เขากอดร่างนางไว้แน่น กระแทกแรงๆ อีกหลายครั้ง ก่อนดันอาวุธร้ายเข้าลึก จากนั้นบางอย่างก็ระเบิดโพลงอยู่ข้างในนั้น ทำเอาในกายนางอุ่นร้อนชุ่มแฉะไปหมด
เขา...ปลดปล่อยสิ่งนั้นข้างในอีกแล้ว? หนิงซินเสียวซ่านสุดจะหาคำบรรยาย ส่วนอ่อนนุ่มกระตุกเกร็ง สองขาหนีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว
หยางหยางฟุบตัวลง กอดร่างนางไว้แน่น เนิ่นนานนักถึงเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเบามือ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นจูบหน้าผากทั้งที่บางส่วนยังคงค้างคากันอยู่ แล้วลูบหลังปลอบโยนอย่างแผ่วเบา
สำหรับบุรุษเช่นเขาแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายกับความรักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าครั้งนี้ กับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เขากลับรู้สึกต่างออกไป
เขาไม่เคยเอ็นดูใส่ใจ เฝ้าถนอมและหวงแหนผู้ใดเท่าสตรีในอ้อมกอดร่างน้อยนี้มาก่อน
“เมื่อครู่...เจ็บหรือไม่” หยางหยางถามอย่างไม่มั่นใจนัก
ตัวเขาเองก็พยายามยั้งมือ ยับยั้งชั่งใจมากแล้ว ทว่า...ช่วงสุดท้ายนั้น มันสุดจะระงับจริงๆ
หนิงซินได้ยินคำถามแล้วใบหน้าตึงและเห่อร้อนขึ้นทันที
นางก้มหน้างุด ซุกแผงอกแกร่ง ส่ายหน้าน้อยๆ
“ทะ...ที่เคยเจ็บ...ไม่เจ็บเท่าใดแล้ว...” นางตอบเสียงเบา
“แต่?”
“ในท้อง...มัน...”
หยางหยางเดาได้ทันที
“เพราะ...สิ่งนั้น...เอ่อ...” นางไม่กล้าพูดต่อแล้ว!
หยางหยางพลันรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ มุมปากยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางน่ารักไร้เดียงสา กับรอยแดงที่ใบหูจิ้มลิ้ม ทำให้แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์อดยิ่งนึกเอ็นดูยิ่งขึ้นมิได้
หนิงซินรอจนจิตใจสงบลง จึงค่อยขยับริมฝีปากน้อยๆ ถาม น้ำเสียงติดจะแหบพร่า
“ท่านแม่ทัพ...คิดจะเรียกระดมพลหรือไม่”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น...ทว่าข้ากลับถูกองค์หญิงรองใช้กลยุทธ์สาวงามมาหลอกล่อเสียก่อน” ประโยคข้างท้าย น้ำเสียงเขาติดจะเย้า
นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นบุรุษผู้เดียวกับที่ฉุดร่างนางขึ้นบนหลังม้า พาตัวมาที่ค่ายพักทัพ กระทำตัวหยาบช้าป่าเถื่อนเหมือนนางไม่ใช่มนุษย์
เขา...เปลี่ยนไปมากจริงๆ
หรือคืนนั้นจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา?
หากมิใช่เช่นนั้น...หรือเป็นเพราะยามนี้ ใจเขายอมรับนับว่านางเป็นคนของตนแล้วจริงๆ ถึงได้...
หนิงซินกัดริมฝีปากข่มความรู้สึก พยายามหยุดคิดเรื่องที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องบ้านเมือง นางเงยหน้ามองสีหน้าแววตาแม่ทัพใหญ่ประเมินอารมณ์ความรู้สึก ก่อนค่อยๆ ขยับริมฝีปากถามอย่างระมัดระวัง
“เช่นนั้น...ข้าหลอกล่อท่านสำเร็จแล้วใช่หรือไม่” นางไม่ใคร่จะแน่ใจนัก
หนิงซินไม่รู้ตัวสักนิดว่าท่าทีนั้นน่ารักน่ารังแกเพียงใด
“ก็เพียงชั่วคราว” หยางหยางไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้างาม
แม้อีกฝ่ายจะแตะต้องสัมผัสอย่างอ่อนโยน ทว่าประโยคสั้นๆ ประโยคนั้น ทำเอาหนิงซินใจกระตุก
นางฝืนทำใจกล้าวางมือทาบทับแผงอกเขา พยายามกระทำตาม ‘กลยุทธ์สาวงามพิชิตใจ’ ที่เคยเรียนรู้มา ปากก็รีบบอกเสียงสั่น
“ท่านอย่าเพิ่งเรียกระดมพลเลยนะ ได้โปรด...อย่างน้อยๆ ก็ช่วยรออีกสักนิด ชะ ใช่แล้ว ข้าสมควรเขียนสารอีกสักหน”
เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ความคิดของนางก็พลันกระจ่างใส
“ท่านแม่ทัพ...ข้าคิดจะเขียนสารขึ้นมาอีกสักฉบับ ครั้งนี้ก็รบกวนท่านให้ม้าเร็วนำไปส่งให้เสด็จพ่อของข้าอีกครั้ง ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อดูอีกที เสด็จพ่อแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นผู้รู้จักหนักเบา ไม่มีทางที่...”
หยางหยางพ่นลมหายใจออกมาอย่างรำคาญ
เขาหาได้รำคาญนาง แต่รำคาญการประวิงเวลา ปล่อยให้ศึกสงครามถูกยืดเวลาออกไปให้ทหารกล้าในกองทัพได้กลับบ้านเกิดอันสงบสุขช้าลงอย่างไม่จำเป็น
เขาแทรกขึ้นทันที “เห็นทีเสด็จพ่อของเจ้าที่เจ้ารู้จัก กับเสด็จพ่อของเจ้าที่ข้ารู้จัก จะเป็นคนละคนกันแล้วกระมัง”
หนิงซินตกใจเพราะท่าทีนั้น
นางพยายามทำใจให้สงบ ก่อนกล่าวเสียงเศร้า
“แคว้นป๋ายสู้พวกท่านไม่ได้อยู่แล้ว เหตุใดไม่ลองให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้ง”
หากเป็นหญิงอื่น เขาคงบอกปัดคำขอไปทันที แต่กับองค์หญิงรองผู้นี้ หยางหยางกลับไม่อาจหักใจบอกปัดตัดไมตรี ทำร้ายจิตใจนาง ทว่าเขาเองก็ไม่อาจตามใจนางในเรื่องนี้เช่นกัน
“เจ้ายังไม่หายสนิทดีกระมัง เมื่อครู่เองก็หักโหมถึงเพียงนั้น ยังจะคิดเขียนสารถึงบิดาอะไรอีก”
หนิงซินกัดริมฝีปากแน่น กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
“เช่นนั้นท่านก็ประคองข้านั่งเขียนสารอีกครั้งดีหรือไม่ ครั้งนี้พวกเราช่วยกันเขียนโน้มน้าวเสด็จพ่อของข้า ข้า...ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง” นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว คิดว่าเขาคงไม่ถึงขั้นบอกปัดตัดไมตรีกระมัง?
ดังคาด หยางหยางนิ่งไปทันที
เนิ่นนานนัก เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ แหบห้าว
“สำหรับบางคนแล้ว ให้เปลี่ยนใจคนผู้นั้น เทน้ำรดลงบนศิลาทุกวันให้ศิลานั้นกร่อนลงยังง่ายกว่า เจ้ารู้หรือไม่ เสด็จพ่อของเจ้าตอบสารกลับมาว่าอย่างไร”
หนิงซินยังคงสบตาพยัคฆ์ด้วยแววตาเว้าวอน นิ่งรอฟัง
“เสด็จพ่อของเจ้าเรียกให้ข้าเข้าไปเจรจาสงบศึกถึงในวังหลวง”
หนิงซินตกใจเมื่อได้ยิน
หยางหยางยกมุมปากยิ้ม เอ่ยกึ่งเยาะ
“บิดาเจ้าคิดเล่นเล่ห์เช่นนี้ ไม่สู้ให้ข้ารับคำเชิญ พาทหารบุกเข้าไปจบเรื่องทุกอย่างให้เร็วหน่อยยังดีกว่า”
หนิงซินใบหน้าเผือดสีทันที
“มะ...ไม่ได้นะ...”“ข้ารับปากว่าจะไม่สังหารผู้ใดหากไม่จำเป็น”“แต่เหล่าทหารของทั้งเฮยเซ่อเย่ว์และแคว้นป๋ายก็ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่หรือ” นางจ้องตาวิงวอนไม่ยอมแพ้อาจเพราะความกังวล มือที่ทาบทับแผงอกแกร่งพลันแข็งเกร็ง ขยับเหมือนหนึ่งจะกำ ท้องน้อยเองก็หดเกร็งเช่นกันหยางหยางสะดุ้งเล็กน้อยเพราะการกระทำนั้น ทำเอาหนิงซินสะดุ้งตาม แต่เพราะนางพยายามข่มใจไม่ให้รามือโดยง่าย มือที่ควรผละออกจึงกลายเป็นเคลื่อนไหวอยู่บนแผงอกแกร่งเหมือนหนึ่งแตะไล้หยอกเย้าจู่ๆ ส่วนที่ยังค้างคาอยู่ในกายนางส่วนนั้นก็ขยายตัวขึ้นอีกคราหนิงซินหน้าแดงจัด รู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าทั้งตัว มือน้อยที่ทาบบนแผงอกกว้างยิ่งสั่นระริกไปกันใหญ่อา... นางช่าง...น่ารัก...หยางหยางพลันตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ทำเอาเคร่งเครียด คิดหนัก...เมื่อครู่เพิ่งรังแกนางหนักหน่วงถึงเพียงนั้น หากลงมือซ้ำ เกรงว่าร่างกายเล็กๆ บอบบางใต้ร่างเขาอาจล้มป่วยลงอีกหน...“นะเจ้าคะ...ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...” นางขอร้อง
