“ข้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขาแล้ว”
!!! น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบแต่ทว่าเมิ่งซือซือฟังแล้วกลับต้องชะงัก ดวงตาคู่งามเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจทันที คาดว่าคงเป็นนางที่แก่เลอะเลือนหูฝาดได้ยินผิดเพี้ยนไปเองกระมัง “เจ้าว่าอย่างไรกันเสี่ยวหรัน!” เมิ่งซือซือขมวดคิ้วมุ่นหรี่สายตาเพ่งมองสตรีตรงหน้าราวกับต้องการคาดเค้นความจริงออกจากปากอีกฝ่ายให้ได้ ไป๋เสี่ยวหรันพลางระบายยิ้มจางๆ กล่าวออกมาอีกครั้งราวกับว่าหาใช่ใหญ่อันใด “ข้าเอ่ยปากจะหย่ากับเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…รอเพียงแต่เขาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้เท่านั้น” เมิ่งซือซือได้ยินอีกครั้งถึงกลับชะงักถอยหลังออกห่างคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัว นางถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง พอตั้งสติได้จึงเร่งรีบเดินเข้ามากุมมือของสตรีตรงหน้าเอาไว้ “รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา” สายตาของนางแลมองซ้ายขวาท่าทางราวกับหวาดระแวงสิ่งใด น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หย่าสามี…นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาล้อเล่น!” ไป๋เสี่ยวหรันยังคงสงบนิ่งและเย็นยะเยือกในคราเดียวกัน ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มอยู่ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่ง กลับดูหม่นแสงลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าย่อมหมายความว่าเช่นนั้น…ไม่นำมาล้อเล่นแน่เมิ่งซือซือ” นางตอบออกมาอย่างแผ่วเบาทว่ากลับหนักแน่น “…” “ความรักที่ข้าทุ่มเทลงไปทั้งหมดสามปี สุดท้ายก็ต้องจบลงเช่นนี้…ข้าทนกับความเฉยชา ทนกับความเย็นชาของเขายิ่งกว่านั้นข้าต้องอยู่อย่างไม่ไร้ค่าในสายตาของเขา” น้ำเสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อย ไป๋เสี่ยวหรันเม้มริมฝีปากแน่น จู่ๆ หัวใจก็พลันบีบรัดแน่นแทบจะใจไม่ออก ลมหายใจค่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ !!! “เสี่ยวหรัน!” พอเมิ่งซือซือเห็นท่าทางของสหายแล้วจึงรีบเข้ามาพยุงอีกฝ่ายไว้ทันที เกรงว่าจะเป็นล้มลงคะมำลงพื้นไปได้ “เรื่องใหญ่โตเช่นนี้…ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดทบทวนให้ดีก่อนหรือไม่ อย่างไรแล้วก็เห็นแก่อาหยวนเถิด” ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไรนางหาได้เอ่ยห้ามหรือขัด…เพียงแต่คิดให้ดีๆ ก่อนเถอะ ใจเย็นงั้นหรือ…? คิดทบทวนให้ดีอย่าวูบวาบ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไป๋เสี่ยวหรันได้ยินประโยคเช่นนี้แล้วนึกอยากจะหัวเราะร่อออกมาเสียงดังเหลือเกิน นางซบใบหน้าลงบนไหล่ของเมิ่งซือซืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เพราะข้าเห็นแก่อาหยวนอย่างไรกัน” วันข้างหน้าบุตรชายของนางก็ต้องโตกลายเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เป็นสามีของสตรีผู้หนึ่งและกลายเป็นบิดา หากเขามีนิสัยเป็นเฉกเช่นเดียวกับเซี่ยเว่ยหลงเล่า…มิสู้นางพาเขาออกมาไม่ดีกว่าหรือ!? เมิ่งซือซือได้แต่ยืนเงียบงัน ไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบได้อีก “แล้วเซี่ยเว่ยหลงเล่า…หากเขาไม่ยอมหย่าจะทำอย่างไร” ไป๋เสี่ยวหรันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองสหายข้างกาย แววตาที่เคยแน่วแน่กลับสั่นระริกด้วยความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูอยู่ภายในใจและเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง…หยาดน้ำตาเม็ดใสก็พลันไหลรินลงอาบแก้มนวลอย่างควบคุมไม่ได้ “ข้าทนมามากพอแล้ว...