ฟ้าใสโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้พลางเอียงหูฟังเสียงลมหายใจของคนเจ็บ ถึงจะสั้นและถี่แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ เธอจึงลองร้องเรียกพร้อมกับตบเบา ๆ ที่ไหล่หนาเพื่อเช็คการตอบสนองของเขาดู
“คุณคะ ได้ยินหมอไหมคะ คุณคะ”
“คะ..ครับ”
คนเจ็บปรือตามมามองใบหน้าของหมอสาวที่โน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วครางตอบแผ่วเบา น้ำเสียงแหบแห้งสั่นเครือทว่ายังพอฟังออกว่าพูดอะไรออกมา
“โอเคค่ะ คุณชื่ออะไรคะ พอจำชื่อตัวเองได้ไหมคะ”
“ก้อง อึก! ชื่อก้องครับ”
“ค่ะคุณก้อง อย่าเพิ่งขยับร่างกายนะคะ นอนนิ่ง ๆ เอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้มีการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ตอนนี้มีอาการเวียนหัวหรือคลื่นไส้ไหมคะ”
“ไม่ อ่า ไม่ครับ”
“คุณก้องลองขยับนิ้วมือทั้งสองข้างดูนะคะ ได้ไหมคะ”
ฟ้าใสร้องขอพร้อมกับสังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไปด้วย แม้จะยังเจ็บแต่เขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“ดีค่ะ เก่งมาก ๆ เลย อีกเดี๋ยวรถพยาบาลก็จะมาถึงแล้วนะคะ”
ดวงตากลมฉายแววดีใจขึ้นแวบหนึ่งหลังเห็นปลายนิ้วของคนเจ็บกระดิกไหวไปมา อย่างน้อยตอนนี้ก็สบายใจไปอย่างหนึ่งว่ากระดูกสันหลังยังปลอดภัย
ฟ้าใสอยู่ดูแลคนเจ็บระหว่างรอเจ้าหน้าที่มารับตัว และคอยพูดคุยเพื่อดึงสติให้คนเจ็บหันมาโฟกัสที่เธอแทนความเจ็บปวดเป็นระยะ ๆ
อีกฝ่ายสามารถตอบโต้และมีสติดีทุกอย่าง บ่งบอกได้ว่าศีรษะไม่น่าจะได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก ต้องขอบคุณตัวเองนะคะที่สวมอุปกรณ์ป้องกัน
ไม่นานรถฉุกเฉินก็มาถึง ฟ้าใสรีบเข้าไปแนะนำตัวคร่าว ๆ และรายงานผลการประเมินอาการของคนเจ็บให้ทีมแพทย์ฟัง
ถึงแม้เบื้องต้นจะดูไม่เป็นอะไรมากนัก ทว่าก็ยังต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดอีกทีที่โรงพยาบาลอยู่ดี เพราะการบาดเจ็บบางที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นึก ๆ ไปก็คิดถึงชีวิตตอนที่วิ่งวุ่นในห้องฉุกเฉินเหมือนกันแหะ
เธอยืนรอส่งจนกระทั่งรถฉุกเฉินกลืนหายไปในการจราจรที่คับคั่ง ริมฝีปากบางยกยิ้มด้วยความรู้สึกดีที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้อื่นนอกเหนือจากเคสผู้ป่วยที่เข้าไปขอรับการรักษาที่คลีนิค
พลันรอยยิ้มก็หุบลง ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีธุระสำคัญรออยู่
ตายแล้ว ๆ ถ้าปล่อยให้สาในอนาคตรอนานเดี๋ยวก็โดนดุอีก!
หญิงสาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในตัวตึกด้วยสีหน้าตื่นเต้นเล็ก ๆ เพราะกว่าจะมาถึงที่หมายได้ก็เกือบจะเลยเวลานัดหมายไปแล้ว
สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้ามันแผลบ เสื้อผ้ายับยู่ยี่มีรอยเลอะของเลือดแห้งกรังติดตามชายกระโปรงที่ถูไถไปตามพื้นตอนนั่งคุกเข่า
สภาพช่างแตกต่างไปจากเมื่อตอนบ่ายที่เพิ่งเดินสวย ๆ ออกจากห้างอย่างสิ้นเชิง
อุตส่าห์เข้าร้านทำผม ขัดผิวนวดสปาซะเต็มที่ แต่พอเจอคนเจ็บเธอก็ลืมห่วงสวยไปโดยปริยาย ป่านนี้จะไปหาร้านเสริมสวยที่ไหนได้เนี้ยสองทุ่มกว่าแล้วด้วย
ฟ้าใสถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ที่ความพยายามทำสวยในวันนี้ล้มเหลว ก่อนจะหยิบเครื่องสำอางขึ้นมาเติมหน้าเติมปาก แล้วใช้มือสางเส้นผมให้ดูเข้าทรงและสวยงามที่สุด
เมื่อแน่ใจว่าเสื้อผ้าหน้าผมพอดูดีขึ้นแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปติดต่อพนักงานที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หลังเคาน์เตอร์ของคอนโด
พนักงานสาวสวยผุดลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มหวานทันทีที่เห็นผู้มาติดต่อกำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงใส
“สวัสดีค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“เอ่อ พอดีว่าจะมาพบคุณณัฐพล ตั้งเจริญกุลกาลค่ะ พอจะรู้ไหมคะว่าเขาพักอยู่ที่ห้องไหน”
“ต้องขออภัยในความไม่สะดวกจริง ๆ ค่ะ แต่ทางตึกไม่สามารถให้ข้อมูลกับบุคคลภายนอกได้ รบกวนโทรติดต่อให้เจ้าของห้องลงมารับนะคะ”
“อ่อ ค่ะ งั้นขอยืมโทรศัพท์ของตึกหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ นี่ค่ะ”
ฟ้าใสรับหูของโทรศัพท์มาแนบใบหูของตัวเอง ก่อนจะยืดมือลงไปกดต่อสายหาหมายเลขของตัวเอง ทว่าเสียงที่ตอบกลับมาคือ....
( ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก .... )
ฟ้าใสถอนหายใจเบา ๆ พลางยื่นหูของโทรศัพท์กลับคืนให้พนักงานด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
เครื่องเธอคงแบตหมดไปแล้วแน่ ๆ ถึงติดต่อไม่ได้ คีย์การ์ดสำหรับสแกนขึ้นลิฟท์ก็ไม่มี เบอร์ใครก็จำไม่ได้สักคน แถมยังไม่รู้เลขห้องพักของรุ่นพี่อีก
สุดท้ายเธอจึงต้องถอยกลับมานั่งรอที่โซฟาอย่างไม่มีทางเลือก แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไร้วี่แววของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสุดเนี้ยบของรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย
“เอ...ไหนบอกนัดสามทุ่มไง นี่สามทุ่มครึ่งแล้วนะ ทำไมยังไม่มาอีก”
ฟ้าใสบ่นอุบพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเป็นรอบที่สิบ ใจนึงก็อยากจะหนีกลับก่อนแต่อีกใจก็บอกให้นั่งรอต่ออีกนิด เผื่อว่ารุ่นพี่อาจจะติดเคสผ่าตัดยาก ๆ หรืออาจจะกำลังเดินทางกลับก็เป็นได้
กระทั่งใกล้เวลาที่กำหนดไว้ในใจ ก็ยังไร้เงาของคนที่นัดเธอมาอยู่ดี หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าหงิกงอด้วยความหงุดหงิด
อุตส่าห์ตื่นเต้นจนเตรียมตัวแทบตาย แต่สุดท้ายก็มาถูกเทกลางอากาศ โอ๊ย นี่ตกลงองค์ท่านไม่เห็นใจในความพยายามของลูกบ้างเลยหรือเจ้าคะ
แต่ก็ได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ จังหวะที่ฟ้าใสกำลังเอี้ยวตัวกลับไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องบ่านั้น ปรากฎว่าพนักงานคนเดิมที่เธอเคยคุยด้วยก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงเข้ามาหาเธอพอดี
“คุณฟ้าใสหรือเปล่าคะ”
“คะ? ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คุณณัฐพลเพิ่งโทรลงมาแจ้งเมื่อสักครู่ว่าให้พาคุณฟ้าใสขึ้นไปส่งที่ห้องค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
พนักงานสาวสวยผายมือไปทางลิฟท์ของตัวตึกก่อนจะเดินนำไปหยุดรอที่หน้าประตู ทำให้ฟ้าใสที่ยังคงทบทวนประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เดินตามไปอย่างงง ๆ
“อะไรของเขา ตอนขอขึ้นไม่ให้ขึ้น พอตอนนี้จะกลับ...ดั๊นให้ขึ้น แต่อ๊ะ! หน้าผมฉันได้หรือเปล่า เหงื่อออกจนมีกลิ่นตัวไหมนะ อ๊าย ๆ ๆ ๆ น้ำหอมอยู่ไหนน”
“รับรองค่ะว่ามันจะไม่หวาดเสียวแบบเจ้าพวกนั้นหรอก”ฟ้าใสยืนยันเสียงหวานพลางกระชับมือที่เกาะกุมกันให้แนบแน่นขึ้น เข้าใจถึงความหวาดวิตกของคนข้างกายที่สีหน้าออกอาการอย่างชัดเจนว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเจ้าเครื่องเล่นพวกนี้อีกแล้วนัทก้าวเดินไปตามแรงฉุดของภรรยาอย่างว่าง่าย แม้ใจแกร่งจะยังสั่นไหวและหวาดหวั่นว่าจะถูกพาตัวไปทรมาน แต่พอได้เห็นรอยยิ้มหวานหยดของคนอารมณ์ดีที่มีความมุ่งมั่นเขาก็ใจอ่อนแล้วยอมใจเธอโดยไม่มีข้อแม้เดินลัดเลาะตามทางเดินไม่นานภรรยาก็หยุดฝีเท้าลงก่อนหันมาคลี่ยิ้ม นัทกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วขมวดคิ้วงุนงง เมื่อพบว่าเธอพามาต่อแถวเพื่อใช้บริการเจ้าจักรยานน้ำลายการ์ตูนหลากสีสันที่ทะเลสาบซึ่งตั้งอยู่บริเวณโซนหน้าของสวนสนุกแม้แสงแดด จะยังร้อนอยู่พอสมควรทว่ายังดีที่มีสายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านนำเอาไอน้ำให้ลอยขึ้นมากระทบผิวกายบ้างเป็นระยะ ๆ บรรยากาศจึงไม่แย่นักกับการปั่นจักรยานน้ำในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวัน“ครั้งแรกที่ฟ้าใสได้มาปั่นจักรยานน้ำที่นี่ ก็คือตอนวันเกิดครบอายุเก้าขวบแหละ ตอนนั้นชอบมาก ๆ เลย ถึงขนาดอธิษฐานตอนเป่าเค้กเลยนะคะว่าขอให้พ่อกับแม่พาฟ้าใสมาอีกทุกปี แต่สุดท้ายมันก็เป็
กรี๊ดดดดเสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่วบริเวณจนนัทนิ่วหน้า ยกนิ้วขึ้นมาอุดสองหูเพื่อปิดกั้นเสียงแหลม ๆ ของผู้คนที่กำลังถูกเครื่องเล่นเหวี่ยงสะบัดไปมาดวงตาคมกริบมองตามเครื่องเล่นตรงหน้าแล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ มันที่มีลักษณะคล้ายเรือลำใหญ่ ทว่าเจ้าลำนี้กลับแล่นอยู่กลางอากาศแทนที่เป็นผืนน้ำ และมีผู้โดยสารเป็นหนุ่มสาววัยรุ่นร่วมยี่สิบชีวิตที่กำลังกรีดร้องขอชีวิตกันดังลั่น“อ่า ฟะ...ฟ้าใสครับ พี่ว่าเราไปเล่นอันอื่นที่มัน เอ่อ ดูปลอดภัยกว่านี้ไหมครับ”นัทสะกิดหัวไหล่มนของภรรยาที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าบนรถเพื่อให้เข้ากับสถานที่แล้วคัดค้านเสียงอ่อนเสียงหวาน หวังจะเอาตัวเองให้รอดจากการถูกเหวี่ยงไปมาซ้ำ ๆ บนไอ้เครื่องนั้น แต่คนตรงหน้าก็ยังตั้งมั่นที่จะเล่นมันให้ได้“ลองอันนี้แหละค่ะ ดูจากแถวแล้วหนูว่ามันต้องสนุกแน่ ๆ เลย”“สนุกหรือสยองกันแน่วะ”นัทบ่นพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร เมื่อภรรยาตวัดสายตามามองด้วยความสงสัย อย่าหาว่าเขาป้อดเลยนะ แต่ภาพของผู้โดยสารเซตก่อนหน้าที่ถลาลงมายืนเกาะต้นไม้แล้วอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตายยังคงติดตาเขาอยู่เลยมือใหญ่ยกขึ้นปาดเ
คนมือไวรีบดันบราเซียร์สีขาวสะอาดตาขึ้นไปกองอยู่ใต้คางแล้วอ้าปากลงไปตะโบมดูดดึงยอดถันอย่างหนักหน่วง“อา พะ...พอ พอเลยค่ะ อื้อออ”ฟ้าใสร้องห้ามปรามเสียงขาดกระท่อนกระแท่น พยายามรวบรวมสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงแล้วผลักใบหน้าคมคายออกจากสองเต้าอย่างแรง ใบหน้านวลแดงก่ำ สองมือสาละวนกับการดึงเสื้อผ้าขึ้นมาปิดบังเนื้อตัวด้วยความเขินอาย หากเป็นแสงสลัวแบบเมื่อคืนเธอคงปล่อยผ่าน แต่ว่าตอนนี้มันสว่างโร่ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาหลายกิโลจากการเร่งผลิตลูกน้อยคนที่สอง ส่งผลให้ร่างกายของเธอดูอวบอิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ซ้ำยังเต็มไปด้วยรอยแตกลายจนดูคล้ายแผนที่โลกเข้าไปทุกที“ฮืม ปิดทำไมละครับ”นัทเอ่ยถามเสียงนุ่มพลางดึงมือเล็กมาเกาะกุมแล้วยึดไว้แน่น คนส่ายหน้าไม่ยอมตอบแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เปิดช่องให้เขาก้มลงไปหอมแก้มนุ่มได้อย่างสบายใจ“ไม่ว่าหนูจะเป็นยังไง พี่ก็รักหนูเหมือนเดิมนะ”ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วใจดวงน้อยที่กำลังเต้นแรงระรัวทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างใบหู สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงแต่ก็แสร้งทำเป็นแง่งอนเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย“ไม่ต้องมายกยอปอปั้นเลยค่ะ ห
แสงแดดสาดส่องเข้ามาตามรอยแยกของผ้าม่านสีทึบซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ ตกกระทบลงบนใบหน้าหวานเข้าพอดิบพอดี ปลุกให้ฟ้าใสรู้สึกตัวตื่นขึ้นในในช่วงใกล้เที่ยงของวัน“อื้ออ”ความเมื่อยขบตรงเข้าโจมตีทันทีที่เธอลืมตาขึ้นมาได้ เธอค่อย ๆ ประคองร่างขึ้นมานั่งที่ปลายเตียงพลางชะโงกหน้าไปมองเปลนอนของลูกน้อยซึ่งอยู่ในห้องถัดไป พลันคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นเข้าหากันแน่นเมื่อพบว่ามันว่างเปล่า“หายไปไหนทั้งพ่อทั้งลูกเนี้ย”ฟ้าใสพึมพำบ่นด้วยความไม่เข้าใจ ถึงแม้สามีจะตื่นก่อนเป็นปกติในทุกวัน ทว่าครั้งนี้มันแปลกไปตรงที่เขาไม่คิดแม้แต่จะปลุกเธอ มิหนำซ้ำยังหายตัวไปพร้อมกันทั้งพ่อและลูกสาวตัวน้อยวัยขวบเศษทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันหยุดมือเล็กเอื้อมไปหยิบชุดคลุมที่ชายหนุ่มวางเตรียมไว้ให้บนปลายเตียงมาคลุมร่างเปลือยเปล่าแล้วมุ่งหน้าเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำเพื่อชำระล้างคราบแห้งกรังที่สามีฝากรักไว้ให้เมื่อคืนเท้าเล็กเปลือยเปล่าก้าวเข้ามาในห้องแต่งตัวก่อนหยุดชะงักลงที่หน้าตู้เสื้อผ้า ดวงตาเบิกกว้างฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบชุดเดรสสีครีมสุดละมุนจากแบรนด์ดังถูกแขวนไว้พร้อมกระดาษโน้ตใบเล็ก ชุดพิเศษ สำหรับคนพิเศษ ในวันพิเศษ
ใจดวงน้อยอ่อนยวบลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยออดอ้อนเว้าวอน แล้วไหนจะฝ่ามือที่กอบกุมแล้วเคล้นคลึงสองเต้าอย่างหนักหน่วงอีก “พี่นัท มะ...ไม่เอา อื้ออ”ฟ้าใสสะดุ้งโหยงเมื่อปลายนิ้วร้ายสะกิดยอดถันผ่านเนื้อผ้าระรัว ร้องปรามได้ไม่กี่คำก็อ่อนระทวยสิ้นฤทธิ์ ปล่อยให้คนหื่นช้อนตัวขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวแล้วพาตัวกลับมายังเตียงนุ่มในที่สุดทันทีที่แผ่นหลังแนบไปกับเตียงนุ่ม ชุดนอนตัวบางก็ถูกคนใจร้อนดึงทึ้งจนขาดวิ่นหลุดติดมือก่อนจะปลิวหายไปอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องอย่างน่าสงสารปากร้อนพรมจูบไปตามเนินเนื้ออวบอิ่มที่เพิ่มขยายขึ้นตามน้ำหนักตัวของผู้เป็นแม่ แล้วย้ายมาตะโบมดูดดึงยอดถันอย่างมูมมามจนเกิดเสียงลามกพร้อม ๆ กับเนื้ออ่อนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก“พี่นัท บะ...เบาหน่อยค่ะ อ๊ะ จะ...เจ็บ”ฟ้าใสครางกระเส่าพลางบิดเร่าร่างกายไปมา สะดุ้งเฮือก ๆ ยามฟันคมขบกัด เกิดเป็นความเจ็บแปลบระคนเสียวซ่านที่แสนรัญจวนใจแตกต่างจากเวลาที่ลูกน้อยดูดดึงอย่างสิ้นเชิงเธอแอ่นกายเข้าหาสัมผัสวาบหวามพร้อมกับสอดมือเข้าใต้เรือนผมสีดำของสามีแล้วออกแรงกดให้ใบหน้าคมคายแนบไปกับเต้าอวบมากขึ้น ฟันคมขบกัดไปตามเนื้อนุ่ม
“อุแง แอะ แอ้!~”เสียงร้องไห้จ้าดังลั่นห้อง ทำเอาฟ้าใสที่เพิ่งผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเมื่อสิบนาทีก่อน ถึงกับสะดุ้งเฮือกสุดตัวด้วยความตกใจฟ้าใสลนลานหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่อย่างลวก ๆ ก่อนพุ่งตัวไปยังห้องนอนเล็กที่ถูกสร้างประตูเชื่อมแล้วเปิดทิ้งไว้เพื่อความสะดวกแก่การดูแลเด็กตัวน้อย ขาเรียวชะงักแล้วหยุดยื่นอยู่ตรงกรอบประตู ทอดมองสามีที่ยืนตระกองกอดลูกสาวตัวน้อยวัยขวบเศษไว้ในอ้อมแขนแล้วเห่กล่อมอยู่ข้างเปลนอน ในขณะที่เนื้อตัวมีเพียงผ้าขนหนูพันรอบเอวสอบอย่างหมิ่นเหม่แล้วคลี่ยิ้มหวานออกมา“ชู่ววว ไม่เอาไม่ร้องน้า เอเอ๊~”“แอะ แอ้ มามาา”“จะหามาม๊าเหรอครับ มาม๊ายังหลับอยู่เลยครับ อยู่กับปะป๊าก่อนน้า”“แอะแอ้!”“หื้มม หนูเพิ่งจะขวบเดียวนะ ขี้นเสียงใส่ปะป๊าแล้วเหรอ”“มา หม่ำ!”นัทส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองปากเล็กที่อ้า ๆ หุบ ๆ รอท่าอย่างน่ารักน่าชังแล้วรีบหันไปหยิบขวดนมซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เข้ามาเจอลูกสาววัยขวบเศษกำลังร้องไห้จ้ามายื่นให้ ส่งผลให้เสียงร้องงอแงเงียบลงทันควัน“ไม่รู้ไปได้นิสัยดื้อรั้นแล้วก็ชอบเถียงแบบนี้มาจากใครกันนะ หื้ม? ไอ้ตัวแสบ”นัทพึมพำบ่น ทอดมองเด็กโมโหหิวที่ตั้งหน้าต