แชร์

โปเย โปโลเย

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-05 15:19:21

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ได้ ในที่สุดหยูหนิงก็ค่อยๆ รู้สึกตัวได้สติ เด็กสาวมองรอบด้านที่จะว่ามืดก็ไม่ใช่สว่างก็ไม่เชิงอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมองเห็นว่าข้างกายของตนนั้นมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยสองคน

“พวกคุณเป็นใคร”

คนแปลกหน้าทั้งสองเป็นหญิงสาวสวยต่างสไตล์ คนหนึ่งสวยเรียบๆ ท่าทางไม่สบอารมณ์ ใบหน้าเผยแววบึ้งตึง ส่วนอีกคนนั้นเรียกได้ว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน เรือนร่างอวบอัดของเธออยู่ในชุดสีเเดงเพลิงเจิดจ้า พอเห็นว่าหยูหนิงรู้สึกตัว ทั้งคู่ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยคำทักทายขึ้น

“สวัสดีหยูหนิง ฉันคือเสี่ยวฟ่าง เป็นยมทูต” คำทักทายแสนเรียบง่าย แต่ฟังเเล้วชวนให้รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง คนเเรกเอ่ยปากมาก็ทำเอาสมองคิดตามไม่ทันเเล้ว อีกคนที่มาด้วยกันยิ่งทำให้หยูหนิงคล้ายภายในหัวระเบิดดัง 'ปั้ง’

“สวัสดี ฉันอี้ฉาง เป็นเจ้าของร่างและสถานะที่เธอกำลังครอบครองในตอนนี้!”

‘คุณเเม่ขา หยูหนิงอยากเป็นลม ต้องทำยังไงคะ!’

แม้จะคิดในใจเช่นนั้น ทว่าเธอก็ไม่ได้เป็นลมไปจริงๆ หยูหนิงฟังเรื่องราวจากยมทูตเสี่ยวฟ่างแล้วทำความเข้าใจเงียบๆ ที่แท้ทั้งร่างกายและทุกอย่างที่เป็น ‘หยูหนิง’ นั้นไม่ใช่ของเธอแม้แต่สิ่งเดียว ความผิดพลาดในตอนที่ถือกำเนิดทำให้เจ้าของสถานะตัวจริงต้องมากลายเป็นสุนัข เด็กสาวพลันเกิดรู้สึกผิดต่ออี้ฉางอย่างมากมาย

มิน่าเล่า อี้ฉางถึงแสดงท่าทีว่าไม่ชอบเธอมาตลอด สาเหตุที่เห่าใส่ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง หยูหนิงไม่คิดโทษหรือโกรธอีกฝ่าย เด็กสาวคิดถึงใจเขาใจเราแล้วให้นึกยอมรับ เพราะถ้าหากเป็นตัวเธอก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน

จู่ๆ ต้องมากลายเป็นน้องหมาทั้งที่มีความทรงจำเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังต้องมาเห็นคนที่แย่งชิงของของตัวเองไป อี้ฉางไม่นึกขัดเคืองก็คงต้องบอกว่าผิดปกติไปแล้ว

หลังจากพูดคุยกับทั้งคู่อยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ เสี่ยวฟ่างให้อี้ฉางกลับเข้าร่าง ‘หยูหนิง’ ตามที่ควรจะเป็น แน่นอนว่าวิญญาณของหยูหนิงย่อมต้องยินยอมแต่โดยดีอยู่แล้ว ก็ตัวเธอนั้นแย่งชิงของของคนอื่นมาตั้งนาน เมื่อเจ้าของตัวจริงเขามาทวงก็ควรจะคืนใช่ไหมเล่า อีกอย่างเสี่ยวฟ่างได้บอกแล้วว่า อาการตอบสนองช้าที่เธอเป็นอยู่นั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย แต่ว่าเกิดจากความผิดปกติที่วิญญาณต่างหาก

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นการคืนร่างให้อี้ฉางไปย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนับจากนี้หยูหนิงคนใหม่จะไม่ใช่คนพิการสมองไม่ปกติอีกต่อไป เด็กสาวคิดในใจพลางยกยิ้มเศร้าๆ ยามดวงตามองภาพลู่ซีที่กำลังร่ำไห้กอดคนบนเตียง

เธอมองร่างที่ตัวเองใช้มาสิบห้าปีกอดคุณน้า พูดคุยกับบรรดาเพื่อนๆ ท่าทีสนุกสนาน โต้ตอบกับคุณหมออย่างฉะฉาน ได้เห็นรอยยิ้มยินดีของคนรอบกายที่รู้ว่าหยูหนิงหายเป็นปกติแล้ว ด้วยท่าทางนิ่งเงียบและเคร่งขรึม ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีที่เธอใช้ร่างนั้น ผู้คนในครอบครัวกับเพื่อนฝูงที่ห้อมล้อมไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียวว่านั่นไม่ใช่หยูหนิงคนเดิม ทุกคนมีเพียงรอยยิ้มยินดีเมื่อเรื่องร้ายๆ กลับกลายมาเป็นดี

หยูหนิงถูกรถชน เเม้จะบาดเจ็บเเต่ก็ทำให้หายจากอาการออทิสติก ทุกคนต่างยินดีด้วยจากหัวใจ ไม่เว้นเเม้เเต่คุณหมอเจ้าของไข้ โดยเฉพาะคุณน้าลู่ซีที่ถึงกับร้องไห้โฮด้วยความยินดี

ดีจังเลย ดีจริงๆ นะ…

เเต่ว่านั่นไม่ใช่เธอ และไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่หยูหนิงคนเดิมที่เคยใช้ชีวิตในร่างนั้นมาตลอดสิบห้าปี ไม่มีใครสักคนที่จะเรียกหาหยูหนิงที่พิการคนนั้น

‘ลาก่อนนะคะคุณน้า ลาก่อนทุกคน บ๊ายบาย...’

เด็กสาวมองยมทูตสาวสุดเซ็กซี่ข้างกายแล้วหลุบตาลงน้อยๆ เสี่ยวฟ่างพาเธอมายังสถานที่เเปลกประหลาดนี่ได้พักใหญ่เเล้ว โดยให้เหตุผลว่ามารอผู้ที่จะมารับวิญญาณเธอ ในตอนแรกหยูหนิงนึกหวาดกลัวไม่น้อย ที่ที่เสี่ยวฟ่างพามานั้นเต็มไปด้วยหมอกควันบดบังทัศนวิสัยอีกทั้งยังอึมครึม เป็นบรรยากาศที่จะว่ามืดก็มองเห็นแต่จะบอกว่าสว่างก็ไม่น่าใช่

ทว่ากลัวอยู่ไม่นาน จิตใจก็บอกกับตัวเองว่ายังต้องกลัวอะไรอีกหรือ ในเมื่อตอนนี้เธอเองก็ไม่ใช่คนเสียหน่อย เป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้นเอง

หยูหนิงรอโดยไม่รู้วันรู้เวลา จนในที่สุดผู้ที่จะมารับก็มาถึงเสียที ดวงตากลมโตเหลือบมองผู้ชายต่างวัยตรงหน้าอย่างค้นหา ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกลึกๆ ว่าตนเองเคยเห็นพวกเขามาก่อนกันนะ

ก่อนที่เธอจะขบคิดต่อ เสี่ยวฟ่างก็เเนะนำยมทูตที่มาใหม่ทั้งสองให้เด็กสาวรู้จัก เฮ่ยเสี่ยวฉางยมทูตที่มีรูปลักษณ์เป็นชายชราหน้าตาอิ่มเอิบ รูปร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวสะอาดตา เจ้าตัวมีรอยยิ้มเป็นมิตรส่งมาให้ในทันที ทำให้หยูหนิงสนิทใจที่จะคุยกับเขาขึ้นมาได้บ้าง

ต่างกับเฮ่ยเสี่ยวอู่ ยมทูตอีกตนที่มาด้วยกัน กับยมทูตผู้นี้หยูหนิงเเทบไม่กล้ามองสบตาอีกฝ่าย เนื่องด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาทว่าบึ้งตึงตลอดเวลา ทำให้ยามจ้องมองมาคล้ายเจ้าตัวกำลังโกรธเคืองคนทั้งโลกก็ไม่ปาน

เสี่ยวฟ่างมอบหยูหนิงให้ผู้มาใหม่รับไปดูเเล ดวงตาคู่งามของยมทูตสาวคล้ายมีแววเอ็นดูระคนเป็นห่วง เด็กสาวจับมือเสี่ยวฟ่างไว้ครู่หนึ่งด้วยความอาลัย

ก่อนจะเเยกจากกันนั้น เสี่ยวฟ่างได้ส่งถุงบางอย่างให้เฮ่ยเสี่ยวฉาง ซึ่งเธอบอกว่าเป็นของที่พวกเขาฝากให้เธอหาให้ และเมื่อยมทูตสาวจากไปแล้ว หยูหนิงก็ได้เเต่เดินตามสองคนที่เหลืออย่างไร้ปากเสียง แล้วเธอจะเป็นยังไงต่อนะ...

สองยมทูตพาหยูหนิงมายังสถานที่ที่ผู้คนเรียกขานมันว่ายมโลก ดวงตาคู่กลมของเด็กสาวกวาดมองรอบด้านอย่างสนใจ ที่นี่คือนรกที่ผู้คนเคยพูดถึงกันอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ถ้าจะมีอะไรเเปลกคงเป็นการเเต่งกายของเหล่ายมทูต และดวงวิญญาณที่ต่อแถวกันอยู่พวกนี้กระมัง เพราะเสื้อผ้าหน้าผมเเต่ละคนราวกับหลุดมาจากยุคสมัยโบราณเลยก็ว่าได้

“อืม...ไม่มีๆ เสี่ยวฉาง เจ้าหาเจอหรือไม่” เฮ่ยเสี่ยวอู่ละสายตาจากสมุดบันทึกชะตาเกิดดับของมนุษย์ พลางหันไปถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ

เฮ่ยเสี่ยวฉางส่ายศีรษะสะบัดใบหน้า เจ้าตัวถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางที่เเสดงออกนั้นกลัดกลุ้มไม่เบา

“ไม่เจอเลย เป็นเพราะคู่วาสนาของตี้จวินหายไป เนื้อเรื่องที่เทพซื่อมิ่งเขียนมาจึงคลาดเคลื่อน บิดามารดาในภพมนุษย์ของท่านก็ไม่สิ้นชีพด้วย ข้าตรวจดูเเล้วพวกเราเสียเวลาที่ตามหาวิญญาณนางไปสองวันครึ่ง เท่ากับเวลาของโลกมนุษย์ผ่านไปยี่สิบห้าปี ทำให้ตี้จวินยามนี้อยู่ในวัยฉกรรจ์แล้ว ทว่าคู่วาสนานั้นยังมิได้ถือกำเนิด หากพวกเราส่งนางไปเกิดในตอนนี้ เกรงว่ากว่าเด็กนั่นจะอายุครบสิบห้า ท่านเทพก็คงมีอายุถึงสี่สิบแล้ว”

ฟังเพื่อนร่วมงานกล่าวจบ เฮ่ยเสี่ยวอู่ยิ่งมีใบหน้าดำคล้ำลงทุกขณะ เขาเริ่มรู้สึกถึงอุปสรรคที่เพิ่มมากขึ้นเสียเเล้วสิ

“ไม่ใช่เเค่นั้นหรอกเสี่ยวฉาง เจ้าลองดูนี่สิ” ยมทูตชุดดำส่งบันทึกชะตาให้อีกคนดู “เพราะบทละครที่เทพซื่อมิ่งเขียน ทำให้ไม่มีสตรีใดที่ดวงชะตาจะถือกำเนิดมาเกี่ยวข้องกับตี้จวินเลยแม้แต่คนเดียว”

“...”

