“พ่อ!”
นิ้วมือเล็กอวบของเด็กน้อยชี้ไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ระหว่างทางเดิน ใบหน้าเล็กแย้มยิ้มกว้างเสียจนตาหยี ทั้งยังเปล่งเสียงใสเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจเกินจะกักเก็บไว้ “พ่อ!” “พ่อ!” ชู่ว์~~ “อาหยวน...เบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่” ไป๋เสี่ยวหรันเอ่ยพลางลูบหลังลูกชายเบาๆ หวังกล่อมให้เจ้าตัวน้อยสงบเสียงลง “ป๋อ! พ่อ!!” !!! ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์… ไป๋เสี่ยวหรันถึงกับสะดุ้งอีกครั้ง ราวกับว่ายิ่งนางห้ามปราม บุตรชายในอ้อมแขนก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิมจนดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ เหล่าสาวใช้ต่างปรายสายตาหันมามองเป็นตาเดียวกัน เซี่ยเจิ้นหยวนในอ้อมกอดมารดาพลันหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีด้วยความสนุกสนาน “พ่อๆ!” นางหันไปมองบุตรชายด้วยสายตาเอ็นดูแฝงความหนักใจเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบใกล้หูอาหยวนด้วยน้ำเสียงหวานพลางข่มขู่ “หากเจ้าเอาแต่ร้องเสียงดังเช่นนี้...แม่เกรงว่าบิดาของเจ้าคงจะไม่พอใจเอาได้ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้แน่อาหยวน” ใบหน้าเล็กของเด็กน้อยขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจคล้ายกำลังถูกขัดใจ ทั้งแววตาและนิ้วมือยังคงยืนยันหนักแน่นชี้ไปยังบุรุษในห้องโถงใหญ่อย่างไม่ลดละ จากนั้นจึงเหลียวกลับมามองมารดา “พ่อ!” ไป๋เสี่ยวหรันถึงกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่กลับความดื้อรั้นของบุตรชายก่อนจะจับมือน้อยๆ ของบุตรชายให้ลดลง “ใช่แล้ว...บุรุษผู้นั้นคือบิดาของเจ้า” เซี่ยเจิ้นหยวนพยักหน้าอย่างมั่นใจ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “พ่อ! พ่อ...ข้า!” ดูท่าแล้วบุตรชายของนางคงไม่คิดจะยอมแพ้หรือล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ แน่ ไป๋เสี่ยวหรันพลางกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปอีกทางแทน นางพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เอาเถิด…ดูท่าแล้วเจ้าจะง่วงงุนไม่น้อย มิสู้เรากลับจวนไปดื่มนมอุ่นๆ และนอนบนเตียงนิ่มๆ ดีกว่าหรือไม่” เกรงว่า...หากอาหยวนยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วเช่นนี้อีก บุรุษผู้นั้นคงหน้าตึงคิ้วขมวดมุ่นมาหาเรื่องนางไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ แม้ว่าอาหยวนจะเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเซี่ยเว่ยหลงแล้วอย่างไรเล่า…เขาหาได้สนใจสิ่งใดนอกจากตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เขาไม่เคยอุ้มหรือเอ่ยคำใดที่แสดงถึงความรักใคร่ออกมาแม้เพียงน้อยนิดและในทางกลับกันนั้น…ไม่ว่าสีหน้าหรือท่าทีกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน ไป๋เสี่ยวหรันมองดูบุตรชายที่ไร้เดียงสาเติบโตขึ้นท่ามกลางความเย็นชาของบิดา…นางปวดใจไม่น้อย และยิ่งกว่านั้นแล้ว นางไม่สามารถทนมองอาหยวนต้องผิดหวังในสิ่งที่ควรได้รับจากบิดามิใช่เรียกร้องราวกันคนแปลกหน้า “ไม่!” อาหยวนพลันส่ายหน้าอย่างเอาแต่ใจ ภายในใจของเขายังคงอยากอยู่กับบิดาไม่น้อยแต่ทว่ากับไม่เคยได้รับโอกาสนั้น “อาหยวน…” ไป๋เสี่ยวหรันกดเสียงต่ำ ดวงตาคู่งามจ้องมองบุตรชายในอ้อมแขนตาเขม็ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากเจ้าเป็นเด็กดื้อไม่ยอมฟังเช่นนี้…แม่จะไม่รักอาหยวนแล้ว” ราวกับว่าคำขู่นี้สามารถทำลายความดื้อรั้นของอาหยวนลงได้ในพริบตา ริมฝีปากเล็กเบะลงทันที “อึก…” เหตุใดมารดาถึงได้กีดกันเขาออกจากบิดา…!? ดวงตาเล็กๆ ของเซี่ยเจิ้นหยวนสั่นระริกคล้ายจะร้องไห้ ไป๋เสี่ยวหรันเม้มปากแน่นก่อนรีบเบือนหน้าหันหนีไปทางอื่นแทน นางไม่อาจทนมองท่าทีเสียใจของบุตรชายได้จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่แฝงความเด็ดขาดเอาไว้ “อย่าได้ร้องไห้ออกมาอันขาด…เป็นบุรุษไม่ควรยินยอมให้น้ำตาไหลออกมาง่ายๆ” “ฮึก!...” อาหยวนเงียบไปทันที เขาพลางซุกใบหน้าน้อยๆ ลงบนอกของมารดาคล้ายกำลังออดอ้อน เขารักมารดายิ่งกว่าสิ่งใด และหากวันใดนางบอกว่าไม่รักเขาอีกแล้ว…คงได้ร่ำไห้จนแทบขาดใจแน่แท้ “เป็นเด็กดีเช่นนี้…แม่จึงจะรักเจ้าให้มาก” ไป๋เสี่ยวหรันพูดเสียงแผ่วเบา พลางลูบศีรษะของบุตรชายเบาๆ อย่างอ่อนโยน ในขณะเดียวกัน บรรยากาศอีกฝั่งภายในห้องโถงกลับเงียบงันราวกับไร้ผู้คน ไม่มีแม้แต่ผู้ใดกล้าจะเอ่ยออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ เมื่อมองเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเลยสักนิด สายตาคมกริบดูลึกล้ำ ใบหน้าหล่อเหล่าเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ ปรากฏออกมา… ภายใต้ความเงียบนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าบุรุษตรงหน้ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ นางคิดจะทำอันใดกันแน่…? เรียกร้องความสนใจอยู่รึ!? เซี่ยเว่ยหลงจ้องมองไปยังสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ด้านนอกห่างออกไปไม่ไกล เขาทอดสายตาเพ่งมองนานอยู่ครู่หนึ่งทว่ากับไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมา “…” “เหอะ!” ท่ามกลางความเงียบที่เต็มไปด้วยความอึดอัดและกระอักกระอ่วนเป็นจางเหวินที่แค่นเสียงขึ้นมาอย่างดูแคลน เขาพลางเหลือบสายตามองตามบุรุษตรงหน้าผู้นี้จากนั้นจึงละปรายมองไปทางนั้นเช่นเดียวกัน มุมปากหนาพลันเหยียดยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยันทันที เห็นได้ว่าสายตาของเซี่ยเว่ยหลงกำลังจับจ้องมองภรรยาและบุตรชายอยู่ จางเหวินพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา มองดูแล้ว…ในสายตาของคนผู้นี้ ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนมีความสำคัญมากเพียงใด แต่ไฉนกลับโง่งมทึ่มทื่อไม่รู้จักถนุถนอมเอาไว้กันเล่า..!? “หากจะมองไม่กระพริบตาเช่นนี้…ไฉนไม่เดินไปเสีย” พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้น เซี่ยเว่ยหลงได้สติคืนมาก่อนจะละสายตาหันกลับมามองสหายแทน “เสียงดังน่ารำคาญเอาแต่เรียกร้องความสนใจไม่หยุด” เขาเอ่ยเสียงเรียบหาได้รู้สึกอันใด จางเหวินได้ยินแล้วจึงหัวเราะร่อออกมาก่อนจะพูดด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงประชดประชันอีกฝ่าย “เหอะ! เช่นนั้นก็รีบๆ ลงนามหย่าให้นางเสียอย่าได้ยืดเยื้อเสียเวลา เช่นนั้นแล้วจวนสกุลเซี่ยคงเงียบสงบน่าอยู่มากกว่านี้” “หย่างั้นหรือ…?” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย้ยหยัน มุมปากหนากระตุกยกยิ้มร้าย สายตาคมกริบดูเย็นยะเยือกมิต่างจากก้อนน้ำแข็ง “แม้แต่ความตาย...ก็พรากนางไปจากข้าไม่ได้” ให้เขาปล่อยให้นางไปงั้นหรือ? ไม่มีวัน!...หากเขาไม่อนุญาตต่อให้จะเป็นสวรรค์หรือปรโลกก็อย่าหวังจะเอานางไปจากเขาได้! “เพ่ย! แท้จริงเจ้าต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่เซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินอดกลั้นไม่ไหวจนต้องสบถออกมา น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความโกรธเคืองคับแน่นในอกอย่างชัดเจน หลานชายของเขาช่างน่าสงสารเสียจริงที่บิดาเช่นนี้! “ยามนั้น...จวนสกุลเซี่ยเสียเงินทองไปไม่น้อยเพื่อสู่ขอสตรีเพียงผู้เดียว ข้าจะยอมขาดทุนโดยไม่ได้อะไรเลยน่ะหรือ” น้ำเสียงของเขานิ่งเฉยแต่มันกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน นับตั้งแต่วันนั้น…ชีวิตนางเป็นของเขาแล้วผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่า…เมิ่งหานเฟิ่งผู้เป็นพี่ชายของนางจะตกหลุมรักไป๋เสี่ยวหรันเข้าอย่างจังเมิ่งซือซือทอดสายตาจ้องแผ่นหลังกว้างของเมิ่งหานเฟิ่งอยู่นานครู่หนึ่ง นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองเงียบๆ พลันปล่อยให้ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวไปมาอย่างไม่อาจควบคุมแต่ทว่าเมิ่งหานเฟิ่งกลับนิ่งราวกับรูปปั้น มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและดูจากท่าทางแล้ว…เขาคงไม่รู้เสียด้วยซ้ำกระมังว่านางกำลังยืนมองอยู่หลายวันแล้วที่บรรยากาศในจวนสกุลเมิ่งเงียบสงบเกินควรและยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งหานเฟิ่งกลับมีทีท่าซึมลงในแต่ละวัน เงียบงันจนคนในจวนเริ่มสังเกตเป็นกังวลอยู่มาก“เข้าไปดูอาการพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะซือซือ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมิ่งฮูหยินกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ นางละสายตาจากบุตรชายก่อนจะปรายหันมามองบุตรสาวข้างกายอย่างวิงวอนนับตั้งแต่ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนตัดสินใจกลับไป…ไม่ว่าผู้ใดในจวนต่างรู้สึกใจหายทั้งสิ้นทว่าบุตรชายของนางดูเหมือนจะมากไปเสียหน่อย…เมิ่งฮูหยินมองแวบเดียวก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้แล้วว่า…มีใจรักใคร่ลึกซึ้งต่อแม่นางไป๋เสี่ยวหรันแน่เมิ่งซือซือพยักหน้าหงึกๆ พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจ
บรรยากาศภายในจวนสกุลเซี่ยเงียบงันอึมครึมไร้ชีวิตชีวานานหลายวันนับตั้งแต่ฮูหยินและคุณชายน้อยได้จากไปพร้อมกับหนังสือหย่า...ภายหลังจากนั้นมาอารมณ์ของนายท่านก็แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนปลายฤดูใบไม้ผลิเสียอีกเหล่าสาวใช้ในจวนต่างอยู่กันหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปแม้แต่สักครึ่งคำราวกับว่าสวรรค์ยังเมตตา...ยามนี้ฮูหยินและคุณชายน้อยปรากฏอยู่ตรงหน้าในจวนอีกครั้ง พวกนางมองเห็นแล้วล้วนแต่ตื่นตระหนกตกใจกันทั้งสิ้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำใดออกมา นอกเสียต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกคล้ายก้อนหินที่ทับอยู่ในอกมานานถูกยกออกแท้จริงแล้ว…นายท่านเซี่ยก็หาได้เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งหรือไร้หัวใจไม่รู้สึกอันใด เพียงแต่ไม่รู้จักวิธีถนอมสตรีเท่านั้น…จนกระทั่งสูญเสียไปจึงค่อยรู้ความสำคัญของฮูหยินว่ากันตามตรงแล้ว พวกนางต่างพากันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะตามฮูหยินและคุณชายน้อยกลับมาจนได้ฮูหยินถึงขั้นตัดสินใจหนีออกไปอย่างแน่วแน่เช่นนี้…มองดูแล้วคงไม่ง่ายแน่ทว่าวันนี้…นานท่านเซี่ยพาคนทั้งคู่กลับมาได้แล้วไป๋เสี่ยวหรันหวนกลับมายังจวนสกุลเซี่ยอีกครั้ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ สา
“ไม่ได้ขอรับ! นายท่านได้โปรดกลับไปเถอะ” น้ำเสียงทุ้มของคนงานชายเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจอยู่มาก แท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่านายท่านเซี่ยผู้นี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงได้เร่งเร้าให้เปิดประตูจวนอยากจะเข้าไปนัก เขาเองก็ลำบากใจอยู่มาก…หากผู้เป็นนายไม่ออกคำสั่ง เขาจะทำอันใดได้ เซี่ยเว่ยหลงยืนนิ่ง สายตาคมกริบเพ่งมองบานประตูจวนที่ยังคงปิดสนิท เขาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่หาใช่เพราะความโกรธทว่ากลับเป็นความเหนื่อยล้าในใจ นึกไม่ถึงว่าหลังจากวันนั้นที่เขาถูกขับไล่ออกมา…ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าพอหวนกลับมาอีกครั้ง จวนสกุลเมิ่งจะปิดประตูสนิทต่อให้มีเรื่องเร่งด่วนเพียงใดก็ให้คุณชายเมิ่งเป็นผู้ตัดสินใจ เหอะ! หากรอให้บุรุษผู้นั้นตัดสินใจ เขาไม่ผมหงอกหัวขาวโพลนไปทั้งหัวหรอกหรือ…!? “ข้ามาตามภรรยา…” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ สายตาคมกริบยังคงจ้องมองบานประตูจวนที่ปิดสนิท เขาคิดว่าอย่างไรแล้ว…นางคงอยู่ข้างหลังไม่ยอมออกมาเป็นแน่ “อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ!” ทว่าคนงานผู้นั้นยังคงตอบเสียงหนักแน่นและแน่วแน่ เดิมทีเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้มีความอดทนมากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เขาก็คงไม่ต้องแบกหน้าอดทนรอคอยอย่างใจเย็
ยามพลบค่ำ จู่ๆ ฝนกลับตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักโดยไม่ได้บอกกล่าวราวกับว่าพายุห่าใหญ่ได้แผ่ไปทั่วผืนฟ้า ทั้งที่ตลอดวันยังมีแสงแดดยังส่องสาดส่องไปทั่วบริเวณจนอากาศอบอ้าวแทบหายใจไม่ทั่วท้องแต่เพียงชั่วพริบตา…ท้องฟ้ากลับถูกเมฆครึ้มบดบังจนไร้แสงอาทิตย์ สายลมเย็นเฉียบพัดโชยมาพร้อมกลิ่นฝนที่เคล้าโชยมากับหยาดน้ำสีใสนับพันสายไป๋เสี่ยวหรันยืนอยู่ใต้ชายคา เงยหน้ามองหยาดเม็ดฝนที่รินไหลลงเทจากขอบหลังคาอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาคู่งามดูราบเรียบแต่กลับแฝงความเศร้าและหม่นหมองเอาไว้อย่างปิดไม่มิดนี่ก็ผ่านมาแล้วสองสามวัน…นับตั้งแต่เซี่ยเว่ยหลงบุกมานางถึงจวนสกุลเมิ่งโดยไม่ทันตั้งตัวแม้ว่านางจะเป็นฝ่ายขับไล่เขาไปแล้วอย่างไร แต่ภายในใจของไป๋เสี่ยวหรันกลับปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ยากจะสลัดทิ้งไปได้…น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาแฝงด้วยความอ่อนโยนและเจือไปด้วยความรู้สึกผิดยังคงวนเวียนดังก้องอยู่ในหูของนางซ้ำๆเพื่อนางแล้ว…เซี่ยเว่ยหลงยินยอมทำเพียงนี้เลยหรือ!?“เสี่ยวหรัน…”“…”“ไป๋เสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงของเมิ่งซือซือดังขึ้นกว่าเดิมแข่งกับเสียงฝน นางยื่นมือออกไปแตะไหล่ของไป๋เสี่ยวหรันอย่างแผ่วเบาพลันทำให้อีกฝ่าย
