บทที่ 2
ลูกฝาแฝด 3 คน
หลายวันผ่านไป ณิชชาเดินทางไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เธอใช้เงินเก็บที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเช่าห้องพักราคาถูก เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความเครียดทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลง แต่สิ่งที่ทรมานเธอมากที่สุดคือความรู้สึกผิดหวังในความรักและความเชื่อใจที่เธอเคยมอบให้กับรามิล
และแล้ว...สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของณิชชาก็ปรากฏขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ เธอก็เริ่มมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน และอ่อนเพลียอย่างหนัก ทำให้เธอเริ่มสงสัยในความผิดปกติของร่างกาย และเมื่อไปพบแพทย์ เธอก็ได้รับข่าวที่ทำให้เธอทั้งตกใจจนแทบเป็นลม...เธอตั้งครรภ์ และเป็นลูกแฝด 3 คน !!
ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในจิตใจของณิชชา เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวในสภาพที่เธอเป็นอยู่มันยากลำบากเพียงใด และยิ่งไปกว่านั้น เด็กในท้องของเธอคือผลผลิตจากค่ำคืนอันแสนเลวร้ายกับผู้ชายที่ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส
แต่ในที่สุด สัญชาตญาณความเป็นแม่ก็เริ่มทำงาน ณิชชาตัดสินใจที่จะเก็บเด็กไว้ เธอจะเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความเข้มแข็ง เธอจะไม่ยอมให้ความผิดพลาดของรามิลมาทำลายชีวิตของลูก ๆ เธอ
ณิชชาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อย่างยากลำบาก เธอทำงานทุกอย่างที่สุจริตเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลูกในท้อง เธอเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเล็ก ๆ รับจ้างซักรีด และทำขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ขายตามตลาดนัด ความเหนื่อยล้าทางกายนั้นแสนสาหัส แต่ความรักและความหวังที่มีต่อลูกน้อยในท้องคือพลังใจที่ทำให้เธอก้าวข้ามทุกอุปสรรคไปได้
ห้าปีผ่านไป...
ณิชชายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในร้าน ‘บ้านขนม ณิชชา’ ร้านเล็ก ๆ ที่เธอสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและความรักที่มีต่อลูกแฝดสาม ภูผา วาริน และเมฆา เด็ก ๆ เติบโตมาด้วยความอบอุ่นและความรัก แม้จะไม่มีพ่อ แต่พวกเขาก็ไม่เคยขาดความสุขและความสดใส
เธอกลับมาที่กรุงเทพได้หลายเดือนแล้ว เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกๆ เมื่อได้รับโอกาสทางธุรกิจที่เพื่อนสนิทหยิบยื่นให้ เธอจึงตัดสินใจเปิดร้านขนม
ร้านขนมหวานเล็ก ๆ ของเธอเริ่มต้นได้สวยงาม ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้ร้านของเธอกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ณิชชากำลังสร้างโลกที่อบอุ่นและปลอดภัยให้กับลูก ๆ รามิล เดชาบดินทร์ กลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ข่าวคราวของณิชชาไม่เคยอยู่ในความสนใจของเขา เขายังคงใช้ชีวิตอย่างเย็นชาและไม่ผูกพันกับใคร ความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อณิชชาเลือนรางไปจากความคิดของเขา ราวกับเธอเป็นเพียงความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตที่เขาต้องการลืมเลือน
รามิลยังคงเป็นผู้ชายอันตราย ในสายตาของคนรอบข้าง เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และมีเสน่ห์ แต่เขาก็เป็นคนเย็นชา ดุดัน และไม่เคยเปิดใจให้ใครอย่างแท้จริง ความสัมพันธ์ของเขากับธัญรสาก็ยังคงเป็นเพียงคู่หมั้นในนาม ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน
เส้นทางชีวิตของณิชชาและรามิลดูราวกับเส้นขนาน
แต่แล้ว...การเผชิญหน้าที่เธอหวาดกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
วินาทีที่น้องภูผาวิ่งชนร่างสูงใหญ่ในสวนสาธารณะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่างของณิชชา หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบคู่นั้นอีกครั้ง ความเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากตัวเขายังคงรุนแรงไม่เปลี่ยนแปลง
"โอ๊ย!" เสียงร้องของน้องภูผาทำให้รามิลหันขวับมา ดวงตาคมกริบกวาดมองเด็กชายตัวเล็กที่เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนมาจับจ้องที่ณิชชาอย่างไม่เชื่อสายตา
"คุณ...ณิชชา?" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้าง เจือด้วยความประหลาดใจ
"ค่ะ...ท่านประธาน" ณิชชาตอบเสียงแผ่ว พยายามควบคุมไม่ให้มือที่จับจูงลูกชายสั่นเทา
"ยังไม่พอใจอีกหรือไง ถึงกลับมาเหยียบแผ่นดินใกล้ที่ที่ฉันอยู่อีกครั้ง!" รามิลเอ่ยเสียงต่ำ มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ "หรือครั้งนี้จะใช้เด็กมาเป็นเครื่องมือต่อรองล่ะ เธอมันเจ้าเล่ห์อยู่แล้วนี่"
คำพูดที่แสนร้ายกาจเหล่านั้นตอกย้ำให้ณิชชารู้ว่า ห้าปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ความเข้าใจผิดและความเกลียดชังในใจของเขาลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย เธอพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า
"ฉัน ฉันแค่พาลูกมาเดินเล่นค่ะ ไม่ได้มีเจตนาอื่น"
"เหอะ! เสแสร้ง!" รามิลแค่นเสียงเยาะเย้ย ดวงตาของเขากวาดมองเด็กชายตัวน้อยที่เกาะขาณิชชาแน่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย "เด็กนี่...หน้าคุ้น ๆ เหมือนกันนะ"
ความสงสัยฉายชัดในแววตาของรามิล ณิชชารู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ
"เด็กซนตามประสาค่ะ ท่านประธานอย่าได้ถือสาเลยนะ"
แต่รามิลกลับไม่ละสายตาจากน้องภูผา เขาทรุดตัวลงเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นอย่างพิจารณา ดวงตาคมกริบไล่สำรวจทุกรายละเอียด ราวกับกำลังมองหาความลับที่ซ่อนอยู่
"เด็กชื่ออะไร?" น้ำเสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจือด้วยความสงสัย
"น้อง...น้องภูผาค่ะ" ณิชชาตอบเสียงแผ่ว เธอรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังเต้นระเบิด
"ภูผา..." รามิลทวนชื่อนั้นช้า ๆ ดวงตาของเขาเลื่อนกลับมาจับจ้องใบหน้าของณิชชาอีกครั้ง แววตาของเขาอ่านไม่ออก มันทั้งสงสัย เย็นชา และแฝงไปด้วยความไม่ไว้วางใจ "กลับมาครั้งนี้...เธอต้องการอะไรกันแน่?"
"ฉัน..." ณิชชาอึกอัก ก่อนจะถอนหายใจพรืด “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ แค่บังเอิญเจอฉัน อย่าหลงตัวเองไปเลยค่ะ”
และในจังหวะนั้นเอง ธัญรสา...หญิงสาวสวยในชุดราตรีสีแดงเพลิงก็เดินเข้ามาคล้องแขนรามิลอย่างสนิทสนม รอยยิ้มหวานฉ่ำถูกส่งมาให้เขา ก่อนที่สายตาจะหันมาจ้องมองณิชชาอย่างประเมิน
"คุณรามิลคะ ใครกันคะ?" น้ำเสียงของธัญรสาหวานหยดย้อย แต่แววตาที่มองณิชชานั้นกลับแข็งกระด้าง
"ไม่สำคัญหรอก ธัญ" รามิลตอบเสียงเรียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ณิชชาไม่วาง "แค่คนที่ฉันไม่อยากเจออีก"
"อ๋อ..." ธัญรสารับคำเสียงสูงเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้ณิชชา "สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ...?"
"ณิชชาค่ะ" ณิชชาตอบเสียงเบา พยายามรักษามารยาท
"คุณณิชชา..." ธัญรสาทวนชื่อช้า ๆ ราวกับกำลังจดจำ "ดูคุ้น ๆ นะคะ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน"
"คงเป็นเรื่องบังเอิญค่ะ" ณิชชารีบตัดบท ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
"ถ้าอย่างนั้น...เราไปกันเถอะค่ะ คุณรามิล" ธัญรสาพูดพร้อมกับดึงแขนรามิลเบา ๆ แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ณิชชาอย่างเย้ยหยัน "ลมเย็น ๆ ชักจะไม่ดีต่อสุขภาพแล้วค่ะ"
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก่อนจะเดินตามธัญรสาไป เขายังคงหันกลับมามองณิชชาและลูกชายของเธออีกครั้ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่ไว้วางใจ
น้องภูผาเงยหน้ามองแม่ด้วยความสงสัย "คุณแม่ครับ คุณลุงคนนั้นเป็นใครครับ ทำไมมองพวกเราแปลก ๆ"
ณิชชาลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ฝืนยิ้ม "ไม่มีอะไรหรรอกจ้ะภูผา คุณลุงเขาอาจจะจำคนผิดน่ะ" แต่ในใจของเธอ...กลับเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดหวั่น
นี่เขาเจอลูกของเธอแค่คนเดียว เธอยังใจหายใจคว่ำขนาดนี้ ถ้าเขาเจอลูกๆ ครบทั้งสามคนเลยจะขนาดไหน
โชคดีที่เด็กอีก 2 คนไปเล่นสไลเดอร์ตรงอีกฝั่งหนึ่ง มีเพียงภูผาที่วิ่งเล่นอยู่คนเดียวใกล้ๆ เธอ
แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ไม่สามารถสลัดความกังวลออกไปจากใจได้เลย
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลสั่งให้เด็ก ๆ แต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ เพราะจะมีครูจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังมาทำการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนถัดไปเขาได้ทำการให้เด็กๆ ลาออกจากโรงเรียนรัฐ เพื่อเข้าโรงเรียนเอกชนที่เขาเป็นคนคัดสรรว่าดีที่สุด“อย่าทำให้ผมอับอายขายหน้า หากลูกของคุณสอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าเพราะคุณสั่งสอนไม่ดี” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบขณะยืนแต่งสูทเรียบหรูหน้ากระจก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองณิชชาที่กำลังจัดชุดให้เด็ก ๆ อยู่บนโซฟา“เด็กทั้งสามคนมีศักยภาพและมีความสามารถค่ะ ฉันมั่นใจในตัวพวกเขา” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของเมฆาสั่น“ความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณ ไม่ใช่หลักประกันที่เชื่อถือได้สำหรับผม” เขาย้อนทันควันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ค่ะ ดูเหมือนว่าฉันพูดอะไรไปก็จะผิดหูสำหรับคุณไปหมดเลยนะคะ”“นั่นเพราะคุณมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่”“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเหน็บ จะแซะ จะแขวะอะไรฉัน
“ตุ๊กตาแพนด้าของเมฆหายไปฮับ แงงงง” เสียงร้องไห้ของเมฆาดังลั่นบ้านในเช้าวันจันทร์ที่ควรเริ่มต้นด้วยความสดใส เมฆานั่งกอดหมอนบนโซฟา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ยู่ยี่ด้วยความเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตุ๊กตาตัวโปรดถึงหายไป ณิชชานั่งย่อตัวลงตรงหน้าลูกชายอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างปลอบโยน“เมฆแน่ใจนะว่าเอาตุ๊กตามาด้วยจริง ๆ”“แน่ใจฮับคุณแม่ เมฆวางไว้บนหัวเตียงเมื่อคืนก่อนนอน เมฆกอดมันทุกคืนเลย”“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวแม่ช่วยหานะ” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายอย่างให้กำลังใจ แล้วลุกขึ้นเดินหาทั่วบ้านพร้อมกับภูผาและวารินที่ช่วยกันค้นหาอย่างขะมักเขม้น ครู่ต่อมา วารินวิ่งหน้าตื่นมาจากหลังบ้าน “คุณแม่... วาเห็นตุ๊กตาอยู่ในถังขยะค่ะ”ณิชชาชะงัก หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างแรง เธอรีบตามลูกสาวไปที่หลังบ้าน และก็เป็นอย่างที่วารินบอก... ตุ๊กตาแพนด้าขอ
เช้าวันใหม่ เด็กทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนพรมผืนนุ่มในห้องนั่งเล่น วารินกำลังสานริบบิ้นหลากสีกับแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆากำลังจัดเรียงรถของเล่นคันโปรดอย่างขะมักเขม้น ส่วนภูผาเงียบกว่าทุกครั้ง เขานั่งอยู่ข้างน้องชายแต่สายตากลับคอยชำเลืองมองแม่ตลอดเวลาด้วยความกังวล“แม่ฮะ... วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมฮับ” เสียงเล็กของเมฆาถามขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากออกไปข้างนอกหญิงสาวหันไปสบตากับลูกชายแล้วลูบศีรษะเล็ก “ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็พาไปได้จ้ะ”เด็กทั้งสามหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดเกือบจะพร้อมกัน รามิลมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ด้วยแววตาเย็นชา“พ่อครับ พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมคับ” ภูผาเป็นคนลุกขึ้นก่อนใคร และออกปากขออนุญาตตามประสาพี่ใหญ่หญิงสาวเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกขนลุก เลยรีบพูดว่า “แค่เดินเล่นเองค่ะ ช่วงนี้เด็กๆ โรงเรียนหยุดยาวด้วย ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีค่ะ”เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก “ได้ แต่คุณต้องพาคนขับรถไปด้วย ห้ามพาเด็ก ๆ ไปในที่แออัด หรือสถานที่ที่คุณเคยไปสมัยทำงานในบริษัทเด็ดขาด” น้ำเสียงเข้มเต็ม
คืนนั้น ณิชชาแทบไม่ได้หลับเลย เธอนั่งเฝ้าลูก ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยยังดูอ่อนแรง หากแต่ก็ยังส่งยิ้มสดใสให้เธอเสมอ ราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไรและไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงหัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดราวกับถูกกรีดเป็นริ้ว ๆ หากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำใด หรืออธิบายความรู้สึกใด ๆ ให้ใครได้รับรู้เลย เธอทำได้เพียงกอดลูกๆไว้ และภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วเช้าวันถัดมา รามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้ง ขณะที่ณิชชายกถาดอาหารเช้าไปวางตรงหน้าลูก ๆ“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะให้แม่ครัวเป็นคนจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็ก ๆ เอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาในครัวอีกต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ“แต่ว่า…” ณิชชาพยายามจะค้านอย่างอ่อนแรง“อย่าได้คิดที่จะโต้แย้ง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสี่ยงกับความสะเพร่าของใครบางคน” รามิลตัดบทอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเฉียบขาดจนณิชชาไม่อาจโต้เถียงได้อีกถ้อยคำเหล่านั้นราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงคว
กลิ่นหอมหวานของขนมอบลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว ณิชชาบรรจงทำอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ทุกเช้าด้วยความใส่ใจ ราวกับเป็นกิจวัตรสำคัญที่ไม่อาจละเลย เธอผสมแป้งด้วยมือ คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่า ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รับรู้ในความตั้งใจของเธอเลยก็ตามแต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว เธอปรารถนาให้ทุกคำที่พวกเขาได้ทานเข้าไป เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่“วันนี้แม่ทำเค้กกล้วยหอมด้วยนะลูก” เธอยิ้มละมุนขณะจัดขนมใส่จาน เตรียมเสิร์ฟพร้อมนมอุ่นหอมกรุ่นเด็กทั้งสามเดินลงมานั่งประจำที่ วารินส่งยิ้มหวานให้มารดา “วาอยากทานขนมฝีมือคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก”“พี่ภูขออันที่กล้วยเยอะ ๆ นะฮะ เขาชอบกล้วย” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วณิชชาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจัดจานตามความต้องการของลูก ๆ อย่างใส่ใจ แล้วยกไปวางบนโต๊ะอาหารรามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี นัยน์ตาคมกริบปรายมองอาหารเช้าบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยทักทายเด็ก ๆ หรือแม้แต่เธอ“เช้านี้ฉันทำเค้กกล้วยหอมค่ะ ไม่มีน้ำตาลมาก เด็ก ๆ จะได้ทานง่าย ๆ” ณิชชาอ
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย หากแต่ในความรู้สึกของณิชชา กลับเหมือนต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ความอึดอัดที่เกาะกุมหัวใจยังคงหนักอึ้ง เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมนมกล่องและอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วยความใส่ใจ แม้ในใจจะตระหนักดีถึงสถานะของตนเองในบ้านหลังนี้เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร รามิลปรากฏตัวในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน"เด็ก ๆ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ"กำลังล้างมือกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ณิชชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพรามิลกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นมต้องอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอดี ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส อาหารว่างควรมีผลไม้สดเพื่อเพิ่มวิตามิน ไม่ใช่แค่ขนมปังอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ควรใส่ใจ หากคิดจะทำหน้าที่แม่ของลูก ๆ ผม"ณิชชากล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป พยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม เธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีร่าเริง เมฆาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงใส "คุณพ่ออออ"รามิลยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็ก "