“อื้อ มิลคะ เมเม่ไม่ไหวแล้ว อ้า!” เสียงครวญครางอย่างเร่าร้อนเล็ดลอดผ่านซอกประตูที่ปิดไม่สนิทจนดังระงมไปทั่วบริเวณชั้นสองของบ้าน ทำให้หญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำตัวยาวที่เพิ่งเปิดประตูก้าวออกมาจากห้องนอนของตัวเองถึงกับชะงักแล้วหันไปมองยังห้องฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นที่มาของเสียงนั้น
ในตอนแรกหญิงสาวคิดว่าควรจะเดินไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านหลังนี้ว่าผู้อาศัยอย่างเธอกำลังจะออกไปงานปาร์ตี้กับเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าหากเข้าไปตอนนี้จะเป็นการรบกวนกิจกรรมเข้าจังหวะของคนทั้งสองเสียมากกว่า เธอจึงรีบเดินลงบันไดแล้วพาตัวเองออกมายืนบริเวณหน้าบ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ
วันวิวาห์หรือวีว่า หญิงสาววัยยี่สิบสองปีดีกรีนักเรียนนอก เพิ่งกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดได้ไม่ถึงสิบวัน หลังจากต้องไปใช้ชีวิตอยู่แคนาดากว่าสี่ปี
ย้อนกลับไปเมื่อตอนยังเด็ก วันวิวาห์เติบโตมาในครอบครัวรวมถึงสภาพแวดล้อมที่สุดแสนจะเป็นพิษ ครั้นจำความได้ เธอก็เห็นภาพบิดาพาผู้หญิงเข้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน หากครั้งไหนมารดาทนไม่ไหวก็มักจะเกิดการถกเถียงจนนำไปสู่การทะเลาะวิวาท และจบลงที่การทำร้ายร่างกาย
หลังจากมารดาเสียชีวิตเพราะโรคร้าย บิดาของเธอก็แต่งงานใหม่ทันที และเมื่อเจ็ดปีก่อนเขาก็เสียชีวิตลงเช่นเดียวกันทำให้เธอต้องอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงซึ่งชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจ กระทั่งวันที่แม่เลี้ยงหมดเนื้อหมดตัวก็เป็นวันเดียวกันกับที่วันวิวาห์ถูกขายให้เจ้าของบ่อน
สาวน้อยวัยสิบห้าผู้ไร้ซึ่งที่พึ่งทางกายและทางใจพยายามหนีเอาตัวรอดจากคนพวกนั้น ขณะเดียวกันเธอตัดสินใจวิ่งปาดหน้ารถคันหนึ่งเพื่อร้องขอความช่วยเหลือและวันนั้นเองที่ทำให้เธอได้เจอกันกับเขา รามิล...ผู้ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
กลับมายังปัจจุบัน วันวิวาห์นั่งประจำตำแหน่งคนขับภายในรถพอร์ชคันสีเหลืองสดใสซึ่งได้รับมาเป็นของขวัญวันเรียนจบจากรามิล สายตาของเธอหยุดมองไปยังระเบียงห้องที่มีแสงไฟสลัวสาดส่องอยู่เป็นเวลาหลายนาทีพร้อมริมฝีปากกระจับก็ค่อยๆ เม้มเข้าหากัน
เท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงกว่าสี่นิ้วเผลอเหยียบคันเร่งอย่างลืมตัวเพราะมัวตกอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่ด้วยสัญชาตญาณอันน้อยนิดในการขับรถแค่ไม่กี่ครั้งทำให้เธอต้องรีบเหยียบเบรก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันกาลเสียแล้วเพราะกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ข้างหน้ากลับแหลกละเอียดด้วยฝีมือของเธอ ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้เดินลงไปดูผลงานของตัวเอง แต่เลือกที่จะขับรถออกไปจากบริเวณบ้าน
วันวิวาห์ไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าของห้องที่เธอมัวแต่มองจนไม่มีสติ เดินออกมาตรงระเบียงโดยมีผ้าขนหนูพันสะโพกไว้อย่างหมิ่นเหม่ นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นมองไปยังรถพอร์ชที่พุ่งตัวด้วยความเร็วสลับกับกระถางต้นไม้ที่แทบจะแหลกละเอียดด้วยแววตาสงบนิ่งไม่ต่างจากคลื่นทะเลก่อนมีลมพายุ ชายหนุ่มจุดบุหรี่ที่ถือติดมาด้วยแล้วอัดสารนิโคตินเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า
หญิงสาวใช้เวลาขับรถค่อนข้างนานกว่าปกติก็มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน นาฬิกาหน้ารถบ่งบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง และงานเริ่มไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน วันวิวาห์ไม่รอช้ารีบลงจากรถแล้วเดินเข้าลิฟต์กระจกเพื่อขึ้นไปยังชั้นสามสิบทันที
งานในวันนี้เป็นการพบปะสังสรรค์เหล่าทายาทตระกูลดังและผู้มีหน้ามีตาทางสังคมเสียส่วนใหญ่ วันวิวาห์ไม่ได้ถูกรับเชิญโดยตรงจากเจ้าของงาน แต่คนที่ชวนเธอมาคืออังเคล เพื่อนชายคนสนิทเพียงคนเดียวตอนเรียนอยู่แคนาดาด้วยกัน และเขาเป็นน้องชายของเจ้าของงานนี้
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกเสียงเพลงก็ดังเข้ามายังโสตประสาท สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังวันวิวาห์อย่างให้ความสนใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มดูน่ารัก ทว่าผมบ๊อบสั้นสีบลอนด์และการแต่งกายสุดแสนจะเซ็กซี่กลับทำให้บุคลิกหวานผสานความเปรี้ยวยิ่งมีเสน่ห์น่าค้นหา
“Hey! วีว่า” เสียงที่สุดแสนจะคุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวเท้าออกจากลิฟต์
อังเคล ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาโบกมือทักทายแล้วรีบเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า ก่อนจะใช้แก้มแตะสัมผัสกันเบาๆ ตามธรรมเนียมตะวันตก
“ยูแต่งตัวได้แบบ..." ทันทีที่ทักทายเสร็จ เขามองใบหน้าของเพื่อนสาวคนสนิทพร้อมส่ายหน้าอย่างไม่จริงจังนัก ถึงแม้รู้ดีว่าหญิงสาวชื่นชอบการแต่งตัวและปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจ แต่ครั้งนี้มันทำให้เขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“ทำไม? วันนี้ไอไม่สวยเหรอ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วหมุนตัวโชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่า ขาวผ่องเป็นยองใยให้อีกฝ่ายดูว่าชุดนี้มันไม่ได้คว้านลึกแค่ด้านหน้า
“ดูสายตาพวกหนุ่มๆ ที่มองยูแทนคำตอบแล้วกัน แต่ที่ไอแปลกใจคือ ชุดนี้รอดพ้นสายตาแดดดี้ของยูมาได้ยังไง” คนที่อังเคลหมายถึงก็คือรามิลนั่นเอง
“เขาไม่มาสนใจไอหรอก ตอนนี้คงกำลังขึ้นสวรรค์กับผู้หญิงคนนั้นรอบที่สิบแล้วมั้ง” สีหน้าของเธอจากที่สดใสกลับเปลี่ยนเป็นหม่นหมองในชั่วพริบตา
“ยูโอเคหรือเปล่า” คำถามของอังเคลทำให้ดวงตากลมโตเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส หนุ่มลูกครึ่งเห็นอย่างนั้นก็รีบหยิบแก้วแชมเปญจากพนักงานเสิร์ฟส่งให้เธอ ตามด้วยของตัวเอง
“Cheers!”
