ ข้ามองเจ้ามาตั้งแต่เช้า เจ้านอนเหมือนเด็กน้อยจริง ๆ ข้าอดยิ้มไม่ได้”หวังหยู่ยิ่งรู้สึกเขินหนักกว่าเดิม เขาหันหน้าหนีเล็กน้อย แต่ในใจเขากลับเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามปกปิดความรู้สึกเขินอายที่ถูกหลี่หยางจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้“ท่านนี่นะ” หวังหยู่บ่นเบา ๆ ด้วยความอาย และพยายามหาทางเลี่ยงสายตาของหลี่หยาง แต่ก็ไม่สำเร็จหลี่หยางไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไปง่าย ๆ เขาแซวหวังหยู่ต่อ “เจ้าช่างขี้อายเหมือนกันนะ ไหนว่าเก่งรอบด้าน แต่แค่ข้ามองเจ้าตื่นมาก็เขินซะแล้ว” เขาพูดอย่างขบขัน ราวกับตั้งใจแกล้งให้หวังหยู่รู้สึกเขินมากขึ้นหวังหยู่ที
หลังจากการช่วยเหลือชาวบ้านในชนบทเสร็จสิ้น ทั้งองค์รัชทายาทหลี่หยาและพระชายาหวังหยู่ ก็เตรียมตัวเดินทางกลับสู่ราชสำนักที่เมืองหลวง แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนักเพื่อประชาชน แต่ความสำเร็จที่พวกเขาทำได้ทำให้หัวใจทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจเมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ขบวนขององค์รัชทายาทหลี่หยางและหวังหยู่ได้รับการต้อนรับจากขุนนางและคนในราชสำนักที่ชื่นชมในความสำเร็จของทั้งสอง หลังจากทำพิธีการต่าง ๆ เสร็จสิ้น หลี่หยางและหวังหยู่ก็แยกย้ายกันกลับไปยังตำหนักของตนตามปกติแต่ครั้งนี้หลี่หยางมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง เมื่อเขามองเห็นหวังหยู่ที่กำลังเดินจากไปยังตำหนักของตัวเอง ใจของเขากลับรู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย การที่ต้องแยกกันกลับตำหนักเหมือนเดิมทำให้หลี่หยางครุ่นคิดและรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องแสดงความชัดเจนมากขึ้นในคืนเดียวกันนั้น หลี่หยางตัดสินใจไปยังตำหนักของหวังหยู่ด้วยตัวเอง เมื่อเขามาถึงหวังหยู่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ หลังจากผ่านวันอันแสนยาวนาน“องค์รัชทายาท ท่านมาเยี่ยมถึงที่ตำหนักมีอะไรหรือเปล่า” หวังหยู่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มและอ่อนโยนตามแบบฉบับ
หลังจากใช้เวลาในชนบทร่วมกับองค์รัชทายาทหลี่หยางและพระชายาหวังหยู่มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติ หวังหยู่เริ่มสังเกตเห็นปัญหาใหญ่ที่อาจเป็นอันตรายต่อชาวบ้านมากที่สุด นั่นคือโรคระบาด ที่เริ่มแพร่กระจายในหมู่ชาวบ้าน เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและขาดแคลนทรัพยากรที่เพียงพอแม้จะมีการรักษาโรคเบื้องต้นและจัดยาบรรเทาให้ชาวบ้านแล้ว แต่หวังหยู่รู้ดีว่าการรักษาโรคระบาดนั้นไม่เพียงพอ หากไม่ได้ป้องกันโรคให้ถูกวิธี โรคระบาดอาจกลับมาแพร่กระจายอีกได้ทุกเมื่อหวังหยู่ใช้ความรู้ด้านการแพทย์จากตอนเป็นวายุมาช่วยในการคิดวิเคราะห์ จึงตัดสินใจเรียกชาวบ้านมารวมตัวกันที่ศาลากลางหมู่บ้าน เพื่อแนะนำวิธีป้องกันโรคระบาดและให้ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัยที่จำเป็นหวังหยู่พูดกับชาวบ้านด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและมั่นใจ “พวกท่านทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าและองค์รัชทายาทอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน แต่ข้าต้องการให้พวกท่านเข้าใจวิธีป้องกันโรคระบาด เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคร้ายนี้”ชาวบ้านที่มารวมตัวกันต่างตั้งใจฟังสิ่งที่พระชายาจะบอก ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่พระชายาขององค์รัชทายาทสนใจและห่วงใยสุขภาพของพวกเขาหวัง