“ในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ ความเชื่อ และการหักหลัง หญิงสาวผู้ไม่เชื่ออะไรเลย กลับต้องเดิมพันด้วยทั้งหัวใจ” “เมิ่งซิน ” หญิงสาวชาวจีน ผู้เปี่ยมด้วยความรู้และเหตุผล เดินทางมาเมืองไทยเพื่อเก็บข้อมูลวิจัย ณ ศาลเจ้าเก่า ร่องรอยประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิงที่ปรากฎในไทย ที่นี่ถูกร่ำลือว่ามีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ หากแต่เธอไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับตามที่กล่าวขานจึงต้องการมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ด้วยตัวเอง ทันทีที่เธอก้าวเท้าแตะบันไดขั้นแรกของศาลเจ้า พลันฟ้าฝนกลับคะนองปกคลุมศาลเจ้ากลางป่า สายฟ้าฟาดลงกระทบศิลาจารึก เสียงคำรามของฟ้าทำให้ทุกอย่างมืดดับ เมิ่งซิน ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งกลางป่าทึบ เสียงฝีเท้าหนักและเสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรงดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มในชุดนักรบเต็มยศปรากฏตัวขึ้น เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนและกำลังหนีการไล่ล่าจากข้าศึกที่ซุ่มโจมตีในป่า เขาตัดสินใจคว้าแขนเธอขึ้นหลังม้าแล้วกล่าวเสียงสั้น "หากยังอยากมีชีวิต...ไปกับข้า" เมิ่งซินช่วยดูแลรักษาบาดแผลที่แขนของชายหนุ่มแต่ไม่ทันได้เห็นใบหน้าเขาเลยแม้แต่ ทว่าเขากลับเห็นใบหน้าเธอชัดเจนในแสงจันทร์ใต้เงาไม้ เช้าตรู่ก่อนฟ้าสางชายหนุ่มจากไปโดยไม่เอ่ยชื่อทั้งคู่จะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่...
View Moreหมอกบางลอยล้อมรอบยอดไม้สูงกลางป่าลึกในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย แสงแดดไม่อาจทะลุลงมาได้โดยตรง เหลือเพียงลำแสงบาง ๆ ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ ลงมากระทบกับศาลเจ้าไม้เก่าแก่ที่ฝังรากอยู่ตรงนี้มานานหลายร้อยปี
รากไม้เลื้อยพันเสาศาลเจ้า ผนังศิลาจารึกเก่าคร่ำที่ถูกฝนกัดเซาะยังคงพอเห็นลวดลายจาง ๆ ซึ่งไม่ใช่ของท้องถิ่นอย่างแน่นอน
กล้องฟิล์มรุ่นเก่าถูกวางไว้อย่างประณีตข้างกายหญิงสาวชาวจีนผู้หนึ่ง เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนระดับข้อศอก กางเกงขายาวสีขาวสะอาด รองเท้าบู๊ตลุยโคลน และสะพายกระเป๋าผ้าสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยสมุดบันทึกและอุปกรณ์วิจัย เธอกำลังนั่งคุกเข่าตรงหน้าศิลาจารึก แววตาแน่วแน่
“ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าตั้งใจพอ”
เสียงในใจของเธอดังขึ้น—ภาษาจีนที่เปล่งออกมาในความเงียบงัน ฟังชัดเจนราวกับเป็นคำสาบานเธอชื่อว่า เมิ่งซิน (夢心)
นักวิจัยสายโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในปักกิ่งการเดินทางครั้งนี้คือโครงการวิจัยระดับปริญญาเอก ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาอิทธิพลของราชวงศ์หมิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลักฐานบางชิ้นชี้ว่าราชวงศ์หมิงอาจเคยส่งขุนนางหรือกองเรือเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่แถบนี้
“เชิงโครงสร้างไม่ใช่แบบศาลเจ้าไทยเลย...” เธอบ่นพึมพำ พร้อมจดลงสมุดวิจัย
ด้านข้างเป็นเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพาที่กำลังทำงานอยู่—เทปหมุนเบา ๆ พร้อมเสียงลมหายใจเธอประสานกับเสียงนกและแมลงในป่าชาวบ้านที่พาเธอมา เล่าเรื่องราวขนหัวลุกให้ฟังก่อนจะเดินหนีกลับไปอย่างรีบร้อน ทิ้งท้ายไว้ว่า…
“ศาลเจ้านี่น่ะ... ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าเหยียบเข้าไปเลย”
เมิ่งซินยิ้มมุมปาก ก่อนเขียนลงสมุดด้วยหมึกสีดำ
“ความเชื่อ = อุปสรรคของวิทยาศาสตร์”เธอไม่ได้เชื่อเรื่องคำสาป
ไม่ได้กลัวผี และแน่นอน—ไม่คิดว่า “ลิขิตจากโชคชะตา” จะมีอยู่จริงแต่เมื่อเธอก้าวเท้าแตะขอบบันไดขั้นแรก...ทันใดนั้น...เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องเหนือยอดไม้
ก่อนที่สายฟ้าหนึ่งจะผ่าลงมาบริเวณศิลาจารึกเบื้องหน้า เสียงดังสนั่นจนแม้แต่นกในป่าก็กระเจิดกระเจิงฟึ่บ!
สายลมแรงกรรโชกเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หมอกลอยกระจาย ฝุ่นผงปลิวว่อนราวกับฝูงผึ้งแตกตื่น ดวงตาของเมิ่งซินเบิกโพลงราวกับเห็นภาพที่ไม่ควรปรากฏอยู่บนโลกนี้ ขนลุกซู่ขึ้นตามแนวแขน แม้จะไม่เชื่อในโชคชะตา—แต่ตอนนี้…ร่างกายของเธอกำลังทรยศต่อหลักการนั้นอย่างน่าขัน เสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเข้าไปถึงโพรงอก
ลามจนถึงปลายนิ้ว หัวใจของเธอเต้นเร็วเกินกว่าจะนับจังหวะได้
มันไม่ใช่แค่ความกลัว… แต่มันคือความตื่นตระหนกที่กึ่งกลางระหว่าง“ความตะลึง” และ “การไม่ยอมรับความจริง”
ในเสี้ยววินาทีที่ฟ้าผ่าลงตรงหน้าศิลาจารึก เธอรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง
เหมือนโลกทั้งใบกำลังหรี่ตา จับจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียว บางสิ่งในสัญชาติญาณบอกให้เธอรู้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้… ตื่นขึ้นจากการหลับใหลยาวนานเพื่อบอกอะไรบางอย่างที่เธอยังไม่พร้อมจะรับรู้ ริมฝีปากของเธอแห้งผาก
ขณะที่ปลายเท้ายังตรึงแน่นกับพื้น เธออยากหันหลังวิ่งหนี แต่...แรงบางอย่าง—บางสิ่งที่ไร้รูปตรึงเธอไว้กับที่
ความคิดวิ่งวุ่นในหัว สมองพยายามหาคำอธิบายแบบ “วิทยาศาสตร์” ให้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
แต่ในอก… มีบางอย่างกำลังกระซิบ ไม่ใช่เสียงของเหตุผล ไม่ใช่เสียงของข้อมูลแต่เป็นเสียงบางอย่างที่เธอไม่เคยเชื่อ
เสียงของ "ความกลัวในสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้"และก่อนที่เธอจะได้เอื้อนเอ่ยคำใด…
ภาพก็ดับวูบ เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน คือเสียงฟ้าร้องแสบหูจะเรียกว่าโชคชะตา… หรือเป็นแค่แรงโน้มถ่วงของเรื่องบังเอิญ?
แต่สำหรับเมิ่งซิน—มันคือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ที่แขนซ้ายมีรอยสลักลึกลับปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มา
“ข้าจะอยู่อยู่ตรงนี้…แล้วเจ้าไม่มีวันโดดเดี่ยวอีกต่อไป”ฉาก 1 — ห้องลับ / 8 วันผ่านมาแสงเช้าสาดผ่านช่องไม้เล็ก ๆ ลงมากระทบใบหน้าของขุนคีรินทร์ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตา — เปลือกตาหนักราวกับเพิ่งตื่นจากความตายหายใจแรง ๆ ราวกับโลกนี้ยังไม่แน่ใจว่ามันคือจริงหรือฝันสิ่งแรกที่เขามองหา…คือเมิ่งซินแต่พบว่าเธอฟุบอยู่ข้างกาย…กับถ้วยยาสมุนไพรอุ่น ๆ ที่เธอเพิ่งทำเสร็จเพื่อเขาขุนคีรินทร์“เมิ่งซิน...”เขารีบลุกอุ้มเธอขึ้นมาวางบนเตียงของตัวเองมือสั่น ๆ แตะลงบนหน้าผากเธออย่างแผ่วเบาใต้ตาของเธอคล้ำ ปากแห้งซีด — เหลือเพียงเงาเดิมของหญิงผู้เข้มแข็งขุนคีรินทร์“เมิ่งซิน…ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”เมิ่งซินพยายามลืมตา แต่ได้แค่ลืมปรือ ๆน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่มีแรงเหลือเมิ่งซิน“ขุน…คีรินทร์ ท่าน…รีบ…ดื่มยาสุดท้ายเถิด…พิษในตัวท่านจักหายไปตลอดกาล…”มือเธอร่วงลงพื้น…ขุนคีรินทร์“ไม่…ไม่นะเมิ่งซิน…เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ตื่นสิ! ตื่นขึ้นมาอยู่กับข้า…”เขามองถ้วยยา…แล้วกลับมองเธอที่นอนแน่นิ่งทุกความทรงจำของวันที่เธอต้มยาให้เขา…ป้อนยาเช้าเย็น…อยู่ข้างเขาแม้ในความมืด…มันไหลกลับมาในหัวใจเขาแบบชัดเจนฉาก 1/2 —
“บางครั้ง…ความมืดไม่ได้น่ากลัวที่สุด…แต่คือการตัดสินใจที่จะปกป้องคนที่เรารักต่างหาก”ฉาก 1 — หมู่บ้านก่อนรุ่งสางเสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินดังสะท้อนในอก เมิ่งซินลากร่างอิดโรยกลับถึงหมู่บ้าน ใบหน้าเปรอะเถ้าควันและฝุ่น แต่เวลานี้…หยุดไม่ได้สักวินาทีชาวบ้านเริ่มส่งสายตาสงสัย เธอไม่รอช้า ตะโกนเสียงแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นเมิ่งซิน:“ทุกคน…ฟังฉันให้ดี! พวกทหารจะมา ล่วงรุ่งเช้า…เพื่อฆ่าพวกเราทุกคน!”เสียงฮือฮาและความตื่นตระหนกผสมปนกันชาวบ้าน1 (OS): “นี่มันเรื่องอะไรนี่ท่านหมอหญิง?”ชาวบ้าน2 (OS): “เราทำผิดอะไรให้พวกทหารมาสังหารเรา?”ชาวบ้าน3 (OS): “จะให้หนีโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นหรือ…”ชาวบ้าน4 (OS): “นี่ท่านหญิงตั้งใจหลอกเราหรือเปล่า?”เมิ่งซิน:“ฉันไม่มีเวลามาอธิบายมากนัก…แต่เชื่อใจฉัน!”ชาวบ้าน5 (OS):“เราวางใจท่านหมอหญิง! ถ้าไม่ใช่ท่าน…เราคงตายไปตั้งหลายเดือนแล้ว…บอกเราหน่อยว่าต้องทำยังไง!”เมิ่งซินหอบหายใจ ก่อนจะชูแผนที่ในมือเมิ่งซิน:“นี่คือแผนที่ทางลับของพี่แย้ม…มันจะพาพวกเราทุกคนไปที่ปลอดภัย!”1/2 — ตัดภาพไปก่อนที่นายแย้มจะสิ้นลม (บนเกวียน)นายแย้ม:“ท่านหญิง…จงเอาแผน