เฮ่ยเสี่ยวฉางเเทบอยากกรีดร้องระบายความอัดอั้น เเค่จะส่งคู่วาสนาไปให้ท่านเทพ เวลาก็ล่วงเลยจนเเทบจะหมดหวังอยู่เเล้ว นี่ยังไม่มีดวงชะตาเกิดของหญิงสาวที่เกี่ยวข้องให้ส่งไปอีกอย่างนั้นหรือ

หรือว่าพวกเขาต้องโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนตาย โทษฐานที่ทำให้เสียเวลาไปหนึ่งชาติจริงๆ

“จบแล้ว ต่อให้พวกเราส่งนางไปเกิดได้ แต่ดวงชะตาไม่สัมพันธ์กัน อย่างไรเสียก็ไม่มีประโยชน์อันใด”

หยูหนิงมองท่าทางท้อเเท้ราวกับคนจะตายอย่างสงสัย เด็กสาวนั่งนิ่งฟังเงียบๆ ไม่ปริปากคล้ายไม่มีตัวตน ท่านเทพที่พวกเขากล่าวถึงคือใคร ตี้จวินอะไรนั่นยิ่งใหญ่มากอย่างนั้นหรือ ถึงขนาดทำให้สองยมทูตหวาดกลัวจนหัวหดได้ขนาดนี้ เเล้วไหนจะยังไอ้คู่วาสนาอะไรนั่นอีก เธอไม่เห็นจะเข้าใจอะไรสักอย่างเลย!

ในขณะที่เด็กสาวกำลังครุ่นคิดสงสัย มือก็ขยับไปปัดโดนถุงที่เสี่ยวฟ่างมอบให้เฮ่ยเสี่ยวฉางอย่างไม่ตั้งใจ ข้าวของที่บรรจุไว้ภายในกระเด็นออกมาให้เห็น เมื่อถุงร่วงหล่นลงบนพื้นตามเเรงชน ดวงตายมทูตชุดขาวพลันลุกวาว ยามได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นอย่างชัดเจน

“นี่ยังไงเล่า สิ่งที่จะช่วยพวกเราได้!”

เฮ่ยเสี่ยวอู่มองเจ้าสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าหนังสือในมือของหยูหนิง แล้วหันไปมองสหายร่วมอาชีพ ในใจนั้นคิดเพียงว่าเฮ่ยเสี่ยวฉางผู้นี้หวาดกลัวตี้จวินลงมาเล่นงานจนเพ้อไปเสียเเล้ว

เฮ่ยเสี่ยวฉางเห็นท่าทางที่อีกฝ่ายเเสดงออกก็รู้ถึงความคิดในใจของสหายดี เขาเบ้หน้าพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงหนังสือในมือหยูหนิงแล้วโบกไปมาด้วยท่าทางตื่นเต้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนถึงเรื่องราวอะไรไว้”

เฮ่ยเสี่ยวอู่ฟังคำถามเเล้วนึกขบขัน เขาเเสดงสีหน้าเย้ยหยันยามเอ่ยคำพูดตอบโต้ “เเล้วทำไมข้าต้องรู้เรื่องราวไร้สาระที่มนุษย์เขียนขึ้นมาด้วยเล่า”

น่าขันยิ่งนัก เหตุใดยมทูตอย่างเขาต้องให้ความสนใจเรื่องของมนุษย์ผายลมพวกนั้นด้วย

หยูหนิงหรี่ดวงตากลมของตนเองเล็กน้อย เด็กสาวมองตัวอักษรบนหนังสือในมือเฮ่ยเสี่ยวฉางพลางอ่านมันอย่างสนใจ ‘ปัวเหร่อปัวหลัวหมี่ [1] ’ อย่างนั้นหรือ

“นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เเต่เป็นเรื่องราวกล่าวถึงความรักที่ไม่สมหวังของมนุษย์กับปีศาจต่างหากเล่า”

เฮ่ยเสี่ยวฉางตบโต๊ะดังปัง หนังสือในมือถูกโบกไปมา เเววตาของยมทูตชุดขาวเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างที่สุด

“ในหนังสือเล่มนี้บันทึกถึงเรื่องราวความรักที่มนุษย์ชายมีต่อปีศาจจิ้งจอกสาว เเต่เพราะความเเตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ จนเกิดเป็นตำนานรักที่ไม่สมหวัง เสี่ยวอู่...ไหนเจ้าบอกข้ามาทีสิว่าตี้จวินมาทำอะไรยังภพภูมิมนุษย์” เฮ่ยเสี่ยวฉางถามพลางทำสีหน้าและเเววตาเจ้าเล่ห์

ทว่าเฮ่ยเสี่ยวอู่กลับมองอย่างเฉยชาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงระอา “อา...เสี่ยวฉาง นี่เจ้าสติไม่ดีหรือความจำมีปัญหา ก็รู้กันดีอยู่ว่าแล้วว่าตี้จวินมาเพื่อเผชิญด่านรักที่ไม่สมหวังอย่างไรเล่า”

หยูหนิงฟังยมทูตชุดดำหลอกด่ายมทูตชุดขาวเงียบๆ ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย ยมทูตชายชราผู้นี้ดูเหมือนสติไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ

เฮ่ยเสี่ยวฉางมองท่าทางทั้งคู่แล้วแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใส่ เจ้าสองคนตรงหน้าทำราวกับว่าเขาไม่รู้ความคิดของแต่ละคนอย่างงั้นแหละ

“ใช่แล้ว ตี้จวินลงมาเพื่อเผชิญด่านเคราะห์รักที่ไม่สมหวัง เช่นนั้นแล้วแม่หนูน้อยนี่ไม่จำเป็นต้องไปเกิดก็ได้ ขอเพียงพวกเราสามารถสร้างวาสนาให้นางกับท่านเทพรักกันก็พอ”

พอได้ฟังคำพูดของสหายร่วมอาชีพ เฮ่ยเสี่ยวอู่พลันตาสว่าง ความคิดในหัวพลันบังเกิด นั่นสินะ เเบบนั้นก็ถือว่าเป็นความรักที่ไม่สมหวังได้เหมือนกัน ยามนี้ตี้จวินเป็นมนุษย์ ทว่าคู่วาสนานั้นเป็นวิญญาณ ถ้าพวกเขาทำให้ทั้งสองรักกันเเล้วค่อยเเยกจาก มันก็ถือว่าสำเร็จได้นี่นา

จากนั้นสองยมทูตหนึ่งขาวกับอีกหนึ่งดำ ก็พากันสุมหัวอ่านนิยายรักต้องห้ามระหว่างมนุษย์กับปีศาจ เพื่อจะนำมาปรับใช้กับบุคคลที่ต้องการ

หยูหนิงมองทั้งคู่ถกเถียงหารือเพื่อวางเเผน โดยใช้นิยายรักที่เธอเคยเห็นสร้างเป็นซีรีส์ ทำให้บรรดาหญิงสาวผู้มีใจซาบซึ้งเสียน้ำตากันเป็นเเถบๆ เด็กสาวพลันยกมือป้องปากหาวอย่างเบื่อๆ หวอดหนึ่ง

'มันจะได้ผลอย่างนั้นหรือ นั่นใช่ตำนานรักบันลือโลกอะไรที่ไหนกัน ก็เเค่นิยายรักรันทดที่นักเขียนเป็นคนสรรค์สร้างขึ้นมาเองต่างหาก แต่ดูท่าทางคุณยมทูตสองตนนี้จะเชื่อเป็นตุเป็นตะเลยแฮะ'

เวลาผ่านไปพักใหญ่สองยมทูตก็ปรึกษากันเสร็จสิ้น โดยทั้งคู่วางบทละครเอาไว้ว่า พวกเขาจะมอบพลังหยินให้แก่ดวงวิญญาณหยูหนิง เพื่อให้เด็กสาวสามารถปรากฏตัวให้มนุษย์ทั่วไปเห็นได้ จากนั้นก็ให้นางไปจัดการทำให้ท่านเทพคู่วาสนาของตนตกหลุมรักเสีย

หลังจากที่ทั้งคู่รักกัน พวกเขาก็จะพรากดวงวิญญาณของนางกลับสู่เเดนยมโลก เพียงเท่านี้ตี้จวินก็จะประสบกับเคราะห์รักที่ไม่สมหวังดังตั้งใจแล้ว พอแผนการนี้ถูกกล่าวออกมาสองยมทูตก็แปะมือกันอย่างสะใจ ละครบทนี้ของพวกเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ ขนาดเทพซื่อมิ่งยังเขียนดีไม่ได้เท่านี้เลย

จากนั้นทั้งคู่ต่างผลัดกันถ่ายพลังหยินของตนให้ดวงวิญญาณหนึ่งเดียวในกลุ่มอย่างแข็งขัน เมื่อทุกอย่างเตรียมการพร้อมสรรพ สองยมทูตกับอีกหนึ่งดวงวิญญาณจึงมาปรากฏกายหน้าจวนบ้านสกุลจวินในยามราตรีอันเงียบสงัด ทว่า...

[1] หรืออีกชื่อที่รู้จักกันในไทยว่า โปเยโปโลเย เป็นนิยายของ ผู ซงหลิง แต่งขึ้นจากเรื่องเล่าของจีนในสมัยราชวงศ์ชิง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   พบกันอีกครั้ง

    ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเป็นสีดำสนิท หยาดฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายราวม่านน้ำตก เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะสลับกับสายลมที่กรรโชกแรง หยูหนิงในร่างลูกสุนัขจิ้งจอกกำลังยืนหอบหายใจหนักหน่วง ด้านหลังของร่างเล็กคือผาหินอันไร้หนทางให้หลบหนี ส่วนเบื้องหน้ามีเจ้าสัตว์ร้ายลำตัวยาวเหยียดกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดุร้ายสายลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างเล็กจ้อยที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่สะท้านสะเทือนหัวใจ หยูหนิงอดที่จะร้องครางเสียงแผ่วออกมาไม่ได้ ทว่าน่าเสียดายนัก ท่าทางอันน่าสงสารที่แสดงออกนั้น ไม่สามารถเรียกความเห็นใจจากเจ้าอสรพิษตรงหน้าได้แม้แต่น้อย มันยังคงจ้องมองเธอประหนึ่งเหยื่ออันโอชะ ลิ้นสีแดงแลบตวัดผ่านจมูกเปียกชื้นราวกับต้องการชิมรสชาติเจ้าตัวน้อยตรงหน้า เห็นอย่างนี้หยูหนิงอยากจะบอกกับมันเสียเหลือเกินว่าพี่ชาย ถึงนายจะกินฉันลงไปก็ไม่ทำให้อิ่มท้องได้หรอกนะ แถมกระดูกอาจจะไปติดซอกฟันเอาเสียเปล่าๆมองการจากไปของครอบครัวตัวเองในชาตินี้ หยูหนิงก็อดนึกสะท้อนในใจไม่ได้ แม้จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงไม่นาน แต่ความผูกพันย่อมเริ่มก่อตัว ความอาลัยมีหรือจะไม่มีได้ คิดไปเธอพลันเร

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   ยมทูตที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด

    ปลายเดือนหกสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาด ในหุบเขามังกรฟ้าที่เงียบสงบมีเพียงจวินเทียนเฮ่อที่พักอาศัย หลายปีก่อนหน้านี้อาหม่าที่ติดตามเขาได้ถึงแก่กรรมไปตามวัย ทำให้ที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาพำนักอาศัย วิชาที่อาจารย์สอนสั่งมานับเป็นเลิศหาใดเปรียบ จวบจนทุกวันนี้ตัวเขาคล้ายจะหยุดอายุขัยไว้ที่วัยยี่สิบกว่าปีเท่านั้นดวงตาคู่เรียวเหม่อมองฝ่าสายฝนที่บดบังทัศนวิสัย เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นเป็นบางเวลา จวินเทียนเฮ่อบอกกับตัวเองท่ามกลางความเงียบงันว่า การเฝ้ารอคอยบางครั้งก็เนิ่นนานชวนให้รู้สึกว่ายากจะทานทนเสียจริง“เสี่ยวฉาง นี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันแน่” หยูหนิงก้าวเดินตามสองยมทูตไปในความมืดอย่างไม่รู้ทิศทาง ช่วงหลายวันมานี้เฮ่ยเสี่ยวอู่กับเฮ่ยเสี่ยวฉางเอาแต่ซุบซิบกันตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยกันปิดบังจนทำให้เธอเกิดความรู้สึกกังวลอย่างประหลาด ในใจก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆเฮ่ยเสี่ยวฉางก้าวนำด้วยรอยยิ้มสดชื่น มุมปากโค้งเป็นแนวกว้างอย่างอารมณ์ดี หลังจากคิดหาหนทางอยู่เป็นนาน ในที่สุดพวกตนก็พบวิธีดีๆ ที่จะทำให้ด่านเคราะห์ของตี้จวินผ่านพ้นไปได้ ในขณะที่สหายกำลังอยู่ในความเบิกบาน เฮ่ยเสี่ยวอู่ก

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   เอาแต่ใจที่สุดก็คือเทพ

    แดนสวรรค์...นอกจากเทพซื่อมิ่งแล้วยังมีอีกหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวอยู่ ซึ่งก็หาใช่ผู้ใดใครอื่น แต่เป็นประมุขสวรรค์นายของเขานั่นเอง เง็กเซียนมองเรื่องราวที่จบลงด้วยดีอย่างไม่พอใจ เจ้าเอ้อร์หลางนั่นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ตนอุตส่าห์ชักนำให้มาพบกับมารดามนุษย์ของตี้จวินแล้วแท้ๆ แต่กลับจัดการไม่ได้แม้แต่วิญญาณต้นไม้ธรรมดาดวงหนึ่ง“หากเจ้าวิญญาณต้นไม้นั่นมีอันเป็นไป ตี้จวินก็จะไม่มีทางผ่านด่านเคราะห์ เขารับคำสาบานไปแล้วย่อมไม่กล้าตระบัดสัตย์กลับคืนแดนเทพ ข้าก็จะไม่ต้องมีตัวหายนะเป็นหนามยอกอก เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับถูกเจ้าเอ้อร์หลางทำเสียหายได้ น่าโมโหนัก น่าโมโหที่สุด” ผู้ปกครองแดนสวรรค์บ่นพึมพำสบถกับตนเองลั่นตำหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองผู้ใต้บังคับบัญชาเซียนรับใช้หลายนางพากันก้มหน้าลงต่ำ แม้แต่ผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา พวกเขาล้วนรู้นิสัยไร้เหตุผลของเจ้านายดี จึงไม่มีใครคิดอยากวุ่นวาย ดูท่านเทพเอ้อร์หลางเป็นตัวอย่างก็น่าจะเข้าใจ เพราะเพียงแค่ความเห็นไม่ลงรอยยังถูกโยนข้อหาใส่ ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรมอยู่บนโลกมนุษย์เลยเทพซื่อ

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   กลยุทธ์ถอยเพื่อตั้งหลัก

    หยูหนิงที่หนีออกมานั้นกำลังมืดแปดด้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเพิ่งจะหลบหนีออกมาจากเขตอาคมของนักพรตได้อย่างง่ายดาย ในหัวมีเพียงคำพูดของไป๋เฟิ่งที่ร้องเตือนให้ซ่อนตัวเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะไม่ทำตาม ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าการชำระวิญญาณที่นักพรตนั่นเอ่ยถึง จะเป็นการส่งไปเกิดใหม่หรือทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายกันแน่ร่างเล็กทะยานไปในอากาศ ดวงตากลมหรี่ลงครุ่นคิด สุดท้ายก็มุ่งหน้าไปทางเรือนมู่ตานที่คุ้นเคย “ที่ที่อันตรายคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เธอยังคงเชื่อมั่นในประโยคนี้ ความมั่นใจจึงล้นปรี่อีกครั้งยามกระโดดข้ามผ่านขอบหน้าต่างเข้าสู่ห้องนอนของเจ้าของเรือน ยังไม่ได้พูดคุยกับคนที่สู้อุตส่าห์ติดตามมาแม้แต่คำเดียว แล้วใครเล่าจะยอมจากไปโดยไม่คิดขัดขืน“ยังไม่ได้คุยกันสักคำ ใครจะยอมทำตามเล่า นักพรตบ้า”เทพซื่อมิ่งได้ยินวาจาพึมพำความในใจก็นึกขบขันจนหัวร่องอหงาย นางต้นไม้นี่ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ บอกว่ามาเพื่อบุรุษก็ทำดั่งพูดจริงๆ ไม่มัวมานั่งอายขวยเขิน มุ่งตรงหาเป้าหมายอย่างแน่วแน่ แม้แต่ในยามคับขันก็ยังไม่ลืมเหตุผลของตน สตรีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนักกับท่านเทพอันธพาลคิ้วเรียวยาวถูกเจ้าขอ

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   นักพรตปรากฏกาย

    เมื่อยามค่ำมาเยือนภายในบ้านสกุลจวินเงียบสงบไร้เสียงอึกทึก ทว่านั่นเป็นเพียงมุมมองในด้านของมนุษย์เท่านั้น เพราะในมุมมองโลกที่สามเวลานี้มีสองดวงวิญญาณกำลังเคลื่อนที่ตามกันไม่ห่างโดยมีสตรีเป็นผู้นำ ดวงวิญญาณของหญิงสาวก็คือหยูหนิงนั่นเอง และแน่นอนว่าวิญญาณบุรุษที่อยู่ด้านหลังย่อมเป็นไป๋เฟิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย“หยูหนิงหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าบอกว่ามีวิธีช่วยให้ข้าสมหวัง”ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นไหว ดวงตาเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกจับจูงโดยคนข้างหน้าไม่กะพริบ วิญญาณไม่มีเลือดเนื้อและร่างกายจึงไร้ความรู้สึก ทว่ามือที่ถูกเกาะกุมนั้นกลับมีความอบอุ่นไปจนถึงจิตใจ“ใช่แล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีของเจ้าเลยรู้หรือไม่” เสียงใสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีครั้งแรกที่หยูหนิงเอ่ยปากเรื่องช่วยเหลืออีกฝ่าย เธอยังคิดว่าคงต้องรอจนสองยมทูตกลับมา ไหนเลยจะบังเอิญมีเรื่องโชคดีเข้ามาก่อน เห็นไป๋เฟิ่งมีสีหน้างงงวยหยูหนิงจึงอมยิ้มพลางอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดที่แท้เมื่อสามวันก่อนบุตรชายของลูกผู้น้องญาติห่างๆ นายท่านจวินได้เดินทางจากบ้านเดิมมาขอพักพิงชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบเป็นจิ้นซื่อที่จะถึงในปีนี้ ไป๋เฟิ่

  • สามชาติ สองภพ จบปรารถนา   วิญญาณบุรุษผู้อาภัพ (2)

    เวลาผ่านไปหลายวันภายในบ้านสกุลจวินยังคงเงียบสงบ เนื่องจากหลิวซีเยี่ยนได้รับคำแนะนำจากท่านนักพรตให้หยุดเรื่องพิธีดูตัวเอาไว้ก่อน จึงไม่มีเหตุผลให้วิญญาณร้ายต้องปรากฏตัวมาไล่ตัดวาสนาดอกท้อหญิงสาวเหล่านั้น อีกทั้งสองยมทูตเองก็ยังไม่สามารถปลีกตัวมาหาได้ ทำให้หยูหนิงในตอนนี้มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งเสวนากับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา‘ไป๋เฟิ่ง’ คือนามของผู้มาใหม่ วิญญาณบัณฑิตหนุ่มผู้สิ้นชีพลงในวัยเพียงแค่ยี่สิบปี ซึ่งแฝงตนมากับโต๊ะเขียนหนังสือไม้สลักเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่นายท่านจวินเพิ่งจะได้มาครอบครอง ไป๋เฟิ่งเองก็ได้เล่าถึงสาเหตุที่ตนเองต้องมาผูกติดอยู่กับโต๊ะตัวนี้ให้หยูหนิงฟังอย่างละเอียดแต่เดิมยามเป็นมนุษย์ไป๋เฟิ่งเกิดในสกุลไป๋ที่เป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่แห่งต้าเหลียว บรรพบุรุษของเขาทุกรุ่นล้วนแต่รับราชการ อุทิศตนเพื่อบ้านเมืองมาตลอด เมื่อมาถึงยุคสมัยของตัวไป๋เฟิ่งก็ยังมีพี่ชายที่เป็นความหวังของบ้าน ทว่าก่อนวันสอบเพียงไม่กี่วัน ไป๋มู่ผู้เป็นพี่ชายก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนเพราะไม่อาจทนมองบิดามารดาผู้เฒ่าจมอยู่กับความผิดหวัง ไป๋เฟิ่งที่เดิมร่างกายอ่อนแอจึงตัดสินใจสืบทอดเจต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status