รุ่งเช้าวันถัดมา ในที่สุดราชสาสน์จากวังหลวงแคว้นป๋ายก็เดินทางมาถึง เนื้อความในราชสาสน์สรุปสั้นๆ ได้ว่า
‘แม้เราห่วงใยทหารหาญและราษฎร แต่ทหารส่วนใหญ่รักภักดีต่อแว่นแคว้น ยอมตายไม่ยอมจำนน แม่ทัพใหญ่โปรดให้เวลาเราเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้น และได้โปรดส่งตัวลูกสาวเราคืนมา’
หยางหยางอ่านสาสน์แล้วแค่นหัวเราะ หนิงซินเห็นดังนั้นก็พอคาดเดาเนื้อความในราชสาสน์นั้นได้ นางแสร้งขยับตัว ก่อนร้อง ‘โอ๊ย’ เสียงดัง
อันที่จริงนางตั้งใจเอาไว้ว่าจะแสร้งทำ คาดไม่ถึงว่าเพียงขยับตัวนิดเดียว จะเจ็บกร้าวร้าวระบมไปหมด
หยางหยางได้ยินนางร้องเสียงดังก็ลืมตัว รีบวางสาสน์ในมือ ขยับเข้าประคองให้ร่างน้อยเอนหลังลงนอนพักดังเดิม
“หญิงหม้ายสกุลอวี๋กล่าวว่าเจ้าไม่ควรขยับกายมากนัก” เขากล่าวเสียงขรึม
หนิงซินข่มความรู้สึก วางมือทาบทับแผงอกแกร่ง ปากก็ถามเสียงสั่น
“ในสาสน์ว่าอย่างไรบ้าง เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อยอมทำตามเงื่อนไขแต่โดยดีหรือไม่”
ยามนี้นางร้อนใจนัก เกรงว่าคนผู้นี้อ่านราชสาสน์แล้วจะเกิดบันดาลโทสะ สั่งเรียกรวมกำลังพลออกรบ บุกเข้าเมืองหลวงแคว้นป๋าย
แม้ไร้เรี่ยวแรง หนิงซินกลับจับข้อมือบุรุษตรงหน้าไว้แน่น ถามน้ำตาคลอเบ้า
“ว่าอย่างไรเล่า ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...ขอร้องล่ะ...ฮึก...” ตอนนี้น้ำตาสีใสถึงกับไหลอาบแก้มงามแล้ว
หยางหยางทอดถอนใจ เขาหยิบผ้าสะอาดขึ้นซับน้ำตาให้นาง ก่อนหยิบราชสาสน์ออกมากางให้นางได้อ่านด้วยตนเอง
ทันทีที่อ่านจบ หนิงซินแทบหยุดหายใจ
อันที่จริงนางพอจะคาดเดาได้ว่าบิดาอาจจะลังเล คาดไม่ถึงว่าจะลังเลจนถึงขั้นไม่อาจตัดสินใจเรื่องที่นับว่าไม่ได้แย่สักเท่าใดในสามวัน
หรือว่า...
จู่ๆ ภาพใบหน้ามารดาของนางก็วาบขึ้นมาในห้วงคิด
เสด็จพ่อของนาง เดิมทีก็มีพื้นนิสัยโลเล จะเลือกสิ่งหนึ่งก็เกรงว่าจะไม่ดี จะเลือกสิ่งนี้ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ การตัดสินใจในเรื่องสำคัญแทบทั้งหมด ล้วนต้องมีมารดาของนางคอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างกาย ด้วยเสด็จพ่อของนางรักใคร่และเชื่อถือในตัวมารดาของนางเป็นอย่างยิ่ง
แต่ไหนแต่ไรมา แม้จะไม่ได้กล่าวออกมาโดยตรง ทว่าทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย เสด็จแม่ของนางล้วนสอนสั่งให้นางแก่งแย่งแข่งดีกับพี่หญิงน้องหญิง ทั้งยังหมายใจจะให้นางเป็นสตรีที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดเสียยิ่งกว่าตนเอง ในตอนที่นางเลือกเสนอตัวเข้าอารามศักดิ์สิทธิ์ เสด็จแม่จึงโกรธจนถึงขั้นขู่จะตายให้นางดู...นับว่ายังดีที่ท้ายที่สุด มารดาก็จนด้วยเหตุและผลทั้งหมดทั้งมวลของนาง
มารดาของนาง แต่แรกก็เป็นชายารัก จากนั้นก็กลายเป็นมารดาของแผ่นดินที่สามีและราษฎรรักใคร่ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นป๋ายซึ่งอยู่เหนือแว่นแคว้นน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ยามนี้หากต้องสูญเสียทุกสิ่งไป เกรงว่าไม่ว่าจะอย่างไร มารดาของนางคงไม่แคล้วเลือกยอมตายไม่ยอมแพ้...
หนิงซินไม่รู้ว่าตัวเองลืมหายใจ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นิ้วมือบิดเกร็ง จีบเข้าหากัน แน่นอนว่านิ้วเท้าเองก็ด้วย
หยางหยางเห็นภาพนั้นก็รีบวางราชสาสน์จากแคว้นป๋าย จับมือนาง มองสบตา
“จ้องตาข้า หนิงซิน หายใจยาวๆ”
เขาเรียกข้าว่าหนิงซิน?
นั่นมันออกจะ...
หนิงซินพยายามไม่คิดเล็กคิดน้อย พยายามทำตามที่เขาว่า
“พวกเราหายใจเข้าออกพร้อมกัน”
เขาสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าผ่อนคลาย
นางทำตาม
เขาระบายลมหายใจออก สีหน้าผ่อนคลาย
นางก็ทำตาม
ทั้งเขาและนางทำแบบเดิมซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ท้ายที่สุด อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนางก็ค่อยๆ ทุเลาลง
ตอนนี้น้ำตานางหยุดไหลแล้ว
คงจะ...ตื่นตกใจและหวาดกลัวเพราะอาการเมื่อครู่จนเผลอลืมเรื่องอื่นไปชั่วครู่กระมัง
แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ยังคงบีบมือนางอยู่ แม้จะถนอมแต่ก็ไม่ยอมให้ถอดถอนออกไปโดยง่าย คล้ายกับว่าเขาจะเป็นห่วงกังวลเรื่องนางมากจริงๆ
แต่จะเชื่อได้หรือ? หนิงซินตัดสินใจลองถามดูสักครั้ง
“ท่านไม่โกรธเกลียดข้าแล้วหรือ?” นางถาม น้ำเสียงสั่นเครือ
เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นแม่ทัพต้องทอดถอนใจ
“มิใช่ข้าหรอกหรือที่ต้องเป็นฝ่ายถาม” เขาจ้องลึกลงในตานาง “สิ่งที่ข้าได้กระทำลงไปเพราะความเขลาและขาดสติ ข้าจะไม่แก้ตัวใดใดทั้งนั้น คืนนั้นเจ้าพูดถูกทุกคำ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงตัวเจ้า ทว่าผู้ที่คิดและลงมือรบราฆ่าฟันล้วนเป็นผู้อื่นทั้งนั้น กระนั้นก็ตามที เมื่อเรื่องราวเริ่มจะบานปลาย ตัวเจ้าเองก็มิได้เพิกเฉยต่อปัญหา เจ้าถึงกับยอมสละความสุขชั่วชีวิตของสตรี ก้าวเข้าสู่อารามหลวง กลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแว่นแคว้นที่ต้องครองพรหมจรรย์ไปชั่วชีวิต แม้จะเป็นเช่นนั้นสงครามก็ยังไม่ยุติ มีแต่จะขยายใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือหรือแว่นแคว้นใดก็ล้วนยึดถือเหตุผลของตนเป็นที่ตั้ง จากแต่เดิมเพียงหมายปองหญิงงามก็กลายเป็นเรื่อง ‘ฆ่าได้ หยามไม่ได้’ เดือดร้อนวุ่นวายกันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า”
หนิงซินน้ำตาไหลเป็นสาย
นี่คือความรู้สึกอัดอั้นตันใจทั้งหมดของนาง
ไม่เคยมีเลย ไม่เคยมีใครถามนางเลยสักคน ว่านางรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดหรือไม่ ไม่มีแม้แต่การแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือคำพูดปลอบโยนเลยสักคำ ตรงกันข้าม บิดามารดากลับชอบใจที่ผู้คนเหล่านั้นรบราฆ่าฟัน กล่าวกันว่า “พวกเขาบาดหมางฆ่าฟันกันเองจนแว่นแคว้นล่มสลายเช่นนี้ก็ดี พวกเราเพียงยืนบนภูดูฝูงสุนัขกัดกัน รอจนเหลือสุนัขตัวสุดท้ายที่กัดกับตัวอื่นมาจนบาดเจ็บสาหัส พวกเราก็ค่อยเข้าไปทุบตี สังหาร ชิงบ้าน ชิงเมือง ชิงทุกสิ่งที่คนผู้นั้นไปรบราช่วงชิงจนได้มา!”
“ทำไมเล่า หรือเจ้าคิดว่าบิดาจะดื้อรั้นจนไม่มองความเป็นจริง?”เขากล่าวได้ตรงจุดเป็นอย่างยิ่ง จนหนิงซินไม่รู้จะเอ่ยคำใดระยะหลังมานี้ เสด็จพ่อของนางลุ่มหลงในอำนาจ มุ่งมั่นในการสั่งคมบารมี ทำถึงขั้นใช้หลานชายหลานสาวในราชสกุลเป็นเบี้ย แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เหตุที่นางยังอยู่รอดปลอดภัย ยังมิได้แต่งให้ผู้มีอำนาจใดมาจนป่านนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีราชสาสน์สู่ขอมาจากทั่วทุกสารทิศ จนเกิดเรื่องแย่งชิงตัวนางขึ้นมาเสียก่อน และหลังจากนั้น นางยังฝ่าฝืนคำสั่งเสด็จพ่อ ชิงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอารามหลวงในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เสด็จพ่อผู้เลื่อมใสศรัทธาในเทพยดาฟ้าดิน มิอาจบังคับให้นางแต่งให้ผู้ใดโดยง่ายเสด็จแม่ของนางก็อีกผู้หนึ่ง พระนางคิดนั่งบนภูดูเสือกัดกัน ตั้งใจจะให้บุรุษรบราฆ่าฟันกันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว แล้วถึงค่อยยกนางให้ยอดบุรุษผู้ซึ่งจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าพระราชบิดาของนางเสด็จแม่ของนางเองก็ช่างโหดร้ายนัก ไม่แน่ว่าเรื่องวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดขึ้นยามนี้ ครึ่งหนึ่งอาจเป็นฝีมือของเสด็จแม่ก็เป็นได้คิดๆ ดูแล้วก็น่าขัน.
เพื่อยุติความเข้าใจผิดที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อแคว้นป๋าย หนิงซินข่มความอัปยศและความอับอาย บอกเสียงสั่น“ทั้งหมดก็เพราะท่านทำให้ข้ารู้สึกมากเกินไป!”หยางหยางนิ่งงันไปชั่วขณะเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำนี้ใช่ว่าเขาจะไม่มั่นใจในตนเอง ทว่า...คำพูดนี้...จากปากนาง...หยางหยางพลันรู้สึกหัวใจพองโต มุมปากทั้งสองข้างโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเขา หนิงซินก็โกรธจนน้ำตาไหล แต่ไม่รู้ว่าโกรธอะไรกันแน่หยางหยางตกใจที่จู่ๆ สตรีในอ้อมกอดก็หลั่งน้ำตาเมื่อครู่นางเพิ่งกล่าวว่าเขาทำให้นางรู้สึกดีไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใด...รอยยิ้มบนใบหน้าคร้ามแดดพลันเหือดหาย เขารีบประคองร่างน้อยๆ เข้ากอดแนบอก ลูบศีรษะปลอบโยนนาง“ข้าหาได้หัวเราะหรือยิ้มเยาะเจ้า องค์หญิงน้อย ข้าเพียงแต่...ดีใจ...” สาบานได้ว่านี่เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าอ่อนโยนชนิดที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต“ดีใจที่ทำให้ข้ากลายเป็นสตรีเช่นนี้หรือ?” นางกลั้นสะอื้นจนตัวโยน“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร...ข้าเพียงดีใ
หนิงซินกอดเกาะท่อนแขนนั้นไว้ต่างหลักยึด พยายามรวบรวมสติ ฝนหมึก จรดพู่กัน เขียนสาร ภายในใจก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ ว่าตนใช่ถูกคนผู้นี้รู้เท่าทัน จึงได้ถูกกลั่นแกล้งรังแก เอาคืนด้วยวิธีการเช่นนี้หรือไม่“อ๊ะ...” เพิ่งจะคิดได้เท่านั้นเขาก็เริ่มขยับนิ้วที่สอดแทรกอยู่ภายในหนิงซินทั้งโกรธทั้งอับอาย แต่ยังไม่อยากยอมแพ้นางกลั้นใจตวัดพู่กันเขียนสาร พยายามเลือกให้คำที่สั้น กระชับ มากที่สุด ก่อนที่คนผู้นี้จะทำให้สติสัมปชัญญะของนาง...“...”“...”“...”หนิงซินโดนรังแกจนร้อนผะผ่าวไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำ กระนั้นก็ยังข่มความรู้สึก รวบรวมพลัง เขียนสารสำคัญออกมาได้หยางหยางเห็นนางเพียรพยายามถึงเพียงนั้น ก็อดนึกชมไม่ได้ทว่าชื่นชมก็ส่วนชื่นชม ยามนี้ตัวเขาเองก็อดกลั้นไม่ไหวแล้วเช่นกัน เช่นเดียวกับนาง...คิดได้ดังนั้น เขาพลันใช้มือเพียงข้างเดียวยกโต๊ะเขียนสารตัวนั้นออกวางข้างฟูก จากนั้นก็ยกร่างนางขึ้นนั่งคร่อมทับส่วนที่แข็งเกร็ง เส้นเลือดปูดโปน ดูใหญ่โตจนน่ากลัวกว่าครั้งไหนๆเคราะห
“มะ...ไม่ได้นะ...”“ข้ารับปากว่าจะไม่สังหารผู้ใดหากไม่จำเป็น”“แต่เหล่าทหารของทั้งเฮยเซ่อเย่ว์และแคว้นป๋ายก็ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่หรือ” นางจ้องตาวิงวอนไม่ยอมแพ้อาจเพราะความกังวล มือที่ทาบทับแผงอกแกร่งพลันแข็งเกร็ง ขยับเหมือนหนึ่งจะกำ ท้องน้อยเองก็หดเกร็งเช่นกันหยางหยางสะดุ้งเล็กน้อยเพราะการกระทำนั้น ทำเอาหนิงซินสะดุ้งตาม แต่เพราะนางพยายามข่มใจไม่ให้รามือโดยง่าย มือที่ควรผละออกจึงกลายเป็นเคลื่อนไหวอยู่บนแผงอกแกร่งเหมือนหนึ่งแตะไล้หยอกเย้าจู่ๆ ส่วนที่ยังค้างคาอยู่ในกายนางส่วนนั้นก็ขยายตัวขึ้นอีกคราหนิงซินหน้าแดงจัด รู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าทั้งตัว มือน้อยที่ทาบบนแผงอกกว้างยิ่งสั่นระริกไปกันใหญ่อา... นางช่าง...น่ารัก...หยางหยางพลันตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ทำเอาเคร่งเครียด คิดหนัก...เมื่อครู่เพิ่งรังแกนางหนักหน่วงถึงเพียงนั้น หากลงมือซ้ำ เกรงว่าร่างกายเล็กๆ บอบบางใต้ร่างเขาอาจล้มป่วยลงอีกหน...“นะเจ้าคะ...ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...” นางขอร้อง
เขากอดร่างนางไว้แน่น กระแทกแรงๆ อีกหลายครั้ง ก่อนดันอาวุธร้ายเข้าลึก จากนั้นบางอย่างก็ระเบิดโพลงอยู่ข้างในนั้น ทำเอาในกายนางอุ่นร้อนชุ่มแฉะไปหมดเขา...ปลดปล่อยสิ่งนั้นข้างในอีกแล้ว? หนิงซินเสียวซ่านสุดจะหาคำบรรยาย ส่วนอ่อนนุ่มกระตุกเกร็ง สองขาหนีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัวหยางหยางฟุบตัวลง กอดร่างนางไว้แน่น เนิ่นนานนักถึงเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเบามือ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นจูบหน้าผากทั้งที่บางส่วนยังคงค้างคากันอยู่ แล้วลูบหลังปลอบโยนอย่างแผ่วเบาสำหรับบุรุษเช่นเขาแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายกับความรักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าครั้งนี้ กับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เขากลับรู้สึกต่างออกไปเขาไม่เคยเอ็นดูใส่ใจ เฝ้าถนอมและหวงแหนผู้ใดเท่าสตรีในอ้อมกอดร่างน้อยนี้มาก่อน“เมื่อครู่...เจ็บหรือไม่” หยางหยางถามอย่างไม่มั่นใจนักตัวเขาเองก็พยายามยั้งมือ ยับยั้งชั่งใจมากแล้ว ทว่า...ช่วงสุดท้ายนั้น มันสุดจะระงับจริงๆหนิงซินได้ยินคำถามแล้วใบหน้าตึงและเห่อร้อนขึ้นทันทีนางก้มหน้างุด ซุกแผงอกแกร่ง ส่ายหน้าน้อยๆ“ท
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เข้ามาในกายนางมันทั้งใหญ่โตมโหฬาร ทั้งดุนดันหน้าท้องนางจนอึดอัดคับแน่นไปหมด!สิ่งที่ทั้งร้อนและแข็ง ทั้งใหญ่ยาวเช่นนี้ เข้ามาในกายนาง!มิน่าเล่าครั้งแรกนั่นนางถึงได้...หนิงซินกระถดถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่เขาขยับตาม“อา...” เขาครางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจับร่างนางขึ้นนั่งคร่อมร่างตนเองไว้ตอนแรกว่าตกใจแล้ว ตอนนี้หนิงซินกลับตกใจยิ่งกว่านางทั้งตกใจทั้งรู้สึกอับอายจนไม่อายนั่งตัวตรงอยู่ได้ ได้แต่หมอบกายลงกอดเกาะเขาไว้แน่น“แบบนี้น่าจะดีกว่า...” เขาบอกเสียงแหบห้าวหนิงซินหูอื้อตาลาย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรไม่ทันจะได้ถาม หยางหยางก็ค่อยๆ จับสะโพกนางขยับยก“ฮึก...!” เพียงเขาขยับมือเล็กน้อย เลือดลมในกายนางก็พลันแล่นพล่าน ความเสียวซ่านแปลกประหลาดแล่นปลาบจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ ทำเอาตัวสั่นงันงกเหมือนลูกนกอ่อนแอยามแรกฟักจากไข่หยางหยางเห็นท่าทางนั้นแล้วยิ่งกว่าคันยิบๆ ในหัวใจ เขาทั้งเอ็นดูทั้งอยากรังแกนาง เอาคืนที่บังอาจมายั่วยวนบุรุษเช่นตน