เมื่อทำอะไรไม่ได้ในเวลานี้ หนิงอวี่ก็ถือโอกาสที่ไปไหนไม่ได้เยี่ยมชมหอบุปผาที่นางเขียนขึ้นเสียเลย บรรยากาศของหอบุปผาช่างทำให้นางตื่นตาตื่นใจ หญิงคณิกาที่เชื้อเชิญเหล่าบุรุษมาร่วมดื่มกินอย่างไม่เขินอาย บ้างก็คลอเคลียกันขึ้นหอนอน เสียงเพลงที่บรรเลงสร้างบรรยากาศที่สุขสม จนทำให้หนิงอวี่รู้สึกขนลุก ‘ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะได้มาเห็นหญิงคณิกาของตัวเป็น ๆ’
หนิงอวี่สังเกตเห็นว่า เหล่านางโลมมองนางด้วยท่าทีหวาดกลัว เมื่อนางเดินไปทางใดสตรีเหล่านั้นกลับหลบเลี่ยงไปหมด
“เจียลี่ ทำไมคนพวกนี้ต้องหลบข้าขนาดนี้”
“เอ่อ...คุณหนูค่อนข้างเคร่งครัดกับพวกนางมากไปหน่อยเจ้าค่ะ”
ใช่แล้ว นางลืมไปว่าบัดนี้คือหนิงอวี่ผู้เป็นดังความชั่วร้ายของหอบุปผา
“ข้าเคร่งครัดอย่างไรหรือ” หนิงอวี่ถามด้วยความสงสัย
“คุณหนูมักจะใช้เข็มจิ้มไปที่ต้นขาของพวกนางหากไม่ทำตามเจ้าค่ะ”
หนิงอวี่ถึงกับขนลุกกับสิ่งที่ได้ยิน นี่มันทารุณกรรมชัด ๆ
“แล้วพวกนางไม่ทำตามเรื่องอะไร?”
“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องปรนนิบัติแขกเจ้าค่ะ เหล่าบุรุษที่มายังหอบุปผาไม่ใช่คนดีอันใด บ้างก็รุนแรงกับพวกนางบ้างก็เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน บ้างก็เข้าหอนอนกับพวกนางทีละหลาย ๆ คน พวกนางไม่สามารถรับได้คุณหนูก็จะทำร้ายพวกนาง ทำให้ทุกคนหวาดกลัวเจ้าค่ะ”
เจียลี่อาศัยที่ตนติดตามนางตั้งแต่เด็ก เมื่อหนิงอวี่เปิดใจที่จะรับฟังเป็นครั้งแรกเช่นนี้ นางก็ไม่พลาดโอกาสที่จะพูดแทนเหล่าหญิงคณิกา
‘หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ถึงหลี่หยางจะไม่ฆ่านางก็ไม่แน่ว่าผู้หญิงเหล่านี้จะปล่อยนางไป นางต้องรีบทำให้พวกเขาเห็นว่านางเปลี่ยนไปแล้วจึงจะมีทางรอด’
หนิงอวี่ได้แต่รับฟัง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไปอีก ทำให้เจียลี่ก็ไม่มั่นใจว่านางจะเห็นใจหญิงเหล่านั้นหรือไม่
“เจียลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายจ้าวทำงานอยู่ที่ใด?”
คำถามของหนิงอวี่ ทำให้เจียลี่เกิดความวิตกกังวลในทันที นางไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของหนิงอวี่ แต่นางเองเป็นเพียงสาวใช้ที่ถูกขายให้กับหอนางโลมตั้งแต่เด็ก ดีที่ฮูหยินเว่ยมารดาของคุณหนูซื้อนางไว้ ทำให้นางไม่ต้องเป็นหญิงคณิกา นางจึงจงรักภักดีกับสองแม่ลูกตลอดมา แม้บัดนี้ฮูหยินเว่ยจะเสียชีวิตแล้ว ความภักดีของนางก็ไม่เปลี่ยน
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” เจียลี่เลือกที่จะปิดบัง
“ข้าสั่งให้เจ้าบอกมา!” หนิงอวี่พูดเสียงดังด้วยสีหน้าโหดร้าย ทำให้เจียลี่ตกใจจนตัวสั่น
“แต่ก่อนข้ามักจะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่”
อยู่ ๆ หนิงอวี่ก็เปลี่ยนทีท่าและน้ำเสียง จนทำให้เจียลี่ งงงวยกับท่าทางของนาง
“นี่คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปนี้ข้าจะไม่เป็นเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เจ้าต้องช่วยข้า” หนิงอวี่จับไหล่ของเจียลี่ไว้แน่น ก่อนพูดด้วยแววตาจริงใจ
“เจ้าค่ะ” เจียลี่เมื่อรู้ว่านายหญิงน้อยจะกลับตัว นางก็รับคำอย่างเชื่อมั่น
‘ขอบคุณสวรรค์ หรือสิ่งใดก็ตามที่ทำให้คุณหนูล้มหัวฟาด จนทำให้นางคิดอยากจะเป็นคนดีได้’ เจียลี่ได้แต่กล่าวคำพวกนี้ในใจ
“พาข้าไปหาคุณชายจ้าวเร็วเข้า ข้าต้องชดเชยให้กับเขา”
“เจ้าค่ะ” คราวนี้เจียลี่รับคำอย่างว่าง่าย
.............รถม้าของพวกนางหยุดอยู่สุดตรอกถนน ที่นี่มีแต่เหล่าคนยากไร้อาศัยอยู่ เมื่อเห็นรถม้าวิ่งเข้ามาก็พากันกรูเข้าไปขออาหาร แต่เมื่อคนในรถม้าเปิดม่านออกมา เหล่าคนยากไร้ถึงกับตกใจและพากันเลี่ยงหนีไป
เว่ยหนิงอวี่ตกใจกับสิ่งที่นางเห็น
“นี่ชื่อเสียงข้าโด่งดังขนาดนี้เชียว?” นางได้แต่ระอาใจกับตัวเอง
“คุณชายจ้าวทำงานอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ” เจียลี่ชี้ไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหน้า
หนิงอวี่มองตามมือที่เจียลี่ชี้ไป พบจ้าวหลี่หยางที่กำลังเทถังของเน่าเสียที่ทางการต้องกำจัดให้แต่ละเรือนที่จ่ายภาษีทิ้งในบ่อขนาดใหญ่ ขนาดนางยืนไกลถึงเพียงนี้ยังทนกลิ่นเหม็นนั้นไม่ไหว แล้วเขาที่ต้องทำงานแบบนี้เล่า
หนิงอวี่รู้สึกผิดกับหลี่หยางไม่น้อย นางโทษตัวเองที่เขียนบทให้เขาต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้
“ไปเชิญคุณชายจ้าวมา” นางสั่งคนขับรถม้า
เพียงชั่วครู่ จ้าวหลี่หยางก็มาพบนางด้วยใบหน้าที่เย็นชาไม่เคยเปลี่ยน
“วันนี้คุณหนูเว่ยคิดสนุก มาก่อกวนข้าด้วยตนเองเชียวหรือ”
หลี่หยางไม่สนสีหน้าของนางที่ทนกลิ่นเหม็นจากตัวเขาแทบไม่ได้
“ข้าไม่ได้มาหาเรื่องท่าน เพียงแค่มาเสนองานให้ท่านทำ”
หนิงอวี่กล่าวพลางเอามือบีบจมูกไว้ นางทนกลิ่นนี้ไม่ไหวแล้ว
“ท่านป่วยหรือไม่ ถึงคิดจะให้งานข้าทำหรือคิดจะกลั่นแกล้งข้าอีก” หลี่หยางพูดอย่างระวังตัว
“ข้าไม่มีแผนใดทั้งสิ้น แค่คิดว่าท่านทำงานให้ข้า อาจจะได้เงินตอบแทนมากกว่างานพวกนี้”
“ข้าไม่สนใจรับใช้สตรีเช่นท่าน” เขาตอบไม่ไยดี พลางเดินกลับไปทำงานของตน สตรีนางนี้มีแต่ทำให้เขาอับอายและเจ็บตัว ทำไมยังต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยเล่า
“ท่านฟังข้าก่อน งานของข้าเพียงท่านดูแลสวนในเรือนข้า ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับส่วนของหอบุปผา ข้าจะให้ท่านวันละ 2 ตำลึงดีหรือไม่” แม้นางจะให้ค่าตอบแทนมากถึงเพียงนี้ แต่หลี่หยางกลับไม่หยุดคิดเพียงน้อย
“ท่านจะได้เฝ้าดูแลป้ายลู่เสียนอย่างใกล้ชิดแบบนี้ไม่ดีหรือ!”
เมื่อหนิงอวี่พูดถึงลู่เสียน หลี่หยางก็หยุดเดินในทันที
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าคุณหนูเว่ยจะไม่คิดแผนการกลั่นแกล้งข้าหรือลู่เสียนอีก” หลี่หยางยังไม่คลายความระแวง
“หากนี่เป็นแผนการที่ข้าคิดเพื่อกลั่นแกล้งท่าน ข้าจะยอมให้คนทั้งเมืองเรียกข้าว่าลูกหมา...”
“หึ! แค่นี้เองหรือ ข้าว่ามันไม่คุ้มเสี่ยงหรอก” หลี่หยางเลิกคิ้วถามอย่างไม่เป็นมิตร
“แล้วท่านจะเอาอย่างไรเล่า” นางไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเชื่อใจแล้ว
จ้าวหลี่หยางแปลกใจที่ทำไมเว่ยหนิงอวี่ถึงยอมลงตนถึงเพียงนี้ หากอยากได้เพียงคนสวนแค่นางบอกว่าจะให้วันละ 2 ตำลึง คนงานทั้งเมืองย่อมไปให้นางเลือกตัวถึงหน้าเรือนแล้ว
“เช่นนั้น หากนี่คือแผนที่เจ้าคิดกลั่นแกล้งข้า ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย แบบนี้ได้หรือไม่”
หลี่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นประกอบกับสายตาดำมืดที่มองมายังนาง ทำให้หนิงอวี่รู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูก
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