อวิ๋นเออร์เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…นางพลันหยุดชะงักไปชั่วขณะคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าคนงามเจื่อนลงทันที“ท่าน...หมายความว่าอย่างไรกันเว่ยหลง” น้ำเสียงหวานของนางสั่นเครือเจือไปด้วยความสับสนยามนี้นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเซี่ยเว่ยหลงถึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมาเขาสมควรจะยินดีใจมิใช่หรอกหรือ…!?นางละทิ้งทุกสิ่งและกำลังจะหย่าสามีเพื่อย้อนคืนมาหาเขา มายืนเคียงข้างเขาดังเช่นในอดีต แต่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเท่านั้นจางเหวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาปรายมองเซี่ยเว่ยหลงที่ยืนนิ่งสงบ สายตาคมกริบเรียบเฉยไร้ความโกรธเกรี้ยวหรือยินดีแม้แต่น้อยเซี่ยเว่ยหลงทอดสายตามองผ่านสตรีตรงหน้าออกไปราวกับมองไม่เห็น เขาค่อยๆ ละสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่น“ความหมายของข้านั้น…ฮูหยินได้โปรดกลับไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนเถิด เรื่องบางอย่างหากตัดสินใจลงไปแล้วย่อมไม่อาจย้อนคืนมาแก้ไขได้อีก” เซี่ยเว่ยหลงเข้าใจลึกซึ้งแล้ว…ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น อวิ๋นเออร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เซี่ยเว่ยหลง…ข้าและท่
เมิ่งหานเฟิ่งเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ามือหนายื่นออกไปเกลี่ยเรือนผมที่พลิ้วปิดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบหลุบต่ำมองสตรีตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำเขาย่อมมองออกว่าสตรีตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกันแน่“มีผู้ใดบ้างหากต้องการสิ่งใดแล้วจะไม่เห็นแก่ตัว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “ข้าเองก็อยากจะเห็นแก่ตัวให้มากกว่านี้…อยากจะเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ยอมให้กลับไปอีกไป๋เสี่ยวหรัน”หากเขาทำเช่นนั้น รั้งนางเอาไว้จะเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่เมิ่งหานเฟิ่งไม่ได้ตาบอดจนมองไม่ออกว่า…ข้างในหัวใจของไป๋เสี่ยวหรันนั้นยังคงมีเซี่ยเว่ยหลงอยู่เต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำคนทั้งคู่ยังมีสายใยร่วมกันคือบุตรชายหนึ่งคนต่อให้ตัดใจก็ใช่ว่าจะตัดขาดได้จริงพอได้ยินถ้อยคำนั้น ไป๋เสี่ยวหรันก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคู่งามช้อนสบกับเมิ่งหานเฟิ่งพอดี “คุณชายเมิ่ง” นางย่อมมองออกว่าเมิ่งหานเฟิ่งรู้สึกอย่างไรแต่ทว่า…“ขอโทษเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาแฝงด้วยรู้สึกผิดไม่น้อยในใจของนางไม่อาจเปิดที่ว่างให้ผู้ใดได้อีกยกเว้นเพียงคนผู้นั้น…เซี่ยเว่ยหลง ทั้งที่เขาเคยใจร้ายถึงเพียงนั้นแต่ทว่าเหตุใดนางถึงยังตัดใจจากเขาไม่ได