เขากอดร่างนางไว้แน่น กระแทกแรงๆ อีกหลายครั้ง ก่อนดันอาวุธร้ายเข้าลึก จากนั้นบางอย่างก็ระเบิดโพลงอยู่ข้างในนั้น ทำเอาในกายนางอุ่นร้อนชุ่มแฉะไปหมดเขา...ปลดปล่อยสิ่งนั้นข้างในอีกแล้ว? หนิงซินเสียวซ่านสุดจะหาคำบรรยาย ส่วนอ่อนนุ่มกระตุกเกร็ง สองขาหนีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัวหยางหยางฟุบตัวลง กอดร่างนางไว้แน่น เนิ่นนานนักถึงเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเบามือ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นจูบหน้าผากทั้งที่บางส่วนยังคงค้างคากันอยู่ แล้วลูบหลังปลอบโยนอย่างแผ่วเบาสำหรับบุรุษเช่นเขาแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายกับความรักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าครั้งนี้ กับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เขากลับรู้สึกต่างออกไปเขาไม่เคยเอ็นดูใส่ใจ เฝ้าถนอมและหวงแหนผู้ใดเท่าสตรีในอ้อมกอดร่างน้อยนี้มาก่อน“เมื่อครู่...เจ็บหรือไม่” หยางหยางถามอย่างไม่มั่นใจนักตัวเขาเองก็พยายามยั้งมือ ยับยั้งชั่งใจมากแล้ว ทว่า...ช่วงสุดท้ายนั้น มันสุดจะระงับจริงๆหนิงซินได้ยินคำถามแล้วใบหน้าตึงและเห่อร้อนขึ้นทันทีนางก้มหน้างุด ซุกแผงอกแกร่ง ส่ายหน้าน้อยๆ“ท
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เข้ามาในกายนางมันทั้งใหญ่โตมโหฬาร ทั้งดุนดันหน้าท้องนางจนอึดอัดคับแน่นไปหมด!สิ่งที่ทั้งร้อนและแข็ง ทั้งใหญ่ยาวเช่นนี้ เข้ามาในกายนาง!มิน่าเล่าครั้งแรกนั่นนางถึงได้...หนิงซินกระถดถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่เขาขยับตาม“อา...” เขาครางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจับร่างนางขึ้นนั่งคร่อมร่างตนเองไว้ตอนแรกว่าตกใจแล้ว ตอนนี้หนิงซินกลับตกใจยิ่งกว่านางทั้งตกใจทั้งรู้สึกอับอายจนไม่อายนั่งตัวตรงอยู่ได้ ได้แต่หมอบกายลงกอดเกาะเขาไว้แน่น“แบบนี้น่าจะดีกว่า...” เขาบอกเสียงแหบห้าวหนิงซินหูอื้อตาลาย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรไม่ทันจะได้ถาม หยางหยางก็ค่อยๆ จับสะโพกนางขยับยก“ฮึก...!” เพียงเขาขยับมือเล็กน้อย เลือดลมในกายนางก็พลันแล่นพล่าน ความเสียวซ่านแปลกประหลาดแล่นปลาบจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ ทำเอาตัวสั่นงันงกเหมือนลูกนกอ่อนแอยามแรกฟักจากไข่หยางหยางเห็นท่าทางนั้นแล้วยิ่งกว่าคันยิบๆ ในหัวใจ เขาทั้งเอ็นดูทั้งอยากรังแกนาง เอาคืนที่บังอาจมายั่วยวนบุรุษเช่นตน
แม่ทัพใหญ่สบตาคู่งามแล้วไม่อาจโกหกได้เขากล่าวเนิบช้า “เสด็จพ่อของเจ้าคิดเล่นเล่ห์กับข้า”หนิงซินตกใจ“มิใช่ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอกหรือ ท่าน...ท่านตรวจสอบดีแล้วหรือยัง”“ไม่มีสิ่งใดต้องตรวจสอบทั้งนั้น ข้ายื่นข้อเสนอที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายที่สุดไปแล้ว บิดาเจ้าอิดเอื้อนไม่ทำตาม เรื่องก็มีเท่านี้”“เช่นนั้น...พวกท่านจะทำสงครามกันอีกหรือ” นางถามหน้าเผือดสีไม่นะ! นางจะยอมให้เกิดเรื่องเสียเลือดเนื้อเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาดหนิงซินเปลี่ยนจากจับแขนเสื้อเป็นจับแขนเขาไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด นางก็จะต้องทำให้คนผู้นี้ให้โอกาสเสด็จพ่อของนางได้คิดอีกสักครั้ง นางไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จพ่อของนางจะหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความเป็นจริงเช่นนั้น!ก่อนอื่น...ก่อนอื่นนางต้องรั้งเขาไว้ ทำให้เขาหยุดคิดเรื่องแต่งกำลังทหารเตรียมการรบเสียก่อน!“เมื่อครู่ท่านจะออกไปไหนอีกหรือ...อย่าไปเลยนะ”แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่เข้าใจ“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทำให้ท่านและเหล่าแม่ทัพนายกองขุ่น
“ทวยเทพช่างส่งท่านมาโปรดข้าโดยแท้” หนิงซินแย้มยิ้มงดงามดั่งบุปผา ทำเอาหญิงหม้ายสกุลอวี๋ที่เข้าใจผิดไปคนละเรื่องขวยอายจนแทบตัวลอยหนิงซินที่หาได้รู้อันใดสักนิด เผลอเลื่อนมือข้างหนึ่งลงลูบท้องน้อยแม้แต่สัตว์ยังรักลูกของมัน แล้วประสาอะไรกับนาง...ใช่ว่านางไม่ต้องการลูก สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าลูกจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุใด ลูกก็ย่อมเป็นลูก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง...ทว่าการตั้งครรภ์กับผู้นำทัพฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิต่างอะไรไปจากการตบหน้าราชวงศ์สกุลอิ๋ง ยังไม่นับอีกว่านางคือผู้ถือพรหมจรรย์แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ความจริงน่าอับอายที่ว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายถูกข่มเหงรังแก และ...นางมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นอีกมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยที่นางไม่อาจห้ามปรามขัดขืนได้เลยวัดจากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด ยามนี้นางไม่กลัวบุรุษผู้นั้นอีกต่อไป สิ่งที่นางหวาดกลัว และทำให้กังวลเสียมากมาย ก็คือตัวนางเองพอได้รู้จักรสสัมผัสที่ชวนให้ใจสั่นและสุขสมอย่างน่าพิศวงนั้นแล้ว นางก็เปลี่ยนไป
นึกถึงสิ่งที่นางต้องประสบ หยางหยางก็ยิ่งโกรธคนเหล่านั้น ที่โกรธยิ่งกว่าคือโกรธที่ตนเองโทสะโมหะบังตาจนหน้ามืดตามัว ใจทราม ขาดสติ กระทำเรื่องหยาบช้าป่าเถื่อนเช่นนั้นลงไปราวกับไม่ใช่มนุษย์ปึง!!!เสียงทุบโต๊ะดังสนั่น ทำเอาเหล่าขุนศึกนายกองร่างใหญ่ยังอกสั่นขวัญผวาท่ามกลางความเงียบงัน แม่ทัพใหญ่เข่นเขี้ยวคำราม ออกคำสั่งเสียงเข้ม นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนโลหิต“ส่งคนไปจับตาดูในจุดที่สำคัญ หากพบพิรุธแม้แต่น้อย ก็ไม่ต้องคิดแสดงความเมตตาเจรจาอะไรแล้ว! ระหว่างนี้ก็เฝ้าระวังค่ายพักทัพให้ดี หลายวันมานี้พักผ่อนกันพอแล้ว นับจากวันนี้เริ่มฝึกซ้อมไพร่พล เตรียมแผนการรบเผื่อเอาไว้ อย่าให้บกพร่อง!” เหล่าแม่ทัพนายกองฟังแล้ว บ้างแย้มยิ้มพยักหน้าเออออ บ้างก็ลูบหนวดเคราชอบอกชอบใจเห็นนายตนขึงขัง เอาจริงเอาจัง มีไฟในการสู้รบเช่นนี้ พวกเขาก็พลอยฮึกเหิมไปด้วยถูกแล้ว! ต้องอย่างนี้สิ จึงจะสมกับที่เป็นท่