เมื่อได้ยินคำพูดนี้เป่ยเฉินหยวนก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเป็นไปได้ไหมว่าจะมีเรื่องใหญ่โตมโหฬารเกิดขึ้นภายในจวนเจิ้นกั๋วกงจริง ๆ?“หาเขาไม่พบก็ไม่เป็นไร ข้าได้ส่งคนไปสืบต่อแล้ว คิดว่าน่าจะได้รู้อะไรมากขึ้นในเร็ว ๆ นี้”เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมากมายการสืบหาข้อมูลแบบนี้เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาถึงจะเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงก็เหมือนกัน เว้นแต่จะฆ่าปิดปาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถปิดปากได้มากมายขนาดนั้นเช่นเดียวกับเรื่องที่เวินเยวี่ยและชุยเส้าเจ๋อถูกจับชู้ได้ในวันนี้ ต่อให้เวินเฉวียนเซิ่งจะสั่งการทุกคนไม่ให้แพร่งพรายออกไปในทันที แต่ข่าวก็ยังคงรั่วไหลออกมาเป็นไปตามคาดเมื่อถึงช่วงบ่ายในวันนี้ เกาเย่าก็มาหาเป่ยเฉินหยวนและเวินซื่อด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับข้อมูลที่สืบมาได้โดยตรง“ท่านอ๋อง ธิดาศักดิ์สิทธิ์! ข้าขอบอกกับพวกท่านเลยว่า เรื่องในจวนเจิ้นกั๋วกงนั่นมันน่าตื่นเต้นจริง ๆ!”“เรื่องนี้น่ะ ต้องเริ่มเล่าจากเรื่องที่คุณหนูหกสกุลเวินขโมยอีแปะสามสิบห้าพวงจากคุณชายรองสกุลเวิน…”ต่อมาเกาเย่าก็บรรยายด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ครบครัน โดยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จวนเจิ้นกั๋วกงใ
“จดหมายที่เวินจื่อเฉินมอบให้ข้าหรือ?”หลังจากเวินซื่อกลับจากที่ดินที่กุยอวิ๋นในวันรุ่งขึ้น ก็ได้รับจดหมายที่ศิษย์พี่หญิงท่านหนึ่งมาส่งต่อให้นางนางถือจดหมายกลับมาถึงเรือนเล็ก นั่งลงที่โต๊ะหินพลางฉีกซองจดหมาย คลี่กระดาษจดหมายออก บรรทัดแรกคือ...“สบายดีนะ เห็นตัวอักษรเสมือนได้พบหน้า”“แด่น้องหญิงผู้เดียว ยกโทษให้พี่รองด้วยที่ผิดสัญญา จำเป็นต้องไปทำงานในแดนไกล อาจจะสักปี หรือไม่ก็สองสามปี เวลานี้ไม่อาจอยู่ปกป้องเคียงข้างน้องหญิงได้ แต่หากมีเรื่องกังวลใจใด ๆ สามารถขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ได้ เมื่อเสร็จงานแล้ว พี่รองจะกลับมา ปกป้องน้องหญิงไปชั่วชีวิตโดยไม่บ่ายเบี่ยงเลย…น้องหญิงจงรักษาสุขภาพให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วง (เลือนราง)”สายตาของเวินซื่อจับจ้องไปที่ลายมือสองคำสุดท้ายที่เลือนรางไป ก่อนจะหลุบตาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไปก็ไปสิไม่ว่าด้วยเหตุผลใด นางไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันตั้งแต่แรกไปแล้วกลับดีกว่าเสียอีก จะได้ไม่ต้องขึ้นเขามารบกวนความสงบเงียบของนางบ่อย ๆเวินซื่อยัดจดหมายลงในซองอย่างลวก ๆ แล้วลุกขึ้นกลับเข้าไปในห้อง หลังจากรออยู่อย่างสงบเงียบเป็นเวลาหนึ่งวันวันต่อมา เป่ยเฉินหยวนนำ
ประเดี๋ยวก็แอบเชิญหมอมา ประเดี๋ยวก็เรียกสาวใช้มาทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เวินเยวี่ย หลังจากที่นางพันแผลบนใบหน้าเสร็จแล้ว ชุยเส้าเจ๋อถึงจะเข้าไปพบนาง“ท่านหมอ บาดแผลบนใบหน้าของน้องหญิงเยวี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอเฒ่ากล่าวว่า “บาดแผลของคุณหนูผู้นี้นอกจากจะเคยถูกทุบตีแล้ว ยังมีแผลเก่าที่ฉีกขาด บางส่วนร้ายแรงมาก คิดว่ายากที่จะรักษาให้หายขาดโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้”ชุยเส้าเจ๋อขมวดคิ้วทันที “ท่านหมอ รบกวนท่านช่วยคิดหาทางอีกทีเถอะ”หมอเฒ่าส่ายศีรษะ พลางถอนหายใจพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมคิด แต่นอกจะมียาหยกหิมะแบบในวัง ไม่เช่นนั้นข้าก็จนปัญญาเช่นกัน”ยาหยกหิมะหรือ?มีนะ!ก่อนหน้านี้เขาเคยส่งยาหยกหิมะของมารดาไปให้น้องเยวี่ยเอ๋อร์ ที่นางต้องยังมีแน่!ชุยเส้าเจ๋อเข้าไปถามเวินเยวี่ยทันที แต่เมื่อเวินเยวี่ยได้ยินคำพูดนี้ ก็เอ่ยอย่างน่าสงสารขึ้นมาทันที “พี่เส้าเจ๋อ ยาหยกหิมะเหล่านั้นที่ท่านส่งมาให้เยวี่ยเอ๋อร์ เยวี่ยเอ๋อร์ชอบมาก จึงนำออกมาใช้เป็นประจำ ก็เลย...ก็เลยใช้หมดแล้ว”“ใช้หมดแล้วทั้งสามขวดเลยหรือ?!”ชุยเส้าเจ๋อมองนางอย่างตกตะลึงเวินเยวี่ยน้ำตาหยดแหมะทันที พลางเช็ดหางตา
ทางด้านนี้เวินจื่อเฉินได้ออกเดินทางแล้วในขณะนี้จวนจงหย่งโหวที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังครื้นเครงเป็นอย่างมากเวลาย้อนกลับมาเมื่อสองชั่วยามที่แล้ว ขณะที่เวินเยวี่ยเพิ่งวิ่งออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกงเวินเยวี่ยที่กลัวว่าตัวเองจะถูกบิดาหาคนอื่นมาตบแต่งไปเป็นอนุภรรยาตามใจชอบ หลังจากออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงก็นึกถึงชุยเส้าเจ๋อทันที“ข้าจะไปหาชุยเส้าเจ๋อ! ข้าจะไปหาเขา!”ถูกต้องแล้ว ตอนนี้มีเพียงชุยเส้าเจ๋อเท่านั้นที่สามารถช่วยนางได้!เวินเยวี่ยเดินโซเซไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนจงหย่งโหวในขณะนี้ฟ้าสว่างแล้วเมื่อองครักษ์ด้านนอกประตูของจวนจงหย่งโหวเห็นเวินเยวี่ย มองปราดเดียวก็จำนางได้แล้ว“คุณหนูหกสกุลเวิน? นี่ท่านเป็นอะไรไป?!”ขณะนี้ใบหน้าของเวินเยวี่ยเต็มไปด้วยเลือด เนื้อตัวอยู่ในสภาพจนตรอก ทันทีที่เห็นคนของจวนจงหย่งโหวก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้นขึ้นทันที “รีบไปตามชุยเส้าเจ๋อมา! รีบไปตามพี่เส้าเจ๋อมาออกมาให้ข้าที! รีบไป!”องครักษ์ของจวนจงหย่งโหวรู้ถึงความรู้สึกของซื่อจื่อของตนที่มีต่อคุณหนูหกสกุลเวิน ดังนั้นทันทีที่พวกเขาได้ยินเวินเยวี่ยพูดเช่นนี้ ก็ไม่กล้ารอช้าแม้เสี้ยวนาที รีบเข้าไปเรียกชุยเส้า
“ตอนนี้สิ่งที่พี่ใหญ่กังวลมากที่สุดก็คือเจ้า หลังจากเจ้าออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงไป ก็ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ต่อให้ฝีมือของเจ้าจะดีเพียงใด แต่คนเดียวย่อมสู้หลายคนไม่ได้ ดังนั้นจงฟังคำของพี่ใหญ่ เจ้าจงออกจากเมืองหลวง ไปเข้าร่วมกองทัพ”พอได้ยินห้าคำสุดท้ายนั้น เวินจื่อเฉินก็เบิกตากว้างขึ้นทันที “พี่ใหญ่หมายความว่า ให้ข้าไปเข้าร่วมกองทัพหรือ?”