“ควันพิษ… เงาฆาตกร… และชายปริศนาที่เรียกฉันว่า ‘เซียนอิ๋น’ — ใครคือเขา ใครคือผู้บงการทั้งหมด?!”ฉาก 1 – ภายในหอพระโอสถ กลางคืนเมิ่งซินลื่นไหลออกจากหลืบชั้นยา มือเรียวกอดตำรับยาและสมุนไพรเล็ก ๆ แนบอก — เป้าหมายอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่ทันใดนั้น… กลิ่นแสบจมูกจู่โจมเข้ามา ม่านควันสีเทาอ่อนลอยเข้ามาในห้องเงียบ ๆ กลิ่นฉุนแบบสนผสมกำมะถัน ทำให้เธอต้องสะดุ้งเมิ่งซิน (คิดในใจ)นี่มัน…ควันพิษ!?ไม่รอช้า เธอควักขวดยาสกัดพิษจากชายเสื้อ จุ่มแตะจมูก และพันผ้าคาดเอวปิดหน้าแน่น — กลิ่นตะไคร้ กานพลู ยูคาลิปตัส ขิงแห้ง และชะเอมเทศ ดับกลิ่นพิษเบา ๆเมิ่งซิน (พึมพำ)ขอโทษนะ…ของแค่นี้เล่นงานฉันไม่ได้หรอกทันใดนั้น! เสียงฝีเท้า — เงาดำชุดดำพร้อมหน้ากากโผล่เข้ามา ล้อมหอพระโอสถ แววตาอำมหิตทุกคู่และ…เสียงเย็นยะเยือกจากเงามืดหญิงปริศนา…ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา…แต่ลืมไปเสียเถอะ ว่าจะได้รอดออกไป!สังหารนางบัดเดี๋ยวนี้!!เมิ่งซิน (คิดในใจ)อะ…อะไรนะ…เรียกฉันว่าเมิ่งเซียนอิ๋นเหรอ…นี่มันอะไรกัน!เธอถอยหลังชนชั้นเก็บตำรับยา มือกำแน่น ไม่มีทางหนีทันใด…เสียงฝีเท้าทั่วหลังคาดัง! เงาหนึ่งพุ่งลงราวเหยี่ยว!ชายปริศนาท
"พิษโบราณ ทหารเวร และแผนลวง…เมิ่งซินต้องฝ่าหอพระโอสถให้ได้ ก่อนที่ชีวิตและหมู่บ้านจะตกอยู่ในความเสี่ยง"– ริมป่าหลังเขา – ทางลับสู่พระราชตำหนัก – เช้าหมอกจาง ๆ คลี่คลุมผืนดิน เงาไม้โยกไหวตามสายลมแผ่วเสียงกิ่งไม้หักเบา ๆ ก่อนเมิ่งซินและนายแย้มจะโผล่พ้นแนวพงหญ้านายแย้มหยุดยืนตรงทางลับ — กำแพงหินสูงขนาบข้าง ต้นไผ่รกชัฏเขาหันไปมองเมิ่งซิน ใบหน้าเธอเปื้อนเหงื่อ แต่ดวงตายังคง แน่วแน่เกินใครนายแย้ม (เสียงแผ่ว)“จากตรงนี้ไปสุดทางก็ถึงทางเข้าพระราชตำหนัก…อีกสองชั่วยาม ข้าจะรอรับท่านหมอหญิงที่ปลายทาง”เมิ่งซิน (พยักหน้าแน่น)“ขอบคุณนะพี่แย้ม…”นายแย้มถอนใจ มองซ้ายขวา ก่อนล้วงมีดสั้นออกจากอกเสื้อนายแย้ม“รับสิ่งนี้ไว้…มีดนี้ไม่ใช่ฆ่าใคร แต่ใช้ปกป้องเจ้าหากมีภัย ให้เจ้าทำภารกิจสำเร็จและกลับไปรักษาขุนคีรินทร์ได้”เมิ่งซิน (ชะงักเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า)“พี่แย้มไม่ต้องกังวล…ไม่ว่าจะเจออะไร ฉันจะกลับมาให้ได้”นายแย้ม (เบาเสียงราวพูดกับตัวเอง)“ขอให้โชคดีนะ…ท่านหมอหญิง”เมิ่งซินไม่ตอบ…เพียงมองเข้าไปในเงามืดของทางลับ ก่อนก้าวเข้าไปแผ่นหลังเล็ก ๆ แบกความหวังทั้งชีวิตของชายคนหนึ่ง ค่อย ๆ กลืนหายไปใ
"พิษเลือดร้ายรอวันถอน…แต่หัวใจสองดวงต้องร่วมฝ่าฟันอันตรายไปพร้อมกัน"– หมู่บ้าน – เย็น –แสงเย็นสาดผ่านต้นไม้ ใบไม้ไหวตามลม เสียงนกร้องคลอเบา ๆเมิ่งซินเดินเข้าหมู่บ้าน หอบหิ้วขุนคีรินทร์ บาดเจ็บสาหัส ร่างซีด ซีด…เหมือนแผ่นกระดาษชาวบ้านกระซิบกันอย่างตกใจชาวบ้าน 1“นั่นใครน่ะ? ทำไมหมอหญิงถึงพามาคนเจ็บมาด้วย?”ชายชรามองด้วยความกังวลชายชรา“ดูท่าจะเป็นขุนศึก…ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนักขนาดนี้?”ชาวบ้านสองคนรีบเข้ามาช่วยพยุงเขาเข้าบ้านชาวบ้าน 1“มา ๆ ท่านหมอหญิง ให้พวกเราช่วยเถอะขอรับ”เมิ่งซิน“ขอบคุณมากจ้ะ พี่มิ่ง พี่แย้ม”– ภายในบ้านเมิ่งซิน –ร่างขุนคีรินทร์วางบนเตียงไม้ชาวบ้านยังตกใจชาวบ้าน 2“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน…ทำไมพวกท่านถึง…”เมิ่งซิน (ยิ้มเบา ๆ)“เรื่องมันยาว…ไว้ฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะจ้ะ”ชาวบ้าน 1“ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะขอรับ”เมิ่งซิน (พยักหน้า)“จ้ะพี่”เธอมองเขาที่ยังไม่ฟื้น…หัวใจเต้นตุบ ๆ ด้วยความห่วงใยเมิ่งซิน (กระซิบ)“เลือดไหลไม่หยุด…ร่างกายเย็น…แต่ลมหายใจร้อนราวไฟ…”เธอโน้มตัวแนบหูกับอกเขาหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ…เธอเบิกตากว้าง…แทบหยุดหายใจเมิ่งซิน
"ใต้เงาจันทรา…หัวใจสองดวงต้องเลือกเชื่อใจ หรือปล่อยให้ความลับพรากกัน"– คุกในพระราชตำหนัก – กลางคืน – เสียงฝนพรำเบา ๆ…ราวกับโลกกำลังกระซิบว่าพรุ่งนี้อาจไม่เหมือนเดิม เมิ่งซินเงยหน้ามองดวงจันทร์ผ่านม่านฝนบางเบา มันยังลอยเด่น…สวย…และโดดเดี่ยวเธอกอดเข่าตัวเองแน่น เหมือนเด็กหลงทางรอคำตอบจากฟ้าเมิ่งซิน (เสียงแผ่ว) “คืนนี้…แม้ฝนพรำ พระจันทร์ก็ยังกล้าเปล่งแสง ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้…ฉันจะได้เห็นมันอีกไหม…”กลั้วหัวเราะในลำคอ…ปลง ๆ “ใครจะเชื่อ…นักวิจัยจากศตวรรษที่ 22 ต้องมาตายซ้ำตายซ้อนในศตวรรษที่ 15…นี่มันขำไม่ออกจริง ๆ”ทันใดนั้น — “โครม!” ประตูไม้พังด้วยด้ามดาบ ขุนคีรินทร์ในชุดคลุมดำ หน้ากากทองดำครึ่งซีกบดบังใบหน้าด้านซ้าย สองทหารนอนหมดสติราวหุ่นไร้วิญญาณเมิ่งซินเบิกตา…หัวใจเต้นผิดจังหวะเมิ่งซิน “ทะ…ท่านเป็นใคร…”ขุนคีรินทร์ “ถ้ายังอยากมีชีวิต…ไปกับข้า”ภาพในหัวเธอสั่นไหว…สัมผัสแรกในป่าผุดกลับมา อบอุ่น…คุ้นเคย…แต่หล่นหายไปนานเมิ่งซิน (คิดในใจ) “นี่เขามาช่วยฉันจริง ๆ เหรอ…”และทันใดนั้น…หัวใจเธอก็เต้นแรงไม่เคยเป็นมาก่อน– กลางป่า – กลางคืน – เสียงฝีเท้าทหารหลวงกระชั้น ขุนคีริ
Comments