“พี่จือหยู ข้าขอสารภาพบางอย่างกับท่าน...” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่มีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน บางคนก็ไม่อาจลบความรู้สึกไม่ชอบในอดีตไปได้”
วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูนั้นชะงักเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ลี่หยา”
เหวิ่นลี่หยาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะขยับเข้าใกล้พี่สาว “องค์ชายหลี่หยวนเจ๋ออย่างไรล่ะ ข้าไม่อยากบอกท่านหรอกนะ แต่ข้าเคยได้ยินองค์ชายพูดกับท่านกงกงหลี่ซือ ท่านอยากฟังไหมว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร”
วาดรวีขมวดคิ้วแน่น นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดนี้ แต่ไม่อาจหักห้ามความอยากรู้ได้
“เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่ บอกมาให้ชัด”
“พระองค์ตรัสว่า แม้ท่านจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ไหน พระองค์ยังคงไม่ชอบท่าน และยังมองว่าท่านเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม”
วาดรวีรู้สึกว่าคำพูดนั้นทำให้หัวใจนางกระตุกขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นคนที่มั่นคงและใจเย็นกว่าเหวิ่นจือหยูเดิม แม้จะรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยามีเจตนาแฝง แต่มันก็ทำให้หัวใจนางสั่นไหว และนี่เป็นเรื่องที่กระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลและการเอาชนะสองแม่ลูกที่อยากจะเข้ามาเป็นคู่หมั้นแทนเธอเสียเหลือเกิน
“ข้าไม่เชื่อ ข้ากำลังทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น และข้าเชื่อว่าวันหนึ่งพระองค์จะมองเห็น” วาดรวีพยายามตอบโต้ด้วยน้ำเสียงมั่นคง แต่เสียงของนางเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย เมื่อมีความไม่แน่นอนปะปนอยู่เล็กน้อย
เหวิ่นลี่หยาจับจุดอ่อนนั้นได้ทันที นางยิ้มเย็นอย่างมีชัยที่คำพูดของนางเริ่มได้ผล นางเอนตัวเข้ามาใกล้พี่สาวมากขึ้น
“หากท่านยังไม่เชื่อ ท่านลองคิดดู ว่าทำไมพระองค์ถึงไม่มาหาท่านในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์หลีกเลี่ยงท่านทุกครั้ง ข้าคิดว่าพระองค์คงอยากจะแจ้งข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นหรือเปลี่ยนตัวคู่หมั้น แต่คงรอจังหวะที่เหมาะสม ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
คำพูดนั้นแทงลึกเข้าไปในใจของวาดรวี นางพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มันยากที่จะละเลยไม่ฟังในสิ่งที่เหวิ่นลี่หยาพูด แต่คำพูดเยาะเย้ยเหล่านั้นเหมือนแรงกดดันที่ค่อยๆ บีบหัวใจ นางรู้สึกโกรธและสับสนภายใน ใจของวาดรวีที่อยู่ในร่างนี้เริ่มร้อนรน
“เจ้าพูดเพื่ออะไร” วาดรวีถามหรือเหวิ่นจือหยูถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงดังขึ้น
“เจ้าต้องการให้ข้าสูญเสียความมั่นใจหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังอะไรอยู่ เจ้าเองก็อยากได้องค์ชายใช่ไหมล่ะลี่หยา”
เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่ ข้าอยากได้องค์ชาย แต่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสกปรกเช่นที่ท่านเคยทำ ข้าเพียงแค่รอให้พระองค์เห็นเองว่า ข้าเป็นคนที่ดีกว่าเหมาะสมกว่า ท่านก็รู้ว่าพระองค์เองก็เริ่มเห็นเช่นนั้นแล้ว”
วาดรวีรู้สึกได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านในใจ นางพยายามสงบตัวเอง แต่การถูกยั่วยุและท่าทีเย้ยหยันอย่างน่าหมั่นไส้ที่เหวิ่นลี่หยาพยายามทำ มันกำลังทำให้สติความยับยั้งชั่งใจของวาดรวีเริ่มหลุดออกไปทีละนิด นางเผลอพูดออกมาโดยไม่ทันคิด
“เจ้ามันก็แค่คนเจ้าเล่ห์ลี่หยา เจ้าคิดว่าทุกคนจะเชื่อถือเจ้าหรือ ข้าเปลี่ยนแปลงแล้ว และและข้าจะไม่ยอมให้เจ้ากับมารดาของเจ้าได้ในสิ่งที่พวกเจ้าหวังไปง่ายๆหรอกนะ” เสียงของนางดังขึ้นจนแทบจะกลายเป็นตะโกน
เหวิ่นลี่หยายิ้มเย็น “ดูสิ นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของท่าน ”
เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะยิ่งกว่าเดิม “พี่จือหยู ข้าแค่ต้องการให้ท่านรู้ความจริงเท่านั้นเอง ถ้าท่านจะโกรธ ก็แสดงว่าท่านท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างที่ท่านกล่าวอ้าง ท่านก็ยังเป็นเหวิ่นจือหยูคนเดิม คนที่ข้ารู้จัก ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ”
คำพูดสุดท้ายนั้นเหมือนดั่งน้ำมันที่ราดลงไปในไฟที่กำลังลุกไหม้ วาดรวีรู้สึกได้ว่าร่างกายของเหวิ่นจือหยูที่ตัวเองเป็นอยู่สั่นสะท้านด้วยความโกรธที่นางพยายามจะควบคุมมาตลอด
เมื่อความโกรธที่ก่อตัวถึงขีดสุด นางเผลอลืมตัวและแสดงท่าทางไม่เหมาะสมออกมาอย่างที่วาดรวีพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด นางลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียว กำหมัดแน่น
“เจ้ามันน้องสาวขี้อิจฉา” เหวิ่นจือหยูตะโกนด้วยเสียงที่ดังลั่น
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ทุกอย่างที่เจ้าอยากได้ไปง่ายๆหรอกนะ”
เหวิ่นลี่หยายิ้มเยาะ “ดูสิ นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของท่าน อย่าลืมสิว่าท่านกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ดูเหมือนมันไม่สำเร็จเลยนะ”
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกงกงหลี่ซือที่เดินตามหลังมา พระองค์ทอดพระเนตรฉากทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของพระองค์เยียบเย็นจนทั้งสองพี่น้องชะงักไปทันที
องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขมวดคิ้ว มองเหวิ่นจือหยูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง นางยังไม่เปลี่ยนจริงๆอย่างที่พระองค์คาดคิดไว้ พระองค์ก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ แต่หนักแน่นพอที่จะดึงความสนใจของทั้งสองพี่น้องให้หันมามอง
“อะ องค์ชาย” วาดรวีพยายามหาคำพูดแต่ลิ้นของนางหนักอึ้ง องค์ชายจ้องมองว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาที่เย็นชาและรู้สึกผิดหวังจนทำให้วาดรวีรู้สึกเหมือนถูกมองอย่างตัดสินไปแล้วว่าเป็นคนผิด
เหวิ่นลี่หยาทำท่าทางตกใจนางเอามือทาบอกก่อนที่จะเอ่ยอุทานออกมา
“องค์ชาย ท่านคงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว หม่อมฉันไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ หม่อมฉันพยายามจะพูดกับพี่จือหยูดีๆ แต่” นางทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ความอ่อนหวานในท่าทางของนางทำให้ทุกคนที่มองคิดว่าเหวิ่นลี่หยาเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้
คำพูดของนางทำให้หลี่หยวนเจ๋อหันมามองครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ร่างสูงสง่าก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่หันกลับมาที่เหวิ่นจือหยูที่ยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น
“เหวิ่นจือหยู เจ้าไม่คิดจะอธิบายอะไรหน่อยหรือ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง
วาดรวีในร่างของเหวิ่นจือหยูพยายามจะพูด แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับไร้พลัง “องค์ชาย หม่อมฉัน หม่อมฉันขออภัย”
องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าได้ยินว่าเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้ากำลังจะเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเขาพูดกันและคิดว่าเจ้ากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาด”
หลี่หยวนเจ๋อส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพยายาม แต่วันนี้ข้าเห็นชัดแล้วว่าเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เจ้าก็ยังเป็นคนที่ข้ารู้จักในอดีต คนที่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ และไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่สามารถควบคุมตัวเองได้"
คำพูดของพระองค์เหมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าหัวใจของเหวิ่นจือหยู นางรู้ดีว่าตนเองผิด และแม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ยังไม่พอในสายตาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อที่ไม่เคยมองเหวิ่นจือหยูในด้านดีเลย ความรักเกียรติของตัวเองถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาสู้ทันที
“ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ก็เชิญท่านไปทูลฮ่องเต้เพื่อขอเปลี่ยนตัวคู่หมั้นอย่างที่ท่านกับเหวิ่นลี่หยาได้ตกลงกันไว้เถิด หวังว่าฮ่องเต้จะทรงโปรดคุณหนูที่เกิดจากลูกของอนุภรรยาที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจของท่านพ่อของหม่อมฉัน และอีกอย่างนะตอนนี้หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากที่จะเป็นคู่หมั้นของท่านแล้ว เพราะตอนนี้หูตาของหม่อมฉันสว่างแล้วไม่ได้มืดบอดมัวลุ่มหลงท่านเหมือนเดิม เชิญท่านกับเหวิ่นลี่หยาไปสุขสมกันอย่างที่ต้องการเถิด” วาดรวีร่ายยาว เสียงของนางสั่นเทาด้วยอารมณ์ที่ปะทุออกมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นี่คือการตอบโต้ครั้งสุดท้ายของวาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยู