“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย”
ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน
“แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง”
เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย
“ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง
ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่องรับออเดอร์ดังขึ้น
“รำช่วยไปรับน้ำให้โปรดหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะคุณโปรด”
เมื่อรำนำลุกไป ดนุภาที่รอจังหวะอยู่ก็เอ่ยขึ้นทันที
“ฉันคุยกับพี่ให้แล้ว เขาจะหาบ้านทางนั้นให้ แต่ค่าใช้จ่ายสูงสักหน่อย” เพื่อนเล่าเรื่องเกี่ยวกับบุคคลอันตรายให้ฟัง เธอจึงเสนอตัวช่วย เพราะมีพี่ที่รู้จักทำงานอยู่ที่ประเทศหนึ่ง หลังช่วยกันเช็กดูแล้วน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัย
“ฉันจะพยายามหาเงินมาให้ได้” ปรีดิทายิ้มกว้างขึ้น อย่างน้อยเธอก็มีหนึ่งลู่ทางแล้ว แต่คงต้องหาสำรองไว้อีกเผื่อมีอะไรผิดพลาด
“ฉันจะช่วยแกเอง”
“ไม่ต้องหรอกหนูดี”
“ไม่ต้องได้ยังไง เราเพื่อนกัน ตอนที่ฉันไม่มี แกก็อยู่ข้างๆ ฉัน ฉันไม่ทิ้งแกหรอกนะ” ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยบ้านของเธอเกิดวิกฤตทางการเงิน จนแทบต้องดรอปเรียน แต่โชคดีที่ปรีดิทายื่นมือเข้ามาช่วยจนผ่านมันมาได้ ในยามเพื่อนมีปัญหาเธอก็พร้อมจะช่วยเหลือ
“ขอบใจนะหนูดี แต่ว่าโปรดคงต้องไปแล้วนะหนูดี” เมื่อรำนำเดินกลับมา ปรีดิทาก็ขยับตัวลุกขึ้น
“ถ้ามีอะไรโทร.หาฉันได้เสมอนะโปรด”
ดนุภานึกเสียดาย ไม่ทันให้หายคิดถึงเลย แต่ก็เข้าใจเพื่อน ก่อนจะยกมือขึ้นร่ำลา ส่วนตัวเธอจะนั่งต่ออีกสักหน่อยเพื่อรอเวลาเข้างาน แต่ก็ไม่ลืมนำหนังสือที่เตรียมมาให้เพื่อนไปด้วย
ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าเดินออกจากร้าน
“รำช่วยถือหนังสือค่ะ” รำนำรับหนังสือมาช่วยถือ ทว่าไม่ทันจะได้เดินห่างจากร้านไปไกล ปรีดิทากลับหยุดก้าวเท้า
“รำอยากซื้ออะไรก่อนกลับไหม โปรดว่าจะไปซื้อขนมที่ตึกตรงนั้น” มือเรียวเล็กชี้นำทางไปยังตึกที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ที่นั่นมีร้านขนมที่เธอชอบกินอยู่
“รำไปเป็นเพื่อนนะคะ” รำนำส่ายหน้าพร้อมขยับตามปรีดิทาไป เดินไปไม่ถึงยี่สิบก้าวก็เข้าใกล้ร้าน ทว่าฝีเท้าของปรีดิทากลับช้าลง สายตามองไปยังแผ่นหลังของคนคนหนึ่งคนที่เธอแค่มองจากด้านหลังก็รู้ว่าคือใคร ปากจึงตั้งคำถามไป
“มาทำอะไรที่นี่คะ”
“ซื้อขนม”
ใครคนนั้นหันมาตอบสั้นๆ ไม่ได้ตกใจสักนิดที่เจอเธอ คิดว่ารำนำหรือไม่ก็สรพัศคงรายงานแล้วว่าเธอจะมาที่นี่
“ค่ะ”
หญิงสาวขานรับคำถามของตัวเอง แล้วเดินไปหยุดยังหน้าร้านเพื่อซื้อขนมที่ชอบบ้าง ไม่ทันจะได้สั่ง แม่ค้าก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ขนมหมดแล้วนะคะ ของผู้ชายคนนั้นเป็นสองกล่องสุดท้ายค่ะ”
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ”
ไม่ต้องหันมองตามปลายนิ้วของแม่ค้าก็รับรู้ได้ว่าคงหมายถึงทิวัตถ์ เธอเห็นอยู่ว่าเขาถือขนมอยู่สองกล่อง กระนั้นไม่วายมองในตู้กระจกอย่างนึกเสียดาย ขนมร้านนี้มักหมดเร็วเสมอ
“งั้นเรากลับกันเถอะรำ” หญิงสาวเอ่ยบอกกับผู้ติดตาม
“ค่ะ”
ปรีดิทาก้าวเดินตรงไปริมฟุตพาท ขณะทิวัตถ์ยังยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะเริ่มออกแรงเดินบ้าง เดินตามหลังรำนำมาอีกที
พอคู่แม่ลูกเข้าไปนั่งในรถ รำนำก็ยื่นบางอย่างให้
“คุณไท่ให้มาค่ะคุณโปรด”
“แล้วเขาล่ะคะ”
ปรีดิทายื่นไปรับขนมมาไว้ในมือ บนดวงหน้าไม่มีรอยยิ้ม เพราะพยายามห้ามความรู้สึก แต่ก็นึกขอบคุณที่เขามีน้ำใจแบ่งปันขนมให้
“ไปแล้วค่ะ”
ก่อนขึ้นรถคนเป็นนายได้ยื่นกล่องขนมมาให้โดยไม่ได้พูดใดๆ เธอเองก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องถาม หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เดินไวๆ หายไปตามเส้นทางของตัวเอง
ในด้านคนที่ถูกเอ่ยถึงเวลานี้ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถแอสตันมาร์ตินเพื่อขับตรงไปยังสถานที่หนึ่งที่เขาได้นัดหมายคนคนหนึ่งไว้
เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ห่างจากร้านขนม
โรงพยาบาลที่เขาคุ้นเคย
คนที่เขานัดหมายมีความเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลนั้น เพราะบิดาของเจ้าตัวเพิ่งได้เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้บริหารงาน จากแรงสนับสนุนของบางคนที่ทำให้มันน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย เมื่อไปถึงก็ตรงดิ่งไปยังมุมสวนหย่อมด้านหลังที่มีการปรับปรุงใหม่ แล้วเห็นคนที่นัดหมายมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“หมอไท่”
“ผมซื้อขนมมาฝากครับ”
“ฝากออมหรือคะ”
ออมสินมองขนมที่ถูกยื่นมาให้ด้วยความประหลาดใจ ก่อนสลับไปมองผู้ชายที่กำลังนั่งลงยังเก้าอี้ตรงข้ามเธอ
“ใช่ครับ” ทิวัตถ์พยักหน้าหนึ่งหน
ออมสินมองอย่างสงสัยยิ่งกว่าเดิม ไม่เข้าใจตั้งแต่อีกฝ่ายนัดหมายให้มาพบกันแล้ว ปากขบเม้มนิดๆ คล้ายๆ มีความกลัวและกังวล แต่ก็พร้อมจะเล่นกับไฟ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” ทิวัตถ์เอ่ยถาม เพราะเห็นสีหน้าของออมสิน สีหน้าที่บ่งบอกว่ามีบางเรื่องที่เขาสมควรรู้
“ก็...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ออมสินคิดหาคำตอบ ก่อนจะปัดมันทิ้งเมื่อไม่ตอบออกไปจะดีกว่า แล้วถามในสิ่งที่ใคร่รู้
“ว่าแต่หมอไท่นัดออมออกมาทำไมหรือคะ”
“ผมอยากเป็นเพื่อนด้วยครับ ก่อนหน้านี้ผมพลาดโอกาสนั้นไป” ทิวัตถ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามสไตล์ แต่สีหน้าอ่อนลง สายตาจับจ้องยังหญิงสาวตรงหน้า
“เป็นเพื่อนกับออมแล้วยัยโปรดไม่ว่าหรือคะ” ออมสินเก็บอาการแทบไม่อยู่ ทั้งตกใจทั้งรู้สึกว่ากำลังจะได้ลงแข่งขันหลังร้างสนามมานาน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องไม่เข้าใจอยู่ดี
“โปรดก็อยู่ในที่ของโปรดครับ ตรงนี้คือที่ของเรา” ทิวัตถ์ตอบเร็วไวราวกับไม่ได้แคร์บุคคลที่สามสักเท่าไร
“แต่ว่าวันนั้น...”
“ก็แค่หน้าตาทางสังคมครับ แต่ไม่นานก็ไม่ต้องรักษาแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
“หยางจิน...พ่อของผมอยากได้ลูกสะใภ้คนใหม่ครับ” ทิวัตถ์ไม่ปิดบัง สายตานิ่งมองปฏิกิริยาของออมสิน
ออมสินไม่ได้ระบายยิ้มในตอนแรก คงเพราะมีชื่อหยางจินอยู่ในวงสนทนา เธอรู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่คนแก่ที่จะรับมือด้วยง่ายๆ แต่มันก็เป็นความท้าทายที่เธอชอบ และไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะปีนขึ้นไปบนแท่นรับรางวัลแทนที่ปรีดิทาพร้อมตั้งตารอที่จะได้เหยียบหัวใจของศัตรูอีกครั้ง
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”