วันวิวาห์กะพริบตาถี่แล้วไล่ความรู้สึกก่อนหน้านี้ให้ออกไป ยกแก้วขึ้นดื่มด้วยความกระหายจนไม่เหลือแม้เพียงหยดเดียว ต่อด้วยแก้วที่สองและสามตามมา
“ไปแดนซ์กัน” หญิงสาวลากแขนอังเคลให้ตามเธอไปยังกลุ่มคนที่กำลังสนุกสนานกันอยู่บริเวณหน้าเวที เกือบชั่วโมงที่เธอปลดปล่อยตัวเองอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้ ครู่ต่อมาวันวิวาห์จึงเดินออกมาเพื่อไปห้องน้ำ แต่กลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามมาด้วย
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นแล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
"..."
“คุณเป็นคนมีเสน่ห์มากจนผมอยากทำความรู้จัก” ชายคนนั้นเอ่ยออกมา แต่วันวิวาห์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง
'เขาไม่ได้อยากรู้ชื่อแซ่อะไรหรอก แต่เป็นร่างกายของเธอต่างหากที่เขาต้องการ' เธอรู้ดี
“ฉันได้ยินคำนี้จนเบื่อแล้วละคะ” เอ่ยพร้อมขยิบตาข้างหนึ่งให้อีกฝ่ายจนดูน่าหมั่นไส้
“แสดงว่าต้องต่อคิวสินะครับ” แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามไม่ใส่ใจกับกิริยาของเธอ
“เอ...ก็คงต้องอย่างนั้นค่ะ”
“แล้วถ้าอยากลัดคิวนี่ ต้อง Dior,Chanel หรือ Hermes ครับ...”
“ปกติจีบผู้หญิงด้วยวิธีนี้เหรอคะ” ถึงแม้ริมฝีปากกระจับจะฉีกยิ้มกว้าง แต่ดวงตากลมโตไม่ได้ฉายแววของรอยยิ้มนั้นแม้แต่น้อย
“ที่ผ่านมาก็ได้ผลนะครับ” เขาพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“พอดีฉันไม่ชอบของแบรนด์เนมค่ะ”
“แล้วถ้าคอนโดหรูสักห้องล่ะครับ พอจะทำให้คุณสนใจได้มั้ย” เขายังคงยื่นข้อเสนอให้เธออย่างไม่ยอมแพ้
“คุณรู้จัก A.W.Hotel ใช่มั้ยคะ รับรองว่าคนระดับคุณต้องรู้จัก” วันวิวาห์ที่สวมหน้ากากแสร้งส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอยู่หลายนาที เริ่มเปลี่ยนสีหน้ามาจริงจังเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ครับ? หรือคุณอยากไปพักที่นั่น...” เขาถามด้วยความแปลกใจ โรงแรมแห่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดจะไปพักก็คือที่นั่น เพราะใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวจะเข้าได้ ต้องมีความอดทนในการรอด้วย เพราะผู้ที่ต้องการเข้าพักต้องจองล่วงหน้าไม่ต่ำกว่าสามเดือน
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่จะถามว่า คุณมีทรัพย์สินถึงครึ่งของเจ้าของที่นั่นมั้ยคะ”
“ถึงจะมีไม่เท่า แต่ผม...”
“งั้นฉันไม่สนใจค่ะ”
“ที่แท้ก็ใฝ่สูงกว่าที่คิดนะครับ” ครั้นถูกอีกฝ่ายดูถูก น้ำเสียงและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
"ถึงยังไง คนรวยอย่างพวกคุณก็เห็นผู้หญิงเป็นเพียงแค่ของเล่นไม่ใช่เหรอคะ”
"..."
"และถ้าฉันต้องไปเป็นของเล่นของใครสักคน ผู้ชายคนนั้นต้องเป็น รามิล เจ้าของ A.W.Hotel เท่านั้นค่ะ!" วันวิวาห์พูดจบก็ระบายรอยยิ้มหวานเป็นการทิ้งท้ายแล้วกระแทกไหล่ผู้ชายคนนั้นด้วยความโมโห ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับหวนคิดถึงเจ้าของชื่อที่อยู่ในบทสนทนา
'บ่อยครั้งที่เธอแอบอิจฉาผู้หญิงพวกนั้น ที่อย่างน้อยก็ได้อยู่ข้างกายเขา...'
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน