 LOGIN
LOGIN“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก”
ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน
หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม
“นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา”
“เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย
“หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?”
ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ
“คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตัวพระชายา” หยางเฉิงเอ่ยตอบพลางมองไปยังป้ายวิญญาณของมารดา
“หึ! เจ้าคงไม่ใช่อยากให้เรือนเล็กกับเรือนใหญ่ของเจ้ากรมคลังผิดใจกันหรอกนะ”
“นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง ใครบ้างไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยเป็นธิดาเจ้ากรมคลังกับฮูหยินเอก ทว่าบุตรชายของเขากับฮูหยินเอกอย่างหลินฮัวเต๋อ กลับเป็นเพียงขุนนางขั้นสามในกรมวัง ทว่าหลินซือหาน บุตรชายคนรองของเจ้ากรมคลังกับฮูหยินรอง กลับเป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา เช่นนี้เพื่อหลานสาวเรือนใหญ่กับเรือนรองคงต้องห้ำหั่นไม่น้อย
“ได้! เตรียมจวนของเจ้าให้พร้อมเถอะ”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสทิ้งท้ายก่อนหมุนกายออกจากตำหนักเยว่ฮวา
รุ่งเช้าในจวนตระกูลซู โลงศพของฮูหยินเอก รองเจ้ากรมโยธาถูกวางบนรถลากออกนอกจวน เบื้องหน้าบ่าวไพร่ถือธงผ้าและโปรยเงินกระดาษไปตลอดทาง อวี้หนิงในชุดป่านสีขาวไว้ทุกข์กอดป้ายวิญญาณมารดาไว้แน่น ดวงตายังจ้องมองแผ่นหลังของผู้เป็นบิดาที่เดินอยู่เบื้องหน้า ตั้งแต่วันที่มารดาจากไปจนถึงวันนี้ นี่คือครั้งแรกที่บิดามาแสดงออกว่าเสียใจที่มารดาของนางจากไป ทว่าการส่งฮูหยินเอกครั้งนี้กลับไร้เงาของอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนและซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาของนาง แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ยังอ้างว่าล้มป่วย ส่งเพียงน้อง ๆ ของนางมาร่วมพิธีเท่านั้น เมื่อครั้งที่ตระกูลเหรินยังเป็นอ๋องต่างแซ่กับฮ่องเต้ สองแม่ลูกนั้นคอยอยู่ข้างกายมารดาไม่ห่าง จนมารดาของนางรักใคร่เจินหยูไม่ต่างจากบุตรสาวตัวเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงบ้านเล็กอื่น ๆ ของบิดาที่เคารพมารดาของนางเสียยิ่งกว่าเคารพแม่สามีเสียอีก ทว่าพอเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อวี้หนิงก็ได้แต่หัวเราะให้กับโชคชะตา
“คุณหนู! เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยที่คอยประคองอยู่ด้านข้างเห็นรอยยิ้มขบขันของอวี้หนิงก็ตกใจ เกรงคุณหนูของตนจะเสียสติไปเสียแล้ว ถึงได้ขบขันในเวลาเช่นนี้ได้
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงขบขันที่ตนเองโง่เขลา ดูจิตใจผู้อื่นไม่ออกมาเนิ่นนานก็เท่านั้น”
ใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ทว่าดวงตากลับร้องไห้นั้นยังคงจ้องมองบิดาของตนอยู่เงียบ ๆ
ตลอดเส้นทางออกนอกเมือง ผู้คนที่พบเห็นขบวนศพฮูหยินของตระกูลซูต่างยกย่องซูจิ้งซวนไม่ขาดปาก
“ใต้เท้าซูช่างรักมั่น ดูเถิดใบหน้าเขาเศร้าหมองเพียงใด”
“ข้าได้ยินว่าเขาล้มป่วยอยู่หลายวันเชียว บุรุษเช่นนี้หายากยิ่ง”
อวี้หนิงที่ได้ยิน ได้แต่เหยียดยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา นางปวดใจแทนมารดาผู้ล่วงลับที่รักมั่นเพียงบิดาผู้เดียว แต่ก่อนนางชื่นชมบิดาสุดหัวใจ ถึงเขาจะมีอนุถึงสี่คน ทว่านั่นก็เพราะมารดาของนางไม่อาจมีบุตรชายให้ท่านพ่อได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแต่ไหนแต่ไร แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อมักมาหาท่านแม่ของนางอยู่เสมอ เช่นนี้นางจึงเชื่อในความรักที่บิดามีให้มารดาเสมอมา
สุสานตระกูลซูอยู่ไม่ไกลจากนอกเมือง เมื่อรถลากหยุดลง เหล่าบ่าวไพร่ยังไม่ทันได้ยกโลงศพลง จิ้งซวนกลับขึ้นรถม้าที่หยุดรออยู่นอกสุสานเสียแล้ว
“ท่านพ่อจะไปที่ใดกัน?” อวี้หนิงเอ่ยถามบิดาที่เดินผ่านรถลากโลงศพไป ใบหน้างามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะกลับจวนก่อน เสร็จพิธีแล้วเจ้าก็รีบกลับ อย่าได้ให้มืดค่ำ”
จิ้งซวนเอ่ยโดยไม่หันหลังกลับมามอง ก่อนรถม้าจะเคลื่อนจากไป โดยมีสายตาของบ่าวไพร่หลายสิบคนมองนางสลับรถม้าที่เคลื่อนออกไป
อวี้หนิงหัวเราะเช่นคนเสียสติ พร้อมกับหยดน้ำอุ่นที่พรั่งพรูออกจากดวงตาคู่งามไม่หยุด จนบ่าวไพร่เริ่มกลัวกับท่าทีของนาง
“คุณหนู~”
เสี่ยวเหม่ยกอดร่างหญิงสาวไว้แน่น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจมากเพียงใด ถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้
“เสี่ยวเหม่ย ท่านพ่อเพียงแค่แสร้งทำเป็นรักท่านแม่ต่อหน้าชาวเมืองเท่านั้น พอไม่มีผู้ใดจ้องมอง เขาก็จากไปโดยไม่สนใจท่านแม่หรือข้าแม้แต่น้อย”
หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังหัวเราะลั่น ตอนนี้กลับทรุดตัวลงร้องไห้ข้างรถลากโลงศพของมารดา
อวี้หนิงนั่งเหม่อลอยหน้าหลุมศพของมารดาผู้ล่วงลับเป็นเวลานาน โดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน พลางหันมามองเสี่ยวเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง
“เสี่ยวเหม่ย กลับกันเถอะ”
อวี้หนิงเอ่ยจบก็หมุนกายเดินขึ้นรถม้า โดยมีเสี่ยวเหม่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านใน
“คุณหนู ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
อวี้หนิงได้แต่ส่ายหน้ากับสิ่งที่สาวใช้ถาม ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เสี่ยวเหม่ยเองที่เห็นสีหน้าคิดไม่ตกของเจ้านาย ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก
จวนตระกูลซู นักพรตกำลังทำพิธีขับไล่ดวงวิญญาณ โดยมีอี้เหนียงอย่างหลินซือเหยียนเป็นผู้เชิญมา ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซูจือเหลียงพนมมือเดินตามหลังนักพรตอย่างหวาดกลัว โดยมีอี้เหนียงคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังแม่สามี นับตั้งแต่ลูกสะใภ้สิ้นใจ ฮูหยินเฒ่าก็ฝันร้ายอยู่ทุกคืน บางครั้งก็ได้ยินเสียงของเหรินเยว่หลิงเรียกนางอยู่บ่อย ๆ
“พวกท่านทำอันใดกัน!”
อวี้หนิงที่กลับมาถึงเรือนของตนขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นนักพรตกำลังร่ายคาถา พลางรื้อข้าวของของนางกระจัดกระจาย โดยมีอนุของบิดาและท่านย่าของตนยืนมองโดยไม่คิดห้ามปราม
“คุณหนูผู้นี้มีวิญญาณวนเวียนอยู่ไม่ห่าง หากนางยังอยู่ในจวน วิญญาณร้ายก็จะไม่ยอมไปไหน!” นักพรตหญิงชี้มือสั่นเทามายังอวี้หนิง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นยิ่งนึกกลัว รีบเอ่ยขอทางแก้จากนักพรตในทันที
“ให้นางรีบแต่งออกจากจวนไปเสีย ไม่เช่นนั้นตระกูลท่านต้องถึงจุดจบแน่!”
นักพรตเอ่ยจบก็ให้ยันต์คุ้มกายกับฮูหยินเฒ่าก่อนออกจากจวนไป
อวี้หนิงยังคงยืนนิ่งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าที่นักพรตเอ่ยมานั้นจริงหรือไม่
“ซือเหยียน พรุ่งนี้เจ้าให้คนมาเก็บของของนางให้เรียบร้อย ข้าจะให้จิ้งซวนเร่งตระกูลกั๋วกงมาสู่ขอ หากทางนั้นไม่ต้องการนางแล้ว ก็ส่งให้ตระกูลอื่น หรือไม่ก็แต่งเป็นอนุของเรือนใดก็ได้ อย่างไรเสียนางต้องรีบออกจากตระกูลของข้าโดยเร็ว” ฮูหยินเฒ่ากำชับกับอี้เหนียงก่อนรีบเดินเลี่ยงหลานสาวของตนไป
ซือเหยียนมองสตรีเบื้องหน้าก่อนจะเหยียดยิ้มพอใจ
“อวี้หนิง เจ้าคงได้ยินที่ท่านย่าพูดแล้ว นางไม่ได้ต้องการเจ้าแล้ว บิดาเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่เอ่ยลาฮูหยินของตนยังไม่ทำ วันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้ดีเถิด วันพรุ่งไม่แน่... เจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของชายแก่สักเรือนในเมืองฉางเล่อนี้ก็เป็นได้”
ซือเหยียนเอ่ยจบก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่อวี้หนิงไม่คิดตอบโต้ใด ๆ
“คุณหนู! จะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หลินอี้เหนียงต้องกลั่นแกล้งท่านแน่ เราไปขอความเป็นธรรมกับนายท่านดีหรือไม่” เสี่ยวเหม่ยร้อนใจแทนเจ้านาย
“หึ! หากท่านพ่อห่วงใยข้า คงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้แต่แรก เขาเองก็คงอยากกำจัดข้าออกจากจวนไม่ต่างกัน”
“แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ยิ่งฟังอวี้หนิงเอ่ย เสี่ยวเหม่ยก็ยิ่งเป็นห่วงนางมากขึ้น
อวี้หนิงหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนหันมาจ้องมองสาวใช้ข้างกายเพื่อขอความเห็น
“เสี่ยวเหม่ย เจ้าว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับฉู่อ๋องดีหรือไม่”
“ดีสิเจ้าคะ! ท่านอ๋องสามต้องช่วยคุณหนูได้แน่” เสี่ยวเหม่ยยิ้มกว้างให้กับอีกฝ่าย
“เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะบอกกับฉู่อ๋อง เจ้าไปเตรียมอาหารให้มากหน่อย และผ้าคลุมสักหลายผืน ท่านตากับท่านยายคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอุ่นนัก”
เสี่ยวเหม่ยรับคำของอวี้หนิงก่อนรีบกุลีกุจอทำงานตามคำสั่ง
ต้นยามซวี อวี้หนิงที่ร้อนใจจึงออกไปรอเยว่ซิงหน้าประตูจวน ดีที่คืนนี้หิมะไม่ตก อากาศด้านนอกจึงไม่หนาวนัก ทว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามชั่วยาม บุรุษที่นางรอกลับไม่ได้มาตามสัญญา
หญิงสาวนั่งลงที่บันไดจวน ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวังยังคงจดจ้องตามเส้นทางไปตำหนักฉู่อ๋อง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่มีรถม้าสักคันที่วิ่งผ่านทางมา
“คุณหนู ท่านเข้าไปพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะอยู่เฝ้าให้เอง”
เสี่ยวเหม่ยเอ่ยเสียงเบา
“เขาต้องมาแน่ หากข้ากลับเข้าจวน เมื่อท่านอ๋องมาถึงแต่ไม่พบข้า เกรงว่าจะดูไม่เหมาะ” อวี้หนิงเอ่ยอย่างมีความหวัง
เสี่ยวเหม่ยมองเจ้านายที่นั่งหน้าประตูอย่างอดสงสารไม่ได้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าคลุมผืนหนามาห่มให้อวี้หนิง
“คุณหนู หากท่านอ๋องไม่มาเล่าเจ้าคะ?” เสียงของเสี่ยวเหม่ยแผ่วเบา พลางมองถนนสายยาวที่มืดมิดไร้แม้แต่เงาของรถม้า
อวี้หนิงยกมือขึ้นกุมผ้าคลุมที่เสี่ยวเหม่ยห่มให้นางไว้แน่น ดวงตาคู่งามที่เคยเต็มไปด้วยความหวังเริ่มมีแววหม่นหมอง
“เขาต้องมา... เยว่ซิงไม่มีทางผิดคำพูดกับข้า” เสียงของอวี้หนิงแผ่วเบาเช่นกัน ทว่าทุกถ้อยคำเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
ทว่าเวลาเนิ่นนานผ่านไปจนใกล้เข้าสู่ยามจื่อ ราตรีที่เคยปลอดโปร่งกลับเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ท้องถนนหน้าจวนเงียบงัน มีเพียงแสงโคมริบหรี่จากสองฝั่งถนนและเสียงลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ไปมา
เสี่ยวเหม่ยยืนกอดอก กัดริมฝีปากแน่น มองเจ้านายที่ยังคงไม่ยอมลุกจากบันไดหน้าจวน ทั้งที่ร่างบางนั้นเริ่มสั่นระริกเพราะไอหนาว
“คุณหนู... ท่านอ๋องอาจติดราชกิจ หากท่านไม่เข้าจวน เกรงว่าท่านจะป่วยเสียก่อน”
อวี้หนิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นางยังคงจ้องมองถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
เสียงหิมะตกกระทบพื้นดังแผ่วเบา ดวงตาของอวี้หนิงรื้นด้วยหยาดน้ำตา ทว่าเจ้าตัวยังคงไม่ปริปาก นางเพียงหลุบตามองพื้น ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“หรือว่า… ข้าจะโง่เขลาอีกแล้ว?”
เสี่ยวเหม่ยได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม สาวใช้ตัวน้อยรีบทรุดตัวลงกอดร่างของอวี้หนิงเอาไว้แน่น
“คุณหนู ท่านยังมีบ่าวอยู่นะเจ้าคะ ฮูหยินก็กำลังมองคุณหนูอยู่บนฟ้า ท่านต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ”
อวี้หนิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเสี่ยวเหม่ยเบา ๆ ดวงตาเปียกชื้นทอดมองท้องฟ้ายามราตรีที่เกล็ดหิมะเริ่มตกหนาขึ้นอย่างเหม่อลอย

หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด
หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร
แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน
หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น
หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา
ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้








