หง่าง...ง...ง...เมื่อเสียงระฆังหลวงดังกังวานเป็นครั้งสุดท้าย สัญญาณของการเฉลิมฉลองก็ได้กลายเป็นสัญญาณการเปิดศึกโดยสมบูรณ์จากทุกมุมมืดของเมืองหลวง บนยอดเจดีย์สูง บนหลังคาของจวนขุนนาง และในเงามืดของหอระฆัง เสียงขลุ่ยมายาอันโหยหวนได้ดังประสานขึ้นพร้อมกัน มันมิใช่บทเพลง แต่เป็นคลื่นเสียงที่บิดเบี้ยวและกรีดแทงโสตประสาท มันแทรกซึมเข้าไปในใจกลางของฝูงชนที่กำลังรื่นเริงเบื้องล่าง ปลุกเร้าความก้าวร้าวและความบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเสียงหัวเราะพลันเปลี่ยนเป็นเสียงทะเลาะวิวาท รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกร้าว เมืองหลวงที่เคยสว่างไสวด้วยแสงโคม บัดนี้กำลังจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งความโกลาหล!ทว่า ในขณะที่ตาข่ายเสียงแห่งความคลุ้มคลั่งกำลังจะครอบงำทุกสิ่งณ ยอดหอชมดาวที่สูงที่สุด เสียงพิณกู่ฉินอันใสกระจ่างก็พลันดังขึ้น!ปลายนิ้วขององค์หญิงลี่หัวร่ายรำอยู่บนสายพิณราวกับเซียนธิดาที่กำลังโปรยปรายบุปผาจากสวรรค์ เสียงพิณของนางบริสุทธิ์และสงบนิ่งดุจน้ำพุกลางป่าลึก มันแผ่ขยายออกไปเป็นระลอกคลื่นสีทอง เข้าปะทะและสลายคลื่นเสียงสีดำอันชั่วร้ายของเหล่าขลุ่ยมายาตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่เบื้องหลังอง
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมลับราวกับมัจจุราชได้มาเยือน คำว่าคืนพรุ่งนี้ หนักหน่วงดั่งภูเขาไท่ซานที่ทับลงบนบ่าของทุกคนในที่นั้น“ยี่สิบสี่ชั่วยาม...” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบโหย “นี่ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้เราไปย้ายมหาสมุทรด้วยสองมือเปล่า เราจะหยุดยั้งเสียงระฆังทั่วทั้งเมืองหลวงได้อย่างไร”ความสิ้นหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ทว่าท่ามกลางความมืดมิดนั้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับเป็นผู้จุดประกายแสงแห่งความหวังขึ้นมา“ถูกต้อง เราหยุดเสียงระฆังไม่ได้” นางกล่าวขึ้น แววตาของนางฉายประกายแน่วแน่ “แต่หากพวกมันสามารถใช้ระฆังเพื่อกระจายเสียงพิษได้ เราก็ย่อมสามารถใช้ระฆังเดียวกันนั้นเพื่อกระจายเสียงโอสถของเราได้เช่นกัน!”ความคิดของนางช่างอาจหาญและเหนือความคาดหมาย เสมือนกับการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยนอาวุธของศัตรูให้กลับมาเป็นโล่ของตนเอง!“เราจะใช้เพลงพิณสลายมายาของเรา เข้าหักล้างซิมโฟนีแห่งความบ้าคลั่งของพวกมัน!” องค์หญิงลี่หัวกล่าวสนับสนุน แววตาของนางลุกโชนด้วยจิตวิญญาณของราชนิกุลผู้ไม่ยอมจำนนต่ออ
ณ ห้องบรรทมลับขององค์หญิงลี่หัว บรรยากาศอบอวลไปด้วยความตึงเครียด และสมาธิอันแน่วแน่ ตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวทำงานแข่งกับเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกนางรู้ดีว่าทุกขณะจิตที่เสียไป อาจหมายถึงชีวิตของผู้คนนับล้านในเมืองหลวงหยาดเหงื่อของแพทย์เทวดาและปลายนิ้วอันแผ่วเบาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ กำลังหลอมรวมกันเป็นโอสถทิพย์ที่ไร้รูป“ท่วงทำนองช่วงนี้ต้องบรรเลงให้หนักแน่น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่เส้นลมปราณม้าม” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวพลางชี้ไปยังโน้ตเพลงที่นางเพิ่งเขียนขึ้นองค์หญิงลี่หัวพยักหน้า นางกรีดปลายนิ้วลงบนสายพิณกู่ฉิน เสียงอันทรงพลังและมั่นคงก็ดังขึ้น สลายความสับสนวุ่นวายในอากาศให้หมดสิ้น การผสานศาสตร์แห่งการแพทย์ และศิลป์แห่งดนตรีของทั้งสองนับวันยิ่งลึกซึ้งและกลมเกลียวในขณะเดียวกัน ณ ห้องโถงใต้ดินของหอเหมยแดง บรรยากาศกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงนักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัด ยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่านักดนตรีชุดดำของพรรคเมฆาโลหิตกว่าสิบคน บทเพลงที่พวกมันกำลังบรรเลงร่วมกันนั้น มิได้มีความไพเราะแม้แต่น้อย มันคือท่วงทำนองที่บิดเบี
ณ ที่พำนักลับของสำนักพันเงาตู้เยี่ยนอวี่นั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าม้วนโน้ตเพลงปริศนา แสงเทียนสาดส่องลงบนตัวอักษร และสัญลักษณ์ทางดนตรีที่ดูธรรมดา แต่ในสายตาของนางแล้ว มันคือรหัสยาสังหารที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยพบพาน“มันมิใช่แค่ดนตรี” นางอธิบายให้กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีฟังด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด “ทุกตัวโน้ต ทุกจังหวะ ถูกคำนวณมาอย่างแม่นยำเพื่อสร้างคลื่นความถี่เสียงที่สอดคล้องกับการสั่นสะเทือนของเส้นลมปราณในร่างกาย เมื่อบรรเลงด้วยการโคจรพลังภายใน มันจะสามารถแทรกแซงทะเลแห่งจิตสำนึกของผู้ฟัง ทำให้จิตใจปั่นป่วนและตกอยู่ใต้อาณัติได้อย่างง่ายดาย”นางเปรียบเทียบให้เห็นภาพ“จินตนาการถึงทะเลสาบที่สงบนิ่ง เพลงขลุ่ยของพวกมันก็เปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงไปอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวะ เพื่อสร้างระลอกคลื่นที่จะซัดทำลายเรือทุกลำ... วิธีรับมือมิใช่การหยุดก้อนหิน แต่คือการสร้างระลอกคลื่นของเราเองเข้าไปหักล้างมัน”“แล้วเราจะสร้างระลอกคลื่นนั้นได้อย่างไร” กู้เหยียนหลงถาม “พวกเรามิมีผู้ใดเชี่ยวชาญด้านดนตรีถึงเพียงนั
ณ ลานฝึกยุทธ์ลับของสำนักพันเงาบรรยากาศอบอวลไปด้วยไอสังหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ จอมยุทธ์แห่งสำนักพันเงาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีเพลงยุทธ์เฉพาะตัวที่ร้ายกาจ แต่การต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นไปในลักษณะฉายเดี่ยว ดุจพยัคฆ์ร้ายที่ล่าเหยื่อโดยลำพังกู้เหยียนหลงในฐานะอดีตแม่ทัพใหญ่ กำลังพยายามหลอมรวมคมดาบที่กระจัดกระจายเหล่านี้ให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว“เพลงยุทธ์ของพวกท่านร้ายกาจ แต่ขาดซึ่งการประสานงาน!” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “ในสนามรบที่แท้จริง การรบเพียงลำพังไม่ต่างอะไรกับการหาที่ตาย! พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนทัพ เป็นตาให้สหาย เป็นโล่ให้พวกพ้อง!”ในตอนแรก เหล่าจอมยุทธ์ผู้หยิ่งทระนงในฝีมือของตนต่างแสดงความไม่พอใจ แต่หลังจากที่ได้ประลองและพ่ายแพ้ให้แก่กลยุทธ์ทางการทหารอันเหนือชั้นของกู้เหยียนหลง พวกเขาก็ยอมรับในตัวบุรุษผู้นี้อย่างสุดหัวใจในขณะเดียวกัน ณ ห้องปรุงยาลับของสำนักนายหญิงแห่งเงาได้นำยอดพิษ และสมุนไพรหายากในยุทธภพที่นางรวบรวมไว้มามอบให้ตู้เยี่ยนอวี่ศึกษา ตู้เยี่ยนอวี
ภายในห้องโถงลับของสำนักพันเงา อากาศยังคงอบอวลไปด้วยความเงียบงัน นายหญิงแห่งเงาจ้องมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยสายตาที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทร ยากที่จะหยั่งถึงความคิดของนาง“ข้อเสนอเป็นพันธมิตร ช่างเป็นวาจาที่อาจหาญยิ่งนัก จากดาวที่เคยเจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้าของราชสำนัก แต่บัดนี้กลับร่วงหล่นลงมาสู่ดินโคลนแห่งนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตู้เยี่ยนอวี่มิได้สะทกสะท้าน“ดาวที่ร่วงหล่น หากยังคงมีแสงในตัวเอง ย่อมสามารถกลับไปส่องสว่างบนฟากฟ้าได้อีกครั้งเจ้าค่ะ” นางกล่าวตอบอย่างไม่ลดละ “พวกเรามิได้มาเพื่อขอความเมตตา แต่มาเพื่อเสนอความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”นางได้อธิบายถึงภัยคุกคามทั้งหมดที่แผ่นดินกำลังเผชิญ ทั้งแผนการควบคุมจิตใจขององค์ชายจ้าวเฟิง และความเหี้ยมโหดของพรรคเมฆาโลหิตที่กำลังแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ส่วนกู้เหยียนหลงก็ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยทางการทหาร หากรองแม่ทัพจ้าวคุนสามารถยึดอำนาจในกองทัพได้สำเร็จ ชายแดนของต้าเฉินก็จะเปิดอ้ารอรับการรุกรานจากแคว้นเวยทันทีนายหญิงแห่งเงารับฟังทั้งหมดอย่างตั้งใจ นานแสนนานที่นางนั