[คิริน Part]
“ลลิน พิชญธิดา”
ผมอ่านชื่อเธอซ้ำช้า ๆ พลางใช้นิ้วแตะที่มุมเอกสาร ก่อนจะพลิกไปดูรูปถ่ายหน้าตรงเล็ก ๆ บนใบสมัครนั้น
“ใช่แน่นอน ไม่ผิดตัวแน่”
หญิงสาวในชุดเดรสเมื่อคืนนั้น คนที่ผมไม่ควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิด แต่โชคชะตา ดูเหมือนจะไม่ได้คิดเช่นนั้นถึงยัดเยียดเธอเข้ามาในชีวิตของผม
ผมเหยียดยิ้มจาง ๆ ยังจำทุกอย่างในคืนนั้นได้ดี แม้จะอยู่ในสภาพกึ่งมีสติจากฤทธิ์ยา แต่สัมผัสของเธอก็ชัดเจนจนแทบฝังลงในสมอง
“มาสมัครงานที่บริษัทฉันงั้นเหรอ? หรือว่าเป็นแผนอะไรของใครอีก?”
ผมพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมหรี่ลงขณะวางเอกสารลงบนโต๊ะ ก่อนจะกดปุ่มบนรีโมตเพื่อเปิดจอวงจรปิดที่ซ่อนอยู่ในบานกระจกเงาฝั่งตรงข้าม
ภาพจากชั้นสี่ของฝ่ายบุคคลแสดงให้เห็นหญิงสาวเจ้าของชื่อในใบสมัครนั่งรออยู่หน้าโต๊ะพนักงานด้วยท่าทางไม่มั่นใจ เธอนั่งขดตัวเหมือนจะพับลงไปได้ทุกเมื่อ มือบีบกันแน่นขณะเหม่ออย่างใจลอย ผมจ้องภาพนั้นนิ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ กับเลขาส่วนตัวที่ประจำอยู่หน้าห้องผ่านอินเตอร์คอม
“แจ้งฝ่ายบุคคลว่าผู้สมัครชื่อนี้ให้ขึ้นมาสัมภาษณ์กับฉันโดยตรงในวันพรุ่งนี้”
เสียงอีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะรู้ว่าโดยปกติแล้วผมไม่เคยสนใจเรื่องรับพนักงานตำแหน่งเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง
“ได้ค่ะ ท่านประธาน”
ผมตัดสาย ไม่พูดอะไรอีก แล้วทอดสายตามองภาพลลินในจออีกครั้ง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
และในครั้งนี้....
เธอจะหนีฉันไม่ได้อีกแล้ว ลิลิน...
[ระบบหญิง] “ภารกิจใหม่มาแล้วว~ ใช้เท้าเกี่ยวขาเขาใต้โต๊ะ!”
“ฮะ!!?” ฉันเบิกตากว้างทันทีที่เห็นข้อความนั้นผุดขึ้นมาในหัว
“ไม่เอาน่า จะบ้าเหรอ นี่มันห้องสัมภาษณ์นะ!”
[ระบบชาย] “ทำภารกิจสำเร็จจะได้เงิน 2,000 บาท แต่ถ้าไม่ทำ จะถูกหัก 5,000 บาทจากบัญชี”
“นี่มันบ้าไปแล้ววว! เกิดแต่กับกูของจริง!” ฉันโวยลั่นในใจ
จากนั้นค่อย ๆ นั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขา สายตาทุกคู่จับจ้องมา ฉันพยายามทำใจให้มั่นคงและข่มความอับอายลงไปให้ได้
“คุณลลิน พิชญธิดา ใช่ไหมครับ?” เขาถามด้วยเสียงเรียบเย็น
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตา “ค่ะ ดิฉันเอง”
“คุณสนใจตำแหน่งนี้เพราะอะไร?”
เขาถามพลางเหลือบมองใต้โต๊ะนิดหน่อย เหมือนจะรู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
ฉันยิ้มแห้ง “เพราะดิฉันอยากเรียนรู้จากบริษัทที่มีระบบบริหารจัดการที่ดีค่ะ”
[ระบบหญิง] “ตอบเก่ง~ แต่ยังไม่พอหรอก ต้องใช้เท้าเกี่ยวขาเขาด้วย!”
ฉันหลับตาปี๋ และแล้วก็ขยับปลายเท้าไปอย่างช้า ๆ…
[คิริน Part]
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนบางอย่างที่อยู่ใต้โต๊ะสัมภาษณ์สัมผัสที่ขา
“ลลิน พิชญธิดา อายุ 23 ปี จบคณะบริหารธุรกิจ เกรดเฉลี่ยปานกลาง แต่มีเกียรติบัตรการทำกิจกรรมและการฝึกงานครบถ้วน”
ผมเอ่ยขึ้นในขณะที่อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังเอาเท้าของเธอเขี่ยที่ขาผมไม่หยุด นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ คำถามนี้ผมได้แต่ถามอยู่ในใจ สายตาจ้องเธอเขม็งแต่สาวน้อยคนนี้กลับเหมือนไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด ปลายเท้าของเธอยังคงไล้ไปมาที่ขาของผมจนตอนนี้ขนทั้งตัวเริ่มลุกชัน
“คิดจะเล่นแบบนี้เหรอยัยตัวแสบ!”
เมื่อคณะกรรมการคนอื่น ๆ สัมภาษณ์เธอและถามคำถามไปได้พอประมาณแล้ว ผมในฐานะประธานบริษัทจึงบอกให้ทุกคนออกไปด้านนอกก่อน และขอคุยกับเธอตามลำพังอีกครั้ง โดยอ้างว่าผมต้องการสัมภาษณ์เธอเป็นการส่วนตัวสำหรับการพิจารณารับเข้าทำงาน
[ลลิน Part]
ผมชายคนนี้เป็นท่อนไม้หรือยังไงกันนะ ขนาดว่าฉันเขี่ยขาเขามาสักพักใหญ่ ทั้งเขี่ย ทั้งเอาปลายเท้าลูบไล้ขึ้นลง แต่เขาก็ยังนิ่งได้อยู่อีก
ฉันสูดหายใจแรง แล้วค่อย ๆ ขยับขาใต้โต๊ะไปหาเขามากขึ้น สัมผัสที่ข้อเท้าชนกัน ฉันแทบจะละลายด้วยความอาย แต่คิรินก็ยังไม่สะดุ้ง ไม่ขยับหนี และไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย
แต่งครั้งนี้เขากลับเอื้อมมือมาจับข้อเท้าของฉันเอาไว้ แล้วโน้มลงมากระซิบใกล้ ๆ
“เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เสียงของเขานุ่ม แต่ทรงพลังจนฉันกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ฉันเงยหน้าขึ้นสู้ จ้องตาเขาแน่นิ่งก่อนจะตอบเสียงชัด
“ก็จะจีบคุณไง”
แล้วฉันก็โน้มตัวไปจูบเขาเบา ๆ ตรงมุมปาก “จุ๊บ!”
[ระบบหญิง] “กรี๊ดดดดด!!! ทำถึง! เอาเงิน 10,000 ไปเลยจ้ะเธอ!!!”
[คิริน Part]
ผมนั่งนิ่งอยู่สักครู่ ปล่อยให้ริมฝีปากยังรู้สึกถึงสัมผัสจากจูบนั้นอยู่
“เธอนี่...น่าสนใจจริง ๆ”
“ชักอยากรู้แล้วสิว่าเธอเป็นใครกันแน่...”
ดวงตาของผมไม่หลบสายตาเธอเลยแม้แต่น้อย และคราวนี้ เธอก็ไม่ได้หลบตาเหมือนเดิม ยังคงจ้องหน้าผมด้วยแววตาเย้ายวนและท้าทาย
“หึ! ยัยตัวแสบ!!” ผมเขี้ยวฟันในใจ
“ออกไป!” ผมเอ่ยเสียงกร้าว
“คะ?”
“ฉันบอกว่าออกไป!”
ยัยตัวแสบเหมือนจะงงว่าทำไมจู่ ๆ ผมเปลี่ยนท่าทีไปขนาดนั้น เธออ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป
[ลลิน Part]
หลังจากหลุดพ้นออกจากห้องสัมภาษณ์ ฉันยืนพิงผนังทางเดินเหมือนคนหมดแรง มือยังสั่นไม่หยุด หัวใจเต้นรัวจนรู้สึกปวดไปหมด
“ฉันทำแบบนั้นเขาจะรับฉันไหมเนี่ย หรือจะโยนใบสมัครทิ้งเลยหลังจากนี้ ตาย ๆ นี่ฉันทำอะไรลงไป”
[ระบบหญิง] “ไม่โยนทิ้งแน่นอน~ เขากำลังหลงเธอ! ฉันเห็นสายตาคู่นั้นก็รู้แล้ว!~”
[ระบบชาย] “เตรียมตัวเข้าสู่ภารกิจใหม่ หากได้รับการตอบรับเข้าทำงาน โปรดพร้อมสำหรับการฝึกงานในวันถัดไป”
ฉันพยักหน้าช้า ๆ เหมือนซึมซับความจริง
“แค่นี้ก็เหมือนวิ่งผ่านระเบิดลูกแรกมาได้แล้วใช่ไหมวะ…”
สองเท้าเดินอย่างหมดแรงออกจากตึกใหญ่ จนไปถึงร้านอาหารตามสั่งข้างทาง
“ขอกินเติมพลังหน่อยละกัน ผู้ชายคนนั้นทำฉันเสียพลังไปเยอะชะมัด”
ฉันบ่นอุบพลางก้าวเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง แต่ลึก ๆ ในใจ มันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แปลกประหลาดก่อตัวขึ้น
นี่เรียกว่าเขินเหรอ?
หรือแค่ความวูบวาบจากคำพูดของเขา?
‘ชักอยากรู้แล้วสิว่าเธอเป็นใครกันแน่...’
คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวฉันซ้ำไปซ้ำมา
บางทีเขาอาจจะไม่ใช่แค่บอสทั่วไปก็ได้นะ
เมื่อกลับถึงคอนโด ตอนกลางคืน ฉันนอนไม่หลับเลย ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะไม่ได้งานหรอกนะ เอ่อ..ถึงจะกลัวนิดหน่อยก็เถอะ แต่เพราะใจมันเต้นตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา เหมือนเพิ่งโดนคนหล่อระดับเทพพระเจ้าใช้สายตาทะลุทะลวงเข้าไปในสมอง เสียงของเขาดังก้องในหูไม่หยุด
‘ชักอยากรู้แล้วสิว่าเธอเป็นใครกันแน่...’
จำเป็นต้องพูดจาแบบนั้นไหม!?
จำเป็นต้องส่งสายตาแบบนั้นมาด้วยไหม!?
ฉันมุดหัวอยู่ใต้ผ้าห่ม กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนหนอนดิ้น ดิ้นจนเตียงแทบยุบ เสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้นเบา ๆ
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนอีเมลดังงขึ้น ฉันรีบเปิดดูทันที แล้วก็แทบจะกรี๊ดลั่น
[จาก
: HR ซาเรน่ากรุ๊ป] ....“ระบบหญิง ทำไมอยู่ ๆ ถึงเตือนฉันว่าอันตรายกำลังจะมาถึงล่ะ มีอะไรรึเปล่า?”ฉันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังกรอกข้อมูลประชุมอย่างขะมักเขม้น สายตาเบลอเล็กน้อยเพราะนั่งนานเกินไป แต่เสียงแจ้งเตือนของระบบทำให้ฉันตื่นเต็มตาในทันที....[ระบบหญิง] “ภัยอันตรายระดับ 4 กำลังเข้าใกล้บุคคลเป้าหมาย โปรดระวังและหาทางเตือนเขาโดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เขาใช้รถคันประจำ”....“หา!? อันตรายอะไรอีก” ฉันแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืนทั้งที่เพื่อนร่วมงานยังเต็มห้องฉันคว้าสมาร์ตโฟนแทบจะในทันที มือไม้สั่นไปหมด โทรศัพท์ถูกกดไปยังเบอร์ที่ตอนนี้ฉันจำได้ขึ้นใจเสียงรอสายดังอยู่สองครั้งก่อนจะมีเสียงเรียบนิ่งรับสาย“ว่าไง” น้ำเสียงของเขายังนิ่งเฉยเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายเลยแม้แต่น้อย“บอสกำลังจะไปที่พบพันธมิตรใช่ไหมคะ? ที่ไหนคะ”“ใช่ มีอะไรเหรอ”“เอ่อ...บอสเอารถคันไหนไปคะ”“ก็คันที่เคยใช้ประจำ”“บอสเปลี่ยนรถคันใหม่ได้ไหมคะ”“ทำไม” เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มประดา“เอาเถอะค่ะ นะคะฉันขอร้องล่ะ” ฉันพูดอย่างรวดเร็ว ใจเต้นตุบตับเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าบอกนะว่าเธอไปฟังมา
ในตอนนั้นเอง แผนการในหัวของฉันก็ผุดขึ้นทีละขั้น...หนึ่ง ฉันต้องยืนยันว่า Sable Lines มีเงาดำอยู่เบื้องหลังสอง ดูว่าใครเอาคำนี้เข้ามาใกล้ที่สุดสาม จัดฉากให้ความจริงเดินเข้ามาหาเขาเอง....เช้าวันต่อมา ภาคินกลับมาอีกครั้ง เขาวางแฟ้มเวอร์ชันแก้ไขข้อเสนอลงบนโต๊ะ คุณพรรณราย ผู้จัดการฝ่ายบริหารแวะมาเซ็นผ่านเอกสารบางอย่าง ฉันสังเกตเห็นมือภาคินที่จับโทรศัพท์ นิ้วโป้งเลื่อนไวผิดปกติ ล็อกหน้าจอแทบจะทันทีที่เราเหลือบมองระหว่างพักเบรก ฉันตั้งใจแกล้งทำแฟ้มหล่นหน้าลิฟต์“อุ๊ย!” กระดาษกระจัดกระจาย ภาคินก้มลงช่วยเก็บ“เดี๋ยวผมช่วย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้ม เก็บกระดาษไปพลางดูรองเท้าหนังเขาไปพลาง ส้นรองเท้ามีรอยยางคล้ำนิดนึง คล้ายกับคราบที่พื้นลานท่าเรือ ไม่ใช่คราบทั่ว ๆ ไปที่จะเปื้อนรองเท้าตามปกติ ฉันเก็บก้อนข้อมูลเล็ก ๆ นี้ไว้ในหัวบ่ายนั้น ฉันขออนุญาตคิรินลงไปคลังเอกสารเพื่อไปเอาแฟ้มสัญญาโลจิสติกส์ปีก่อน แต่จริง ๆ แล้วฉันไปหา ฉากที่ต้องการโดยอ้างเรื่องเอกสารบังหน้า ฉันขอให้ฝ่ายไอทีช่วยดึงล็อกการเชื่อมต่อไวไฟสำหรับแขก ซึ่งโชว์ อุปกรณ์ไม่รู้จัก เชื่อมผ่านพร็อกซีชื่อ Sable-r เมื่อวานช่วงกลางดึก อุปกรณ์
[ลิลิน]บ่ายวันศุกร์ เมฆทึบเคลื่อนต่ำกว่าปกติ เงาของมันทอดยาวบนพื้นหินอ่อนหน้าห้องทำงานท่านประธาน ฉันวางแฟ้มที่จัดเรียงด้วยมือสั่นน้อย ๆ เพราะเมื่อคืนยังนอนไม่เต็มอิ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฟิลิปโดนทำร้าย ฉันจิบกาแฟดำแก้วที่สอง ขมจนคิ้วขมวด ก่อนเสียงสแกนเนอร์หน้าประตูจะดังติ๊ด พร้อมประตูผลักเข้าเบา ๆ“ไม่ได้เจอกันนานคุณลิลิน”ผู้ชายร่างสูงโปร่งในสูทเทาเข้มก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเนี้ยบ เขาชื่อ “ภาคิน” เพื่อนสนิทของคิริน คนที่ฉันเห็นบ่อยครั้งเวลาเรื่องสำคัญมาก ๆ เท่านั้น“สวัสดีค่ะ คุณภาคิน” ฉันยิ้มตามมารยาท “นัดบอสไว้เหรอคะ”“ระดับผมไม่ต้องนัดก็ได้ บอสคุณอนุญาตอยู่แล้ว”เขาหัวเราะเบา ๆ แบบคนกันเอง แต่แววตาลึก ๆ มีบางอย่างวูบผ่านเร็วมาก ฉันแยกไม่ออกว่าเป็นความกังวลหรือความตื่นเต้นไม่นาน คิรินออกมาจากห้องด้านใน เขาสวมเสื้อเชิ้ตขาวพับแขน ท่าทางเหมือนคนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “สายไปห้านาที”“รถติด” ภาคินยักไหล่ “แต่ฉันเอาของดีมาด้วย”เขาวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะกาแฟ ฉันขยับถาดเครื่องดื่มให้อัตโนมัติแล้วถอยไปครึ่งก้าว เพื่อเปิดทางให้พวกเขานั่งตรงกัน ชั่วครู่ห้องก็มีเพียงเสียงกระดาษพลิกกับเสียงนาฬิกา
[ลิลิน]ฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตู แทบไม่กล้ามองเขาตรง ๆ แต่ก็ต้องเงยหน้าในที่สุด สบเข้ากับดวงตาคมที่ฉันรู้จักดี วันนี้มันไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกที แต่กลับเหมือนกำลังกังวล“เธอเงียบทั้งวัน ไม่ออกมากินอะไรเลย เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น นิ่งแต่เต็มไปด้วยน้ำหนักฉันเม้มปากแน่น ไม่อยากบอกว่าฉันเอาแต่คิดถึงเขาจนหัวแทบระเบิด จะบอกยังไงดีล่ะว่า ฉันกำลังตกหลุมรักเขาจริง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควร?“ก็แค่...เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ” ฉันโกหกออกไป....[ระบบชาย] “คำโกหกถูกตรวจจับ แต่เพื่อเลี่ยงการขัดแย้ง ขอปล่อยผ่านหนึ่งครั้ง”[ระบบหญิง] “ลูกสาว~ เขามองด้วยสายตาห่วงใยแบบนี้แล้ว บอกตรง ๆ ไปเลยสิ !”....ฉันทำเป็นไม่สนใจระบบ หันไปมองด้านข้างแทนเพื่อหลบสายตาคมคู่นั้น แต่เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว....[คิริน]ผมยืนมองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า วันนี้ไม่เหมือนทุกที เธอเงียบเกินไปจนผิดปกติ ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม มันผิดปกติจนผมอดไม่ได้ที่จะกังวล ทั้งวันเธอเอาแต่อยู่ในห้อง ไม่ออกมากินข้าวกินปลา ไม่แม้แต่จะออกมาคุยเล่นกับพวกแม่ป้าเหมือนทุกครั้ง“เหนื่อย? แค่เหนื่อยเนี่ยนะ ถึงกับต้อง
วันหยุดที่ไม่ได้หยุดทั้งหัวใจและสมองเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านฉันปิดม่านทึบจนแสงเช้าหลุดเข้ามาได้แค่ริ้วเล็ก ๆ ห้องทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ ตึก…ตัก…ตึก…ตัก จังหวะซ้ำ ๆ ตอกย้ำจังหวะหัวใจของฉันเองที่ดันวิ่งแข่งไม่รู้จักเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนก่อนหน้าฉันนั่งกอดเข่าอยู่ปลายเตียง ผ้าห่มกอง ๆ เหมือนภูเขาเล็ก ๆ ข้างตัว มืออีกข้างค้างอยู่บนหน้าอกตรงตำแหน่งที่มันกำลังเต้นแรงที่สุด พยายามกดเบา ๆ ราวกับจะสั่งให้มันเงียบเดี๋ยวนี้ แต่หัวใจกลับดื้อ ไม่ยอมฟังภาพซ้อนทับวนกลับมาไม่ยอมจบ สายตาคมที่สั่นน้อย ๆ ตอนเขายอมเชื่อคำพูดฉันหลังฟิลิปถูกทำร้าย หลังข้อความขู่ หลังคำสั่งเลื่อนแผนการตอบโต้หลุดจากปากเขา เพราะฉันไปขอด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในชีวิตและอีกภาพที่ยิ่งไล่ไม่พ้นคือริมฝีปากนั้นจูบฉันอย่างยาวนานในคืนก่อนหน้า แขนแข็งแรงรั้งฉันไว้แนบอก ลมหายใจเราเกยกันจนฉันจำไม่ได้ว่าของใครเป็นของใครตอนนี้ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่วันไนท์สแตนด์เหมือนครั้งแรกที่บ้าบอและสับสนอย่างตอนนั้นครั้งนี้มันต่างออกไป“บ้าเอ๊ย! ลิลิน”ฉันพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบไม่ใช่เสียง “บอกตัวเองมาตล
ฉันนั่งเงียบอยู่ในห้องรับรองของศูนย์แพทย์ ใบหน้าสะท้อนแสงไฟสีขาวหม่นจากเพดาน ความเหนื่อยล้ากับความกลัวตีกันอยู่ในอก ขณะเดียวกันมือถือในกระเป๋าก็สั่นเบา ๆครืด...ฉันหยิบออกมาอย่างงง ๆ จนหน้าจอสว่างขึ้น เป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก“หยุดโครงการใหม่ของอคินธรักษ์ มิฉะนั้น คนของคุณจะไม่มีวันได้กลับบ้านอีก”หัวใจฉันหยุดเต้นไปวูบเดียว ก่อนจะเร่งรัวไม่เป็นจังหวะ มือเย็นเฉียบจนแทบทำโทรศัพท์หล่น....[ระบบชาย] “แจ้งเตือนภัย ข้อความนี้มีรหัสไอพีเปลี่ยนตำแหน่งทุกวินาที ต้นทางไม่สามารถตามได้ โปรดระวัง”....ฉันกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนรีบลุกไปหาคิริน เขายืนคุยกับธีร์อยู่ตรงมุมทางเดิน ดวงตาคมเข้มยังคงนิ่งแต่บรรยากาศรอบตัวคือแรงกดดันที่แทบทำให้คนยืนใกล้หายใจไม่ออก“บอสคะ...” ฉันเรียกเสียงสั่น ยื่นโทรศัพท์ให้ “มีข้อความส่งมาที่มือถือฉัน”เขาหันมามอง ฉันเห็นประกายบางอย่างในดวงตาเขามันมีทั้งความโกรธและเดือดดาลอยู่ในแววตานั้นเขาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉัน อ่านเพียงแวบเดียวก่อนส่งต่อให้ธีร์“ไปตามหาต้นทางเดี๋ยวนี้”“ครับบอส” ธีร์รับไปทันทีฉันเผลอเอามือจับแขนเสื้อเขา“นี่หมายความว่า พวกนั