ซือซือ ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ” น้ำเสียงหวานเปล่งออกมาอย่างสะอื้นแฝงความอ่อนล้าทุกถ้อยคำ “เสี่ยวหรัน...” เมิ่งซือซือเรียกพลางชื่ออีกฝ่ายเสียงเบาด้วยความเห็นใจ นางพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “…” นางทนไม่ไหวแล้ว สามปีที่ผ่านมานับว่าความอดทนของนางสิ้นสุดลงแล้ว หากเป็นสตรีที่เขารักไม่ว่านางจะทำอย่างไรล้วนอยู่ในสายตาทว่านางไม่ใช่…ไม่ว่าจะทำสิ่งใดไปล้วนไร้ค่าทั้งสิ้น จวนสกุลไป๋มิใช่สกุลสูงศักดิ์อันใด…เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น แต่ทว่านายท่านไป๋นั้นกลับมีนิสัยโลภมาก เสเพลและมีภรรยามากมายยิ่งกว่าตระกูลเศรษฐีเสียอีก มิหนำซ้ำแล้ว เหล่าภรรยาทั้งหลายต่างคล้ายกับประสานใจให้กำเนิดเพียงบุตรสาวเท่านั้นจนเต็มจวน ไร้เงาของบุตรชายไว้ให้ชื่นใจสืบสกุลแม้สักคนเดียว พอหลายปีผ่านไป…ความหนุ่มแน่นของนายท่านไป๋ก็โรยรา เงินทองเริ่มร่อยหรอ เหล่าภรรยาในจวนเริ่มกลายเป็นภาระมิใช่ทรัพย์สมบัติให้ชื่นชมอย่างเคยและหากไม่ขายลูกสาวกินค่าสินสอดแล้วจะให้ทำเช่นไร…!? ไป๋เสี่ยวหรันเป็นบุตรสาวคนโตย่อมไม่อาจปฏิเสธได้จึงกลายเป็นคำตอบเหมาะสมในยามที่นายท่านไป๋ต้องการเงินก้อนโต ปลายยามซวี (19.00 – 21.00 น.) บรรยากาศยามค่ำคืนมืดมิดอันเงียบสงัด มีสายลมเย็นโชยผ่านใบไม้พลิ้วไหวจนเกิดเสียงกรอบแกรบแผ่วเบาทว่ากลับฟังดูวังเวงนัก ผ้าม่านสีอ่อนพลิ้วไสวตามแรงลมราวกับสะท้อนความรู้สึกปั่นป่วนที่อัดแน่นอยู่ในอกของนาง ไป๋เสี่ยวหรันทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำ นัยน์ตาเมล็ดเรียบนิ่งอย่างเหม่อลอยราวกับกำลังคิดไตร่ตรองสิ่งใดอยู่เงียบๆ ใบหน้างดงามสะท้อนแสงจันทราอ่อนจางฉายแววขุ่นมัวออกมาอย่างชัดเจน ตึง... ตึง... จู่ๆ ในจังหวะเดียวกันนั้นมีเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสะท้อนก้องมาจากหน้าเรือนอย่างแผ่วเบาก่อนจะใกล้เข้ามา…ก่อนที่เพียงชั่วพริบตาเดียว บานประตูไม้ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง !!! ไม่ต้องหันไปมอง นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด “…” ไป๋เสี่ยวหรันยังคงนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังเสียงจากข้างนอก เซี่ยเว่ยหลงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด สายตาคมกริบตวัดมองมายังร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลันดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งห้อง “อยากหย่ากับข้างั้นหรือ…” หึ!...ที่แท้ก็เร่งรีบมาเพราะเรื่องนี้ ไป๋เสี่ยวหรันไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย นางหลุบตาลงต่ำก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากท่านไม่คิดเลี้ยงดูอาหยวนในฐานะบุตรชายเช่นนั้นพอหย่าแล้ว ข้าจะพาเขาไปด้วยและไม่หวนกลับมารบกวนหรือเรียกร้องอันใด” ทว่ายังไม่ทันได้สิ้นสุดคำพูด เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยแทรกออกไปคล้ายกลับใจร้อน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม กลิ่นอายทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว สายตาคมกริบดูลึกล้ำยากเกินจะคาดเดาได้ “มีเหตุผลอันใด” แท้จริงแล้วเพราะเหตุใดกัน…!? เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย ไม่มีเรื่องของสตรีอื่นให้ต้องรำคาญใจและยิ่งกว่านั้นแล้วจวนสกุลเซี่ยไม่เคยขัดสนเงินในมือด้วยซ้ำ เพราะเหตุใดนางถึงกล้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขา! ไป๋เสี่ยวหรันค่อยๆ หันกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งพลันสบเข้ากับดวงตาคมกริบอย่างบังเอิญ “แม้ข้าและท่านจะเป็นสามีภรรยากันแล้วอย่างไร ทว่าความสัมพันธ์กลับห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีกนายท่านเซี่ย” “…” เซี่ยเว่ยหลงพลันสบเข้ากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีก่อนที่หัวคิ้วของเขาจะขมวดมุ่นงุนงง ท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน…!? แววตาที่ทอดมองมายังเขานั้น…ไร้ความโกรธหรือเกลียดชัง มีเพียงความว่างเปล่าที่เจือด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเท่านั้น เซี่ยเว่ยหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพลางกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว สายตาคมกริบวูบไหวก่อนจะเรียบนิ่งเย็นชาดังเดิม “เหอะ! กำลังประชดประชันคิดเรียกร้องความสนใจจากข้าอยู่งั้นหรือ” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นางได้ยินถ้อยคำนี้แล้วพลางหัวเราะเบาๆ ทว่าเจือไปด้วยความเหนื่อยล้าและขมขื่น “ประชดไปเพื่ออันใดเล่า ในเมื่อท่าน...ไม่เคยแม้แต่จะมองเห็นข้าเลยด้วยซ้ำ” เช่นนั้นก็มีแต่ไร้ประโยชน์… “ไป๋เสี่ยวหรัน!” เซี่ยเว่ยหลงกัดฟันกรอด ตวาดเสียงดังก้อง ดวงตาคมกริบฉายแววความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างชัดเจน มุมปากหนากระตุกยกยิ้มร้าย “หึ! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าหย่า!” เขาไม่มีทางยอมปล่อยนางไปง่ายๆ อย่างไรเหตุผลแน่! “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต...เซี่ยเว่ยหลง ข้าต้องการเพียงแค่ให้ท่านลงบนกระดาษเท่านั้น” ไป๋เสี่ยวหรันหรือจะเกรงกลัวบุรุษผู้นี้ ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อย จ้องสบตาของเขานิ่งๆ อย่างไม่ลด “หากเจ้าจะไปจากข้าได้ก็ต่อเมื่อกลายเป็นร่างไร้วิญญาณเท่านั้นไป๋เสี่ยวหรัน!” นางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่คล้ายกำลังอดกลั้นสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกมานานหลายปี นัยน์ตาคู่งามนิ่งเย็นชาราวกับหิมะแรกยามเหมันต์ “เซี่ยเว่ยหลง” น้ำเสียงหวานเรียกแผ่วเบา ไป๋เสี่ยวหรันระบายยิ้มจางๆ หาได้หวาดหวั่นต่อคำขู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย “ที่ผ่านมาข้าอดทน ไม่เคยพร่ำบ่นสิ่งใดหรือตั้งคำถามอันใดให้มากความ ยิ่งกว่านั้นยังทำตัวเป็นภรรยาที่ดีเพราะข้ายังมีหวังว่าวันหนึ่งท่านอาจจะหันมามองเห็นข้าบ้าง” น้ำเสียงของนางราบเรียบเฉยแต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและขมขื่นทุกถ้อยคำ “ทว่าสุดท้าย…ความพยายามตลอดสามปีของข้านั้นไร้ค่า ไม่อาจแม้แต่จะแลกกับหนึ่งในสายตาท่านได้เลยเซี่ยเว่ยหลง” นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะยึดเหนี่ยวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว “…” เซี่ยเว่ยหลงยังคงนิ่งงัน สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดเจื่อนลงทันที สายตาคมกริบวูบไหวพร้อมกับความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในอก เขาไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มากก่อน…นัยน์ตาคู่งามที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเช่นนี้ เซี่ยเว่ยหลงรู้สึกคันยุบยิบในอกไม่น้อย ไป๋เสี่ยยวหรันสบตามองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีพลางลุกขึ้นเดินจากไปหยุดยืนริมเตียงทันที “นี่ก็ดึกมากแล้ว หากท่านไม่ต้องการจะนอนร่วมเตียงกับข้าเช่นนั้นก็เชิญดับตะเกียงแล้วออกไปเถิด” นางเอ่ยออกมาหาได้มีความเว้าวอนหรือยื้อรั้งอีกต่อไป “ไล่ข้างั้นหรือ” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วเอ่ยถามหลังจากเงียบอยู่นานครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำอย่างไรออกมา “ข้าเหนื่อยแล้วเซี่ยเว่ยหลง” ไป๋เสี่ยวหรันก้าวขึ้นเตียงทั้งยังล้มตัวนอนตะแคงหันไปอีกฝั่งทันที นางไม่คิดแม้แต่จะปรายสายตาหันไปมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ นางเหนื่อยเหลือเกิน…หลายวันผ่านไป…สุดท้ายแล้วก็เป็นดั่งที่นางคาดไว้ไม่มีผิด…เซี่ยเว่ยหลงแย่งบุตรชายไปไว้ในความดูแลของเขาอย่างเด็ดขาด ซ้ำยังพรากแม่และลูกให้ต้องแยกจากกันราวกับเป็นคนแปลกหน้านางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยปากคัดค้านและยิ่งไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้บุตรชายอย่างปรารถนาเพียงเพราะหนังสือหย่าแผ่นนั้น…แม้จะยังอยู่ในจวนแล้วอย่างไร ทว่าอาหยวนกลับถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนของเซี่ยเว่ยหลง หากนางต้องการพบบุตรชายเพียงสักครั้ง ก็ต้องรอให้เขายินยอมเท่านั้น“เฮ้อ…” ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าย่ำแย่ สายตาเต็ทไปด้วยความขื่นขมอย่างปิดไม่มิดนายท่านก็ช่างใจร้ายใจดำนัก!ถึงขั้นกล้าพรากบุตรและมารดาออกมาจากกัวเชียวรึ!?ซือหรูที่อยู่ไม่ห่าง นางเห็นผู้เป็นนายหญิงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีบางสิ่งถ่วงแน่นในอก จากนั้นจึงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย“ฮูหยิน…จะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ…”ความจริงแล้ว นางรู้สึกยินดีอยู่ไม่น้อยตอนเห็นฮูหยินได้รับใบหย่าเสียที….คิดว่าสวรรค์คงเมตตาเห็นใจในความอดทนและเจ็บปวของนายหญิงที่ต้องทุกข์ทรมานมายาวนานจะสิ้นสุดลงเสียทีทว่า…นี่มันอะไรกัน!ยังไม่ท
บรรยากาศภายในห้องพลันถูกปกคลุมด้วยความเงียบงัน อาหยวนที่กำลังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ในอ้อมแขนมารดาพลันสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงดังตวาดลั่นดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆ แดงก่ำมีหยาดสีน้ำใส เอ่อคลอขอบตา ริมฝีปากน้อยๆ เบะลงทันที“ฮือ…ฮึก…แม่…!” อาหยวนร้องไห้ออกมาทันที น้ำเสียงร้องไห้สะอื้นแผ่วเบา เขาพลางซุกหน้าเข้ากับอกของมารดาอย่างหวาดกลัว!!!ไป๋เสี่ยวหรันตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นอาหยวนร้องไห้ ใบหน้าคนงามเจื่อนลงฉายแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจน นางรีบกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนจะลูบหลังบุตรชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลม“ไม่เป็นไรเซี่ยเจิ้นหยวน…ไม่มีอะไรต้องกลัว”“ฮึก…!” ทว่าเด็กน้อยยังคงเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่หยุดและไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงง่ายๆหยาดน้ำตาเม็ดใสไหลอาบแก้มอย่างท่วมท้นนางพลันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจากนั้นจึงโน้มหน้าลงพลางเอ่ยกระซิบปลอบบุตรชาย “แม่อยู่นี่แล้ว อาหยวน…” น้ำเสียงหวานแผ่วเบานุ่มนวลเต็มไปด้วยความห่วงใยเด็กน้อยซบใบหน้าลงอกจนเปียกชุ่ม อาหยวนค่อยๆ เงยหน้ามองมารดาผ่านมารดาน้ำตา “อึก!...”“ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แน่”
เมื่อตอนเช้าตรู่วันนี้ ไป๋เสี่ยวหรันยังนอนหลับอยู่บนเตียง ทว่าเสียงเรียกอย่างร้อนรนของสาวใช้ดังขึ้นหน้าห้องพลันทำให้นางสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นระส่ำ คิดไปก่อนแล้วว่าอาจเกิดเรื่องร้ายกับอาหยวนแน่แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น…ซือหรูสาวใช้คนสนิทของนางกล่าวรายงานด้วยใบหน้าตื่นตระหนกว่ามีคนจากเรือนของเซี่ยเว่ยหลงนำหนังสือหย่ามาส่งให้แม้ว่าไป๋เสี่ยวหรันยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นแต่มว่าพอได้ยินว่า หนังสือหย่า…นางรู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาทันทีก่อนจะรีบก้าวลงจากเตียงแล้วตรงเข้าไปหยิบกระดาษมาเปิดดูอย่างรวดเร็วเมื่อคืนที่ผ่าน เซี่ยเว่ยหลงรับปากว่าจะปล่อยนางไปพร้อมกับเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้แต่แล้วอย่างไรกลับมีข้อแม้ปรากฏชัดเจนบนหน้ากระดาษหากต้องการจากไปก็ให้ไปได้เพียงแต่ตัวเท่านั้น ห้ามนำสิ่งใดติดออกไปจากจวนเซี่ย…แม้กระทั่งบุตรชาย!นางเป็นมารดาจะกล้าทิ้งบุตรชายได้อย่างไร!แท้จริงแล้วเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้เมามายจนไร้สติหรอกหรือ…!?พอนึกถึงตรงนี้ หัวใจของไป๋เสี่ยวหรันกระวูบรู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย นางไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า…เซี่ยเว่ยหลงต้องการรั้งนางไว้เพราะ
เซี่ยเว่ยหลงเดินเอามือไพล่หลัง ตรงไปยังศาลาริมสระบัว ใบหน้าหล่อเหล่านิ่งเฉยไร้อารมณ์ทว่าดวงตาคมกริบกลับฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพียงแค่เขาก้าวเท้าออกจากจวนไปยังไม่ทันไร นางก็เชิญทั้งบุรุษและสหายมาพูดจาโอ้อวดว่าตนเองหย่ากับเขาแล้วอย่างงั้นรึ…!?หางตาของเซี่ยเว่ยหลงกระตุกริกๆ มาตลอด มิหนำซ้ำภายในใจยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจากเหตุการณ์เมื่อคืนและพอยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องโวยวายของสตรีและน้ำเสียงทุ้มของบุรุษที่ไม่คุ้นหูก็ยิ่งกระตุ้นความไม่พอใจให้เดือดดาลยิ่งขึ้นไปอีกเซี่ยเว่ยหลงปรายสายตาเย็นชามองอดีตภรรยาหมาดๆ เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากกระตุกโค้งเหยียดยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเอ่ยออกมาเสียงเรียบทว่ากลับเต็มไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมทั้งสิ้น “หึ! เพิ่งหย่ากับข้าไม่ทันไรก็พาบุรุษอื่นเข้าจวนมาอวดกันถึงที่แล้วงั้นหรือ”จางเหวินเดินตามหลังมาติดๆ แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วหันขวับมองอีกฝ่ายตาขวางทันทีบุรุษผู้นี้…เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!“เซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินขึ้นเสียงดังทันทีท่าทางขุ่นเคืองที่เหมือนถูกทอดทิ้งมาตลอดทั้งวันของอีกฝ่ายพลันหายหมดไปสิ้น
“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า