ใต้แสงโคมแดง ร่างเปลือยเปล่าของเจียวลี่ย้ายมานอนแนบข้างลำตัวเขา บัณฑิตหนุ่มยื่นมือออกไป แตะเบาๆ ที่ไหล่นาง“ข้ายัง...อยากอีก” เสียงเขาแผ่วพร่า แต่จริงใจนางหัวเราะเบา ๆ เอื้อมมือมาลูบที่หลังมือเขาแผ่วเบา“ท่านติดใจแล้วหรือ”“มัน...เหมือนข้ากำลังฝัน แต่ข้าตื่นอยู่” เขาตอบ ใบหน้าแดงระเรื่อ“ข้าไม่อิ่มเอมเลย...ไม่รู้สึกพอเสียที”ดวงตาของเจียวลี่ยิ้มอย่างพึงใจ“หากเจ้ายังไม่อิ่ม ก็ให้ข้าป้อนอีกคำ”เขาพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างบาง อย่างแผ่วเบา ริมฝีปากนุ่มแนบลงที่ซอกคอ จุมพิตอย่างเชื่องช้า ดั่งจะประทับรอยไว้ไม่ให้ลืมเลือนมือของคุณชายเริ่มเคลื่อนไหวตามใจ แต่ยังคงไม่มั่นคงนัก สัมผัสบนผิวเนียนของนางอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เจ้าชอบแบบใด...” เขากระซิบถามนางยิ้ม ก่อนจะจับมือเขานำไปแตะบนหน้าอกอวบอิ่มที่สั่นไหวอยู่ตรงหน้า กดแนบแน่นเล็กน้อย“แบบที่ท่านทำอยู่นี่ล่ะ ดีแล้ว” นางพูดช้า ๆ น้ำเสียงชวนสั่นสะท้านคุณชายดูดปลายนิ้วนางอย่างเงอะงะ ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยไฟปรารถนาสุดท้ายก็ไม่อาจห้ามใจ ใช้ริมฝีปากซับลงบนยอดอกนาง ลิ้นสากแตะเบา ๆ แล้วดูดกลืนอย่างเรียนรู้ช้า ๆ “ดีมาก...” นางครางต่ำ ร่างแอ่นขึ้นรับสัมผัส มือห
ราตรีนี้ซูหมิงเจี๋ย นั่งประจำที่เดิม เขามาโดยมิได้หวังสิ่งใดนอกจากเสียงพิณของนาง ตั้งแต่คืนนั้น ที่บังเอิญได้พบกันในเทศกาลโคมไฟ นางคือแสงจันทร์ที่เขาไม่เคยรู้ว่าตนโหยหา และบัดนี้ เสียงพิณของนางคืออาภรณ์ใจที่เขารอคอยทว่า คืนนี้ เงียบงัน แขกหลายคนเริ่มซุบซิบ เสียงกระซิบของขาประจำแว่วลอดมา“วันนี้แม่นางเจียวลี่ไม่เล่นหรือ”“หรือจะล้มป่วย”ซูหมิงเจี๋ยไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงยกน้ำชาขึ้นจิบ ดวงตาคมจ้องเงาโคมที่ไหวไกวอยู่เหนือเพดาน พลางคิดหรือว่าเขาจะไม่ควรมาเขานั่งรอจนเมื่อผู้คนเริ่มซา แขกเหรื่อล่ำลากันไปทีละคน ซูหมิงเจี๋ยจึงลุกขึ้น เดินผ่านระเบียงหออย่างเงียบงัน มุ่งหน้าไปยังโต๊ะของซูเย หัวหน้าหอซูเยยังคงอยู่ในชุดคลุมสีอ่อน นั่งจิบชาพลางตรวจบัญชีด้วยแววตาเรียบนิ่ง เมื่อเห็นเขาเข้ามา ก็ยิ้มบางอย่างรู้ทัน“คุณชายมาถามเรื่องเจียวลี่หรือเจ้าคะ” ซูเยเอ่ยขึ้นก่อนซูหมิงเจี๋ยหยุดยืนตรงหน้าเธอ ไม่กล่าวคำแก้ตัว“นาง…สบายดีหรือไม่” เขาถามแผ่วเบาซูเยวางพัดลงช้า ๆ ก่อนตอบ“คืนนี้ นางมิได้เล่นพิณ เพราะนางรอคุณชายอยู่บนห้องข้างบนเจ้าค่ะ”เขาชะงัก แววตาสงบนิ่งในคราวแรกสั่นไหวเล็กน้อย“รอข้า”“นางบอ
เสียงฝีเท้าเบาระหว่างก้าวย่ำบนหินกรวดสะอาดตา ทั้งสองเดินเคียงกันในตรอกที่เต็มไปด้วยโคมหลากสีแสงสีส้มส่องผิวเนียนของเจียวลี่จนเรื่อระเรื่อ ราวกับเปลวเทียนที่ไหวระริกในกระจกแก้ว เส้นผมยาวของนางถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยก งดงามประหนึ่งภาพวาดที่มีชีวิต“แม่นางเจียวลี่ ข้าหวังว่าจะไม่เสียมารยาท หากข้ากล่าวว่า ท่านช่างแตกต่างจากหญิงใดที่ข้าเคยพบ”เจียวลี่เลิกคิ้ว ดวงตาเรียวยาวปรายมอง“หากท่านหมายถึงความเป็นคณิกา เช่นนั้นก็คงไม่ผิด”เสียงของนางราบเรียบ แปราศจากหนามแหลมกลบความเปราะบางในใจ“หาใช่เช่นนั้น” ซูหมิงเจี๋ยกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าหมายถึงประกายในดวงตาเจ้าเป็นประกายของผู้ที่ล่วงผ่านความขมขื่นมาแต่ยังยืนหยัดได้อย่างสง่างาม มิใช่ใครก็มีได้”เจียวลี่นิ่งไป เสียงขลุ่ยจากนักดนตรีข้างถนนดึงนางออกจากภวังