เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ยินมา เจียงซุ่ยฮวนยังมีข้อสงสัยในใจอยู่หนึ่งประการ นางลูบใบหน้าตนเองเบา ๆ พลางนึกในใจ “ข้าหน้าตาขี้ริ้วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่ม ทว่ากลับรู้สึก...ไม่เหมือนหนังแท้ ๆ ของมนุษย์เจียงซุ่ยฮวนเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณหลังใบหูอย่างละเอียด และแล้ว...ก็พบปุ่มนูนเล็ก ๆ อยู่จริงหนังศีรษะของนางชาวาบ แท้จริงแล้วมีผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้บนใบหน้าของนางนี่เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายร่างใหญ่จึงพูดจาดูแคลนใบหน้านางนักเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าบนใบหน้านางมี "ผิวปลอม" แปะทับอยู่ เจียงซุ่ยฮวนก็รู้สึกขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว นางพยายามจะลอกหน้ากากออก แต่เพิ่งจะลอกได้เพียงนิด กลับเจ็บแสบจนราวกับหนังแท้ของตนกำลังจะถูกฉีกติดไปด้วยของเหลวอุ่น ๆ หยดลงบนหลังมือ นางก้มลงมอง เห็นหยดโลหิตสีแดงสดกำลังไหลซึมอย่างช้า ๆดูท่าหน้ากากหนังกับผิวหนังของนางติดกันแน่นเกินไป หากฝืนลอกออกเกรงว่าจะทำร้ายใบหน้าของตนเองเสียมากกว่าเจียงซุ่ยฮวนจึงใช้ชายแขนเสื้อซับเลือดเบา ๆ โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ เลือดหยุดไหลในเวลาไม่นานชายร่างยักษ์เบิกตากว้าง พยายามมองนางจากเบื้องล่าง “คำถามข
ว่านเมิ่งเยียนยังคงจมอยู่ในความปีติและความใฝ่ฝันถึงอนาคต จึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนจากชั้นล่าง จนกระทั่งได้ยินประโยค "เกิดเรื่องใหญ่แล้ว" หัวใจของนางกระตุก รีบพุ่งไปที่หน้าต่าง สองมือจับกรอบหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง เสวียหลิงประคองบ่าวที่หอบแฮ่ก ๆ ขมวดคิ้วกล่าว "ลุงเจ้า ท่านอย่าร้อนใจ ค่อย ๆ พูด เกิดอะไรขึ้น" ลุงเจ้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวว่า "คุณชาย ข้าอธิบายไม่หมดในสองสามประโยค ท่านรีบกลับจวนเถิด ท่านพ่อท่านแม่รอท่านอยู่ขอรับ" เสวียหลิงมองฝูงชนที่กำลังสนุกสนาน สีหน้าลังเลเล็กน้อย วันนี้เป็นวันแรกที่ร้านหรงเยว่เก๋อเปิด และว่านเมิ่งเยียนเป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน แม้จะถือหุ้นไม่มาก แต่นางชอบที่นี่มาก ทุ่มเทหยาดเหงื่อไม่น้อยเพื่อร้านนี้ ในวันสำคัญเช่นนี้ เสวียหลิงไม่อยากพลาดไป "เสวียหลิง" เสียงของว่านเมิ่งเยียนดังจากเบื้องบน เสวียหลิงเงยหน้า สบตากับว่านเมิ่งเยียนที่หน้าต่างชั้นสอง ว่านเมิ่งเยียนมองเขาอย่างกังวล "เจ้ารีบกลับไปเถิด" "แล้วเจ้า..." "ข้าไม่เป็นไร" ว่านเมิ่งเยียนขัดคำพูดเสวียหลิง ชี้ไปที่เจียงซุ่ยฮวนข้างกาย "ที่นี่มีอาฮวนอยู่กับข้า พอแล้ว" "ได้ ข้าจะกลับไปก่อน
แม้ปากจะพูดคำอวยพร แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ นางจากไปอย่างรีบร้อน ว่านเมิ่งเยียนมองเสวียหลิงเหม่อ ๆ "ท่านจะยอมสละองค์หญิงจิ่นอวี๋เพื่อข้าจริง ๆ หรือ" "ไม่ใช่สละ นางไม่เคยเป็นของข้ามาแต่ไหนแต่ไร" เสวียหลิงจับมือว่านเมิ่งเยียน "คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วยมีเพียงเจ้า" เพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เจียงซุ่ยฮวนหาข้ออ้างส่ง ๆ ว่าต้องกลับออกไป นางชำระเงินเสร็จ กล่าวกับทั้งสอง "พรุ่งนี้ยามซื่อ พบกันที่หน้าร้านหรงเยว่เก๋อนะ" ว่านเมิ่งเยียนยังไม่ทันได้สติ เสวียหลิงพยักหน้ารับคำ วันรุ่งขึ้นยามซื่อ เจียงซุ่ยฮวนปรากฏตัวที่หน้าร้านหรงเยว่เก๋อ วันนี้เป็นวันเปิดร้านหรงเยว่เก๋อ นางตั้งใจสวมชุดยาวสีแดงอมม่วง คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงที่มีขอบขนกระต่าย ยิ่งทำให้ผิวของนางขาวดุจหิมะ ส่วนว่านเมิ่งเยียนกับเสวียหลิงกลับคิดเหมือนกับนาง ต่างสวมเสื้อสีแดง ทั้งสามคนยืนด้วยกันดึงดูดสายตามาก ว่านเมิ่งเยียนวันนี้อารมณ์ดี กล่าวว่า "ดูพวกเราสามคนสวมชุดแดงสดใส ร้านหรงเยว่เก๋อต่อไปคงเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน" "ใช่แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนเบิกบานไปด้วยรอยยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความยินดี เสียงประทัดดั
เจียงซุ่ยฮวนประคองถ้วยชาด้วยสองมือ ยิ้มพลางสนทนากับสองคนที่นั่งตรงข้าม เมื่อถามถึงเรื่องที่เสวียหลิงตั้งใจจะสู่ขอเมื่อไร ว่านเมิ่งเยียนก็อายแล้วก้มหน้าลง เสวียหลิงหัวเราะอย่างสดใส กำลังจะเอ่ยปากตอบ ข้างกายก็ปรากฏสตรีงดงามอรชรผู้หนึ่ง สตรีผู้นั้นทั้งตกใจทั้งดีใจ "พี่เสวียหลิงเจ้าคะ เป็นท่านหรือไม่" เมื่อเสวียหลิงเห็นสตรีผู้นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปสิ้น เพียงตอบเย็นชาเบา ๆ เป็นเสียง "อืม" ดวงตาของสตรีผู้นั้นแดงเรื่อเล็กน้อย กล่าวเสียงอ่อนโยน "พี่เสวียหลิง นับแต่รู้ว่าท่านบาดเจ็บ ข้าก็กังวลถึงท่านทุกวัน" "บัดนี้เห็นท่านหายดีแล้ว ข้าดีใจแทนท่านจริง ๆ" ว่านเมิ่งเยียนถามเบา ๆ "เสวียหลิง คุณหนูท่านนี้คือผู้ใดหรือ" เสวียหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว "นางคือธิดาของโจวกุ้ยเฟย องค์หญิงจิ่นอวี๋" เจียงซุ่ยฮวนที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงข้าม เกือบสำลัก จิ่นอวี๋ ไม่ใช่น้องสาวในนามของฉู่เฉินดอกหรือ ได้ยินว่าเสวียหลิงกับจิ่นอวี๋เคยหมั้นหมายกัน แต่หลังจากเขาถูกพิษแมงป่องเลือด นางไม่เพียงไม่เคยไปเยี่ยม ยังรีบร้อนขอให้ฮองเฮายกเลิกการหมั้นหมาย จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติ การหมั้นหมายของทั้งสอง
องครักษ์คุ้มกันตัวทั้งสี่คนของนางล้วนขับรถม้าเป็น มีพวกเขาอยู่ ยวี่จี๋ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านก็พอ เจียงซุ่ยฮวนนั่งรถม้ามาถึงร้านหรงเยว่เก๋อ พอลงจากรถม้าก็เห็นว่านเมิ่งเยียนกับเสวียหลิงยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองอยู่ใกล้กัน ไม่รู้คุยอะไรกันอยู่ ใบหน้าล้วนยิ้มแย้มเจียงซุ่ยฮวนยิ้มเดินเข้าไป "สนุกกันเชียว กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ" "ซุ่ยฮวน เจ้ามาแล้วหรือ" ว่านเมิ่งเยียนก้าวยาว ๆ มาหานาง จับมือนางกล่าว "เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าจะกลับไปดูปฏิทินแล้วค่อยบอกวันเปิดร้าน แต่ข้ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเจ้าส่งคนมา กำลังคิดจะไปหาเจ้าพอดี" "ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายมากมาย จึงชักช้าไปหน่อย" เจียงซุ่ยฮวนยิ้มกล่าว "วันนี้ข้าจึงมาด้วยตัวเอง" "ข้าได้ดูปฏิทินแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันดี มงคลยิ่ง เหมาะกับทุกการ" ว่านเมิ่งเยียนถาม "เปิดพรุ่งนี้เลยหรือ" "อืม" เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า แล้วถาม "จะกระชั้นชิดเกินไปไหม" "ไม่กระชั้นชิดหรอก" เสวียหลิงก้าวมาข้างหน้า "ข้ากับเมิ่งเยียนเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแต่เปิดร้านเท่านั้น" "เหนื่อยพวกท่านแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปที่หอเยว่ฟางข้าง ๆ "ไปกันเถอะ ข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้าเอง" น
เถี่ยจู้หันไปมองข้างหลัง กล่าวว่า "คนนี้น่ะเหรอ เขาเป็นศิษย์ใหม่ที่ข้ารับมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้จะพูดไม่ได้ แต่ฉลาดมาก มือไม้ก็ว่องไว" "ศิษย์ข้า เข้ามาให้เจ้านายดูหน้าตาเจ้าหน่อย" เถี่ยจู้โบกมือเรียกคนที่อยู่หลังสุด "เร็วเข้า เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้ว เจ้านายก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร" คนผู้นั้นเดินมาอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นใบหน้า จึงก้มหน้าต่ำมาก เถี่ยจู้จับแขนเขา ดึงมาข้างหน้า พูดกับเจียงซุ่ยฮวนอย่างจนใจ "ตอนเขาเพิ่งมา ยังดีอยู่ แต่ภายหลังเพราะพูดไม่ได้ ถูกเจ้านายหลายคนรังเกียจ จึงเริ่มไม่ชอบเจอผู้คนขอรับ" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "ไม่เป็นไร พูดได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงมีนิสัยดี ทำงานคล่องแคล่วก็พอ" เมื่อได้ยินเสียงเจียงซุ่ยฮวน ร่างของเขาสะดุ้งโดยพลัน ผงกศีรษะขึ้นทันที เมื่อเห็นใบหน้าเจียงซุ่ยฮวน เขาก็ตื่นเต้นมาก ชี้นิ้วไปที่เจียงซุ่ยฮวน แล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ เจียงซุ่ยฮวนก็ประหลาดใจเช่นกัน กล่าวว่า "เจ้าคือเถี่ยหนิว ใช่ไหม" เถี่ยหนิวชี้นิ้วมาที่ตัวเอง พยักหน้าอย่างแรงสองครั้ง "คุณหนู ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ" เถี่ยจู้ถาม "เคยเจอกันครั้งหนึ่ง
"ไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวที่อุปการะหม่อมฉันก็ทารุณหม่อมฉันอย่างแสนสาหัส หม่อมฉันทนไม่ไหวจึงหนีออกมา ภายหลังถูกท่านอ๋องพบและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์เพคะ" "อย่างนี้นี่เอง" เจียงซุ่ยฮวนปลอบว่า "เจ้าวางใจเถิด ปู้กู่ขาบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังคัดลอกตำราทหาร ในเวลาอันใกล้นี้คงคัดลอกไม่เสร็จหรอก" ไป๋หลีพยักหน้า ไม่พูดอะไร เจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าวาดแบบต่อไป ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ที่ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็ปรากฏแสงอรุณรุ่งแรก เจียงซุ่ยฮวนเคาะพู่กันกับโต๊ะ ยืดตัวอย่างสุดแรง "ในที่สุดก็เสร็จเสียที" นางถือกระดาษแบบเดินออกไป ปกติเวลานี้ยวี่จี๋จะให้อาหารม้าที่ลานหลังแล้ว นางจึงตรงไปที่ลานหลังโดยไม่ลังเล แน่นอน ยวี่จี๋กำลังยืนเตรียมหญ้าอยู่ข้างคอกม้า เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวน เขาหยุดมือถาม "คุณหนู วันนี้ท่านตื่นแต่เช้ามากเลยขอรับ" "นอนไม่หลับก็เลยตื่นน่ะ" เจียงซุ่ยฮวนเข้าเรื่องทันที "ลุงยวี่ ท่านรู้จักช่างที่ไว้ใจได้ไหม" "รู้จักหลายคนขอรับ" ยวี่จี๋ชี้ไปที่ซากปรักหักพังแห่งนั้น "คุณหนูต้องการหาช่างมาสร้างใหม่หรือขอรับ" "ใช่" เจียงซุ่ยฮวนส่งแบบให้เขา "ท่านไปถามดูว่า มีช่างที่สามารถสร้างบ้
เจียงซุ่ยฮวนรับจดหมายมาเปิดอ่าน บนนั้นมีเพียงประโยคเดียวฉู่เฉินไม่เป็นไร อย่าตามหาอีก ครึ่งเดือนข้าจะส่งเขากลับมาโดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย ลายมือบนจดหมายสวยงามคมชัด หากเป็นยามปกติคงทำให้ผู้พบเห็นชื่นชม แต่ตอนนี้เจียงซุ่ยฮวนอยากฉีกจดหมายนี้ให้เป็นชิ้น ๆ จดหมายนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกหลี่ลี่แน่ เขารู้จุดประสงค์ของเจียงซุ่ยฮวนล่วงหน้า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าฉู่เฉินปลอดภัยดี เจียงซุ่ยฮวนก็โล่งใจขึ้น นางบอกองครักษ์ลับว่า "พวกเจ้าถูกพบตัวแล้ว ไม่ต้องตามหาอีก ไปเรียกสี่จือกับอีกสามคนกลับมาเถิด" หากคนผู้นั้นวางเสื้อผ้าที่มีกลิ่นไว้หลายที่ สี่จือจะต้องดมไปถึงเมื่อไหร่ หลังองครักษ์ลับจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ไม่ว่าอย่างไรก็หลับไม่ลง นางจึงเลิกพยายามข่มตาหลับ เดินไปที่โต๊ะจุดเทียน แล้ววาดแบบต่อ ไป๋หลีก็ไม่นอนอีก นั่งอยู่ริมเตียงลับดาบพก "ทำไมเจ้าไม่กลับไปนอนเล่า" เจียงซุ่ยฮวนถาม "หม่อมฉันนอนพอแล้วเพคะ" ไป๋หลีตอบโดยไม่เงยหน้า เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า จู่ ๆ ก็ตระหนักว่าการให้ไป๋หลีนอนห้องเดียวกับตน ดูเหมือนจะไม่สะดวกสำหรับทั้งสอ
ลู่อีแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย เขาลูบคางพลางกล่าวว่า "มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ" "อืม" กู้จิ่นพยักหน้า "ใกล้ถึงช่วงปีใหม่แล้ว ราชวงศ์ทุกแคว้นล้วนกำลังยุ่ง องค์ชายแห่งแคว้นเฟิงซีไม่อยู่ในแคว้นของเขา มาทำอะไรที่ต้าเหยียนรึ" ลู่อีครุ่นคิดไม่ออก "เขาไม่ได้มาตอนนี้" กู้จิ่นวางมือบนแผนที่ ลากจากเมืองหลวงของแคว้นเฟิงซีลงมาเรื่อย ๆ สุดท้ายหยุดที่เมืองหลวงของต้าเหยียน กล่าวว่า "เขาเติบโตที่ต้าเหยียนตั้งแต่เด็ก" "ราชาแห่งแคว้นเฟิงซีมีฮองเฮาหนึ่งองค์และพระสนมสามองค์ ฮองเฮามีนิสัยขี้อิจฉา ไม่ยอมให้พระสนมทั้งสามคลอดองค์ชาย จึงให้พวกนางดื่มยาระงับครรภ์" "หนึ่งในพระสนมนั้นแกล้งดื่มยาระงับครรภ์ แล้วรีบบ้วนออกมา ไม่นานก็คลอดองค์ชายอย่างลับ ๆ เพื่อรักษาชีวิตองค์ชาย พระสนมแอบส่งคนพาองค์ชายไปยังต้าเหยียน" "เมื่อไม่กี่ปีก่อน องค์ชายสององค์ที่เกิดจากฮองเฮาแคว้นเฟิงซีเสียชีวิตด้วยโรคภัยติดต่อกัน ฮองเฮาล้มป่วยไม่ฟื้น พระสนมคนเดิมจึงได้โอกาส นำเรื่องที่เคยคลอดองค์ชายมาเปิดเผย" "ราชาแคว้นเฟิงซีเดิมที่หมดอาลัยตายอยาก เมื่อรู้ว่ายังมีโอรสอีกหนึ่งองค์ ก็รีบส่งคนไปตาม แม้จะพบตัวแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่เคยพบ
เขากลัวกู้จิ่นจะไม่พอใจ จึงรีบเสริมอีกประโยคว่า "พระชายาให้กระหม่อมและผู้อื่นลองชิมรสชาติ ดูว่ามีส่วนใดต้องปรับปรุงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นลังเลอย่างที่ไม่ค่อยเป็น เงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่งห่อเล็กให้ชางอี้ "เอาไปเถิด อย่าให้เสียเปล่า!" "พ่ะย่ะค่ะ!" ชางอี้อุ้มห่อเดินไปที่ประตู ลู่อีรั้งชายเสื้อเขาไว้ "ชางอี้ ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องที่ร่วมสุขร่วมทุกข์มาตลอด" "อาหารแห้งที่เจ้ากอดอยู่ จะให้ข้าชิมสักคำได้ไหม" "เอ่อ คือ..." ชางอี้มองไปทางกู้จิ่น เห็นกู้จิ่นไม่ได้คัดค้าน จึงเปิดห่อออก เนื้อวัวแห้งที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันมีสองรสชาติคือเครื่องเทศห้าสหายและเผ็ดชา ส่วนขนมก็แบ่งเป็นไส้ผลไม้และไส้ถั่ว พอเปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อและความหวานของขนมก็โชยมาทันที เนื่องจากเจียงซุ่ยฮวนใส่ผงยาธรรมชาติลงไปด้วย จึงมีกลิ่นของพืชพรรณอ่อน ๆ ทำให้ทั้งสองอย่างไม่มีกลิ่นเลี่ยนเกินไป ชวนให้น้ำลายสอ ชางอี้กลืนน้ำลาย เลือกอย่างพิถีพิถันหยิบเนื้อวัวแห้งชิ้นเล็กที่สุดและขนมชิ้นเล็กที่สุดส่งให้ลู่อี ลู่อีกินเสร็จตาเป็นประกาย กล่าวว่า "อร่อย ๆ ให้ข้าอีกหน่อยสิ" "ไม่ได้หรอก หากให้ท่านอีก พี่น้องท