บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน
“ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ”
เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน
“อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา
ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ
“ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง
“ก็มีบ้างค่ะ แต่ไม่นาน สงสัยคงเพราะไม่ชินกับรำกับเนม” รำนำเอ่ยตอบ ในแววตามีความเอ็นดูปราณปรียา จารวีก็ไม่ต่างกัน
“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลแก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
รำนำส่ายหน้า เป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้ว และเธอก็ถูกฝึกมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แม้ตอนแรกๆ จะดูเคอะเขิน ไม่ชินมือ ไม่คุ้นกับความอ่อนโยนสักเท่าไร
“คุณไท่ติดต่อมาบ้างหรือเปล่าจ๊ะ” ปรีดิทาหันไปเอ่ยกับจารวีบ้าง เขาหายไปอีกแล้ว หัวใจคิดกังวลในเรื่องที่นครินทร์เอ่ยบอก รวมถึงเธอก็มีหนึ่งเรื่องที่อยากรู้
“ไม่เลยค่ะ คุณโปรดมีอะไรหรือเปล่าคะ” จารวีส่ายหน้า เจ้านายของเธอมักเงียบหายไปเป็นประจำ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่งอกงามหยุดการเจริญเติบโตและค่อยๆ เหี่ยวเฉาร้าวฉาน
“โปรดมีเรื่องจะถามเขาน่ะค่ะ” เธอบอกไปตามความจริง ไม่ทันที่ทั้งสามจะได้เอ่ยคำถามกันต่อ เสียงรถยนต์ก็แล่นเข้ามา
เสียงนั้นดูแข็ง มีความเร็ว ฟังดูต่างจากรถของทิวัตถ์อยู่ไม่น้อย จึงเป็นสาเหตุให้ปรีดิทาเอ่ยอย่างสงสัย
“รถใครมากัน”
“เดี๋ยวเนมไปดูเองค่ะ”
จารวีทำตามหน้าที่ สองเท้าก้าวไปด้านหน้าบ้าน ส่วนรำนำยังยืนอยู่ข้างๆ ปรีดิทา
“คุณไป๋ พี่ชายคุณไท่มาค่ะ”
จารวีมีสีหน้าตื่นๆ หวั่นๆ เพราะรู้ว่าแขกผู้มาใหม่รับมือได้ยากยิ่ง ยิ่งกว่าเจ้านายของเธอ เธอเคยเห็นพี่ชายของเจ้านายแค่ครั้งสองครั้งในโทรทัศน์ตอนที่เจ้าตัวออกงานสังคม กระนั้นก็พอรู้มาบ้างว่าหยางไป๋ หรือว่าปุริมฉัตรน่ากลัวเท่าใดป้ามะลิวัลย์คนเก่าคนแก่ของบ้านเคยเล่าให้ฟังว่า อีกฝ่ายฉลาด นิ่ง เงียบ และดุดัน สายตาคู่นั้นก็เป็นเสมือนดาบที่คมกริบเอาไว้เชือดเฉือนคนถูกมอง และตั้งแต่เธอทำงานที่บ้านนี้มาจำได้ว่าไม่เคยเห็นฝ่ายนั้นมาที่นี่เลย ฝ่ายปรีดิทายังอุ้มลูกไว้ในอ้อมกอด แค่ปลายเท้าของแขกผู้มาใหม่หยุดอยู่ห่างไปก็เอ่ยบอกทันที
“คุณไท่ไม่อยู่ค่ะ”
ตั้งแต่ทำความรู้จักกระทั่งแต่งงานกับทิวัตถ์ เธอไม่เคยเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แค่รู้มาบ้างว่าเขามีพี่ชาย ซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นกับลลิษาและจำได้ว่าเขาคนนี้แยกตัวออกจากหยางจินกรุ๊ปและย้ายไปอยู่ต่างประเทศได้เกือบๆ สองปีแล้ว
“แล้วมันหายไปไหน” ปุริมฉัตรเอ่ยถาม ขณะปรีดิทาส่ายหน้า
“โปรดไม่ทราบค่ะ”
“แล้วยัยเด็กตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง” ปุริมฉัตรดึงตาไปมองเด็กในวงแขนของปรีดิทา ดวงตามองพินิจใบหน้าของแม่และลูกที่เขาเพิ่งเคยพบหน้าตัวเป็นๆ
“หนูปราณไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วยตรงไหนค่ะ มีแค่งอแงบ้างเท่านั้น” คุณหมออธิบาย อะไรที่บอกได้เธอก็บอก หัวใจแอบกลัว ไม่รู้อีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม แล้วได้ฟังประโยคที่แค่ขานรับสั้นๆ กลับไป
“เหมือนพ่อมันตอนเด็ก”
“ค่ะ”
ปุริมฉัตรจำได้ว่าทิวัตถ์เกิดหลังเขาหกปี ตอนแรกเกิดฝ่ายนั้นก็มีอาการโยเยอยู่ไม่น้อย
“เข้าเรื่องเลยละกัน”
ปุริมฉัตรเอียงใบหน้าเล็กน้อย แล้วยื่นของที่อยู่ในมือให้หญิงสาวตรงหน้า
“ฉันแวะเอาการ์ดแต่งงานมาให้ ฝากให้ไอ้ไท่หน่อย”
ปฏิกิริยาของปรีดิทานิ่งเฉย ไม่ยอมยื่นมือไปรับการ์ดสีอ่อนที่ถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย จนแทบไม่มีอะไรเลยคล้ายไม่ได้ถูกใส่ใจสักเท่าไร เธอไม่อยากยุ่งหรือถูกดึงเข้าไประหว่างความสัมพันธ์น่าปวดใจ แค่ของตัวเองก็หาทางแก้ได้ยากแล้ว
ปุริมฉัตรเริ่มขยับฝีเท้าเมื่อคนที่ต้องการให้รับสารนิ่งเฉย ท่าทางนั้นมีความดุขึ้น ขณะปรีดิทาก้าวเท้าถอยหลัง แต่ด้วยความที่ลูกอยู่ในอ้อมกอดจึงต้องระมัดระวัง ไม่ทันได้ห่างออกไป ชายตรงหน้าก็ใกล้เข้ามา แต่ไม่ทันได้ถึงตัว คนคนหนึ่งก็กระโจนเข้ามาขวางไว้ด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“คุณไป๋คะ ช่วยถอยห่างจากคุณโปรดด้วยค่ะ”
แถมยังแสดงท่าทีปกป้อง น้ำเสียงไม่มีความหวั่นกลัว วินาทีนั้นปุริมฉัตรจึงหยุดการเคลื่อนไหว สายตาดุๆ มองพิจารณาคนขัดขวางด้วยท่าทางนิ่งเงียบ ครุ่นคิดและสงสัย ไม่นานก็ปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยเช่นเดิมพร้อมยื่นของในมือไปให้ปรีดิทา
“รับไว้เถอะ เธอคงไม่อยากให้ฉันมาที่นี่บ่อยๆ” คนหน้านิ่งที่มีเค้าความร้ายอย่างไม่ปิดบังหวังว่าปรีดิทาจะเข้าใจ เมื่อมือเล็กยื่นมารับของไปสองเท้าก็ถอยหลังเดินหายออกจากบ้านของอดีตน้องชาย
เมื่อก้าวขึ้นไปอยู่บนรถแล้วก็ออกคำสั่งเสียงเฉียบ
“ฉันอยากได้ประวัติผู้หญิงที่อยู่ในบ้านของไอ้ไท่ ที่ไม่ใช่หมอโปรดกับเนม แต่ว่าเอามาทุกคนเลยก็ได้ และตามดูลลิษกับไอ้ไท่ไว้ด้วยว่าสองคนนั้นเงียบหายไปไหน กำลังทำอะไรอยู่หรือเปล่า อ้อ...ที่สำคัญฉันอยากรู้ว่าทำไมไอ้ไท่ถึงยอมจะขึ้นเป็นใหญ่ให้หยางจิน”
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”