“ถูกต้อง”เวินฉางอวิ้นโน้มตัวไปกระซิบข้างหูเขา กดเสียงให้ต่ำลง ไม่ทราบว่ากล่าวอะไรออกไป แต่แววตาลังเลของเวินจื่อเฉินพลันเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวในทันที“ข้าเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีอย่างแน่นอน”“อืม ไปเถอะ”เวินฉางอวิ้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะให้อันเซิ่งไปส่งเจ้าออกนอกเมือง เจ้าต้องไปภายในวันนี้เท่านั้น ชักช้าไม่ได้”เมื่อมีอันเซิ่งบ่าวคนสนิทของเขาอยู่ ท่านพ่อจะเกิดความเกรงใจอยู่บ้าง อย่างน้อยคงไม่ลงมือรวดเร็วนักเวินจื่อเฉินมองพี่ใหญ่ที่วางแผนการให้เขาอย่างรอบคอบ ขอบตาก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา “พี่ใหญ่ รอข้ากลับมานะ!”“ได้”“ดูแลน้องห้าให้ดีด้วย”“ได้”“รักษาสุขภาพด้วย”“ได้”แต่ละประโยค เวินฉางอวิ้นล้วนตอบรับเขา
เวินฉางอวิ้นคาดไม่ถึงเลยว่า บิดาของพวกเขาจะยังมีส่วนพัวพันกับเรื่องที่สกุลของท่านตาถูกลอบสังหารล้างตระกูลเมื่อครั้งนั้น!ทันใดนั้น เขาก็หายใจหอบถี่ ความรู้สึกอึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจอย่างรุนแรงก็ถาโถมเข้ามาทันที“พี่ใหญ่? พี่ใหญ่! ท่านเป็นอะไรไป? ท่านใจเย็นๆ ก่อน อย่าตื่นตกใจ ค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ !” เวินจื่อเฉินสังเกตเห็นความผิดปกติของเวินฉางอวิ้นในทันที รีบเข้าไปประคองคนให้ค่อยๆ นั่งลงรอจนกระทั่งเวินฉางอวิ้นพอทุเลาลงแล้ว เขาก็คว้ามือของเวินจื่อเฉินไว้แน่นทันที“ไป เจ้าไปเดี๋ยวนี้!”“น้องรอง จำคำพูดของพี่ใหญ่ไว้ ต่อไปนี้หากข้าไม่ได้เรียกเจ้ากลับมา เจ้าก็ห้ามกลับมาที่จวนนี้อีกเป็นอันขาด!”เวินฉางอวิ้นจับมือเขาไว้แน่น “รวมถึงน้องห้าด้วย ไม่ว่าเจ้าหรือนาง จงอยู่ให้ห่างจากจวนเจิ้นกั๋วกงให้ไกลที่สุด ห้ามผู้ใดกลับมาอีกเป็นอันขาด!”“แต่ว่าพี่ใหญ่ สมุดบัญชีเล่มนั้น...”เวินจื่อเฉินลังเลเวินฉางอวิ้นส่ายหน้า “ครั้งก่อนหลังจากที่เจ้าลอบเข้าไปในห้องหนังสือของท่านพ่อ ก็กระตุ้นให้เขาเกิดความระแวดระวังแล้ว ตอนนี้การป้องกันที่ห้องหนังสือเข้มงวดอย่างยิ่ง เจ้าคิดจะเข้าใกล้อีกครั้งย่อมเป็
เวินจื่อเฉินอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกเวินฉางอวิ้นยกมือขึ้นห้ามไว้เวินฉางอวิ้นส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อย แล้วส่งสัญญาณว่าตนจะเป็นผู้จัดการเอง“ท่านพ่อ การตัดสินใจของท่าน พวกเราไม่เคยเข้าใจได้เลย เหมือนกับตอนที่น้องห้าออกบวชเป็นชี ทั้งๆ ที่ท่านสามารถเหลือทางให้นางได้แท้ๆ แต่กลับยังขีดชื่อนางออกจากบันทึกลำดับญาติได้”เวินฉางอวิ้นเอ่ยถึงเวินซื่อต่อหน้าเขาโดยตรง ถ้อยคำอันแสนเรียบเฉยนั้น ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะเขานิ่งเงียบไปเพราะตอนนั้นเขามัวแต่ตามอกตามใจเวินเยวี่ยมากเกินไปจริงๆ จนถึงขั้นหลงเชื่อคำพูดบางอย่างของนาง ทำให้การจัดการเรื่องของเวินซื่อนั้นออกจะไร้เยื่อใยเกินไปอยู่บ้างแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยก็ตามแต่ใครจะไปรู้ว่า ชะตาฟ้าพลิกผัน วันนี้กลับมาถึงคราวของเวินเยวี่ยเสียเองจนกระทั่งเมื่อเวินฉางอวิ้นรื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมา เขาก็ถึงกับไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก“ท่านพ่อ ท่านก็ไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น อย่างไรเสีย ลูกก็ได้บอกไปแล้วว่า จะเห็นแก่หน้าท่านพ่อ ยอมให้เวินเยวี่ยได้ใช้สกุลต่อไปได้”“แต่ในทางกลับกัน ลูกก็หวังว่าพิธีเปลี่ยน
“ดูตัวเลือกคู่ครอง? ดูตัวอะไรกัน ข้าไม่ดู ข้าไม่ดู!”เวินเยวี่ยปฏิเสธอย่างไม่ลังเลท่านพ่อกำลังจะเพิกถอนสถานะบุตรบุญธรรมของนางแล้ว หากนางต้องดูตัวเลือกคู่ครองในตอนนี้ เช่นนั้นมิเท่ากับว่านางจะได้แต่งออกไปในฐานะบุตรนอกสมรสเท่านั้นหรือ!ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!“ท่านพ่อ อย่าทำเช่นนี้! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้วจริงๆ ท่านจะทุบตีหรือด่าทอข้าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว จะไม่ขัดคำสั่งของท่านอีกต่อไป ขอร้องท่านอย่าขับไล่ข้าไปเลยนะเจ้าคะ!”“พี่ใหญ่! ข้าขอร้องท่าน! ต่อให้เยวี่ยเอ๋อร์จะผิดมากมายนับพันนับหมื่นครั้ง เยวี่ยเอ๋อร์ยินดีรับโทษ ไม่ว่าพวกท่านจะลงโทษอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ขอร้องพวกท่าน โปรดเหลือทางรอดให้เยวี่ยเอ๋อร์ด้วยเถิด! เยวี่ยเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานจริงๆ ”“ไม่อยากแต่งงาน หรือไม่อยากแต่งออกไปในฐานะบุตรนอกสมรสกันแน่?”เวินจื่อเฉินแค่นเสียงหัวเราะเวินฉางอวิ้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เวินเยวี่ย เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองมีสถานะเช่นไร กว่าจะได้กลับมายังจวนเจิ้นกั๋วกงก็ยากเย็น ทั้งยังได้รับความเอ็นดูจากท่านพ่อ ท่านพี่ หรือแม้กระทั่งน้องห้า แต่เจ้ากลับโลภมากไม่รู้จักพอ ยังคิดเพ
เวินจื่อเยวี่ยอ้าปาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของพี่รองเมื่อครู่ เรื่องที่ว่า “เฆี่ยนตีศพเพื่อระบายแค้น” อะไรนั่น...น้องหกนาง ตอนนั้นนางคิดจะทำเช่นนั้นกับท่านแม่ของพวกเขาจริงๆ หรือ?“ฮือๆๆ พี่สาม...”เวินเยวี่ยมองไปที่เขาด้วยท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง หยาดน้ำตาผสมปนเปกับเลือดไหลอาบแก้ม สภาพทั่วทั้งร่างนั้น ดูน่าสังเวชจนแทบไม่อาจทนมองแต่เวลานี้ เวินจื่อเฉินกำหมัดแน่น ทั่วร่างแผ่ไอเย็นเยียบกดดันพลางเอ่ยขึ้นว่า “น้องสาม หากเจ้ากล้าเอ่ยปากแทนนางแม้แต่คำเดียว วันนี้ไม่เจ้าก็ข้าที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”ในท้ายที่สุด เวินจื่อเยวี่ยก็หลับตาลงแล้วหันหน้าหนีไปดับความหวังสุดท้ายของเวินเยวี่ยลงอย่างสิ้นเชิง“น้องหก เจ้าไม่ควรทำเช่นนั้นเลย”ต่อให้น้องหกจะเป็นคนวางยาเขา เขาก็ยังสามารถให้อภัยได้เพราะว่านั่นคือสิ่งที่เขาติดค้างน้องหกแต่นางไม่ควรแตะต้องร่างไร้วิญญาณของท่านแม่!เวินจื่อเยวี่ยในตอนนั้นใช่ว่าจะไม่ระแคะระคายสิ่งใดเลย เพียงแต่ในเวลานั้นเขายังสามารถหลอกตัวเองได้อยู่อย่างไรเสีย ร่างไร้วิญญาณของท่านแม่ก็ถูกเวินซื่อชิงไปแล้วมิใช่หรือ?แต่ตอนนี้ เวินจื่อเฉินได้เปิดโปงความจริงออกมาต่อหน