เย็นวันนั้น เหวิ่นลี่หยาตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตรงไปยังตำหนักขององค์ชาย หลี่หยวนเจ๋อ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในใจนางหวังเพียงว่า การแสดงออกถึงความใส่ใจและความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม จะทำให้พระองค์เห็นว่านางเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคู่หมั้นอย่างที่องค์ชายเคยหลุดปากอยากเปลี่ยนคู่หมั้นออกมาตอนคุยกัน และเหมาะสมเพียงใดสำหรับตำแหน่งพระชายา
เมื่อไปถึงเพียงแต่นางก้าวถึงหน้าประตูตำหนัก เสียงสนทนาภายในขององค์ชายกับท่านกงกงผู้รับใช้ใกล้ชิด ก็สะกิดให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสะท้าน นางหยุดยืนฟังอย่างเงียบเชียบที่หน้าประตูโดยไม่ให้ใครรู้ตัว
“องค์ชาย ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูเหวิ่นจือหยูที่ได้รับฟังมา” เสียงของ กงกง ผู้รับใช้ใกล้ชิดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก” หลี่หยวนเจ๋อตอบเสียงเบาที่ฟังดูครุ่นคิด
“นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากอุบัติเหตุ ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด แต่ข้ารู้สึกว่าเหวิ่นจือหยูในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างสิ้นเชิง นางสงบและอ่อนโยนขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้นาง”
คำว่า “สบายใจ” คำนี้ทำให้หัวใจของเหวิ่นลี่หยาสั่นไหว มันตอกย้ำความเจ็บปวดในหัวใจของเหวิ่นลี่หยา นางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ความอิจฉาที่มีต่อเหวิ่นจือหยูมากขึ้นพุ่งทะลักในอก และความน้อยใจองค์ชายชื่นชมเหวิ่นจือหยู
“แต่กระนั้น ข้าก็ยังต้องการเวลาเพื่อให้แน่ใจว่านางเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่เพื่อการเสแสร้ง” องค์ชายพูดต่อ
“ข้าไม่อาจลืมสิ่งที่นางเคยทำในอดีตได้ง่ายๆ ข้าต้องคอยดูไปก่อนว่าจะเป็นเช่นไร”
คำพูดนั้นขององค์ชายช่างเป็นเหมือนดาบสองคม มันทั้งบรรเทาและย้ำความหวังของเหวิ่นลี่หยาในคราวเดียวกัน แม้พระองค์จะยังไม่วางใจในตัวของเหวิ่นจือหยูทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระองค์เริ่มรู้สึกดีกับการเปลี่ยนแปลงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนี้ หากเหวิ่นจือหยูกลับมาเป็นที่รักของทุกคน ข้าจะไม่มีวันได้ตำแหน่งพระชายาที่ข้าต้องการเป็นแน่”
เหวิ่นลี่หยาคิดในใจ นางมองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของเหวิ่นจือหยูเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความฝันที่นางเฝ้าถนอมมาตลอด หากปล่อยให้เหวิ่นจือหยูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นางจะสูญเสียทุกสิ่งที่นางทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาแน่ นางไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น นางจะไม่ยอมสูญเสียองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อไปอย่างแน่นอน นางจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
คืนนั้นเหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ในห้องของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด นางจ้องมองกระจกตรงหน้า มองเห็นเงาสะท้อนของหญิงสาวที่ภายนอกดูสง่างามและสมบูรณ์แบบ แต่ภายในกลับเดือดดาลและอิจฉา
“ข้าจะไม่ยอมให้เหวิ่นจือหยูมาช่วงชิงสิ่งที่ควรเป็นของข้าไป” นางพึมพำกับตัวเอง เสียงนั้นทั้งเย็นเยียบและแน่วแน่
“ข้าต้องหาทางกำจัดเหวิ่นจือหยูให้สิ้นชื่อให้ได้”
วันต่อมาเหวิ่นลี่หยาเดินตรงไปยังห้องของเหวิ่นจือหยูด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า นางส่งสายตาและคำพูดหวานๆ ให้คนรับใช้หน้าห้องเหมือนที่เคยทำมาตลอด ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
เมื่อประตูเปิด นางพบเหวิ่นจือหยูหรือ วาดรวี ในร่างของเหวิ่นจือหยู กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายใน วาดรวีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้
“พี่จือหยู ข้ามาเยี่ยมท่าน” เหวิ่นลี่หยาตอบเสียงอ่อนหวาน ขณะเดินเข้ามานั่งข้างพี่สาว
วาดรวีรู้สึกได้ถึงความเสแสร้ง ไม่จริงใจ แม้เหวิ่นลี่หยาจะยิ้ม แต่สายตาของนางมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน มันช่างไม่เหมือนกับถ้อยคำหวานนั้นเลย ภายใต้รอยยิ้มวาดรวีรู้สึกถึงความอิจฉาริษยาและบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนอยู่
“ลี่หยา เจ้ามาหาข้า มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่าลี่หยา” วาดรวีถามกลับ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางวางหนังสือลง นางไม่แน่ใจว่าควรจะรับมือกับเหวิ่นลี่หยาอย่างไร น้องสาวของนางนั้นเป็นคนที่ใครๆ ก็รักและชื่นชม เพราะในสายตาของคนอื่นเหวิ่นลี่หยาเป็นกุลสตรีสมบูรณ์แบบ ทั้งนิสัยอ่อนหวานและกริยามารยาทที่ไร้ที่ติ แต่วาดรวีรู้ดีว่าภายใต้ท่าทางนั้น มีความทะเยอทะยาน อิจฉาริษยาซ่อนอยู่
เหวิ่นลี่หยามองพี่สาวอย่างนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างพี่สาว ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะชื่นชม “พี่จือหยู ตั้งแต่หลังอุบัติเหตุ ข้ารู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไปมาก ทุกคนต่างพูดถึงท่านในทางที่ดีขึ้น ท่านกลายเป็นคนสงบและอ่อนโยนขึ้นจริงๆ”
วาดรวียิ้มบางๆ “ข้าเองก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ข้าอยากทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้มีความสุข ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ใจอีก”
คำพูดนี้ทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกเหมือนโดนแทงเข้ากลางใจ เพราะมันหมายความว่าพี่สาวกำลังจะกลายเป็นคนที่ชนะใจคนรอบข้าง รวมถึงองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อด้วยนางกำมือแน่น พลางพยายามควบคุมสีหน้าตัวเองนางรู้ดีว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
“แต่ พี่จือหยู” เหวิ่นลี่หยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูดกับท่าน แต่ข้าไม่แน่ใจว่าควรจะบอกดีหรือไม่”
“เจ้าพูดมาเถอะ น้องข้า” วาดรวีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกลับไป พูดมาซะขนาดนี้ ก็บอกออกมาเถอะ ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ แม่คุณ วาดรวีนึกในใจ
เหวิ่นลี่หยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำท่าทางเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะบอกดีหรือไม่
“เอ่อ องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ ท่านพี่คิดว่าพระองค์รู้สึกอย่างไรต่อพี่จือหยู” นางถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวังดี
เหวิ่นจือหยูเงียบไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกถึงความอึดอัดใจเล็กน้อย “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ข้ากำลังพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
เหวิ่นลี่หยายิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ข้าคิดว่าท่านพี่ควรจะเผื่อใจไว้ พระองค์อาจจะไม่ได้รู้สึกดีกับท่านเหมือนที่ท่านคิด ข้าเพิ่งได้ยินมาว่า พระองค์อาจจะกำลังพิจารณาเรื่องยกเลิกการหมั้น”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของวาดรวีสะท้าน นางพยายามเก็บอาการแต่ไม่อาจห้ามได้เสียทีเดียว ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่คำพูดนี้ก็สะกิดใจวาดรวีขึ้นมาได้ เเม้รู้ดีว่าอดีตเหว่นจือหยูทำตัวไม่ดีนักในอดีต เเละยังได้ยินว่าเขาอยากจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นเป็นเหวิ่นลี่หยาผู้เป็นน้องสาวอยู่ก็อดที่จะปวดใจไม่ได้
“เจ้าได้ยินมาจากไหนกัน”
เหวิ่นลี่หยาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของพี่สาว นางจึงพูดต่อไปด้วยเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่ “ข้าไม่อยากให้พี่จือหยูเสียใจ ข้าคิดว่าท่านควรเตรียมใจไว้บ้าง หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น”
วาดรวีนิ่งเงียบ รู้ดีว่าคำพูดของลี่หยานั้นไม่ได้มาจากความหวังดีจริงๆ แต่เป็นการแสร้งทำเพื่อหวังสร้างความหวั่นไหวให้แก่ตน
“ข้ากลัวว่าหากท่านไม่รีบทำอะไร พระองค์อาจตัดสินใจในทางที่เราไม่อยากให้เป็น แล้วทีนี้ตระกูลเหวิ่นของเราจะเสียชื่อเสียงเอาได้ โดยเฉพาะท่านพ่อและฮูหยิน”
เหวิ่นลี่หยารู้ว่าการจุดชนวนอารมณ์ในตัวพี่สาวเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำลายความเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะทำให้เหวิ่นจือหยูได้รับความสนใจจากองค์ชายและคนรอบข้างมากขึ้น นางยิ้มเบาๆ ขณะที่สายตาของนางเริ่มเปล่งประกายเล็กน้อยด้วยความเจ้าเล่ห์
“พี่จือหยู ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกกับท่าน” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่
“ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้”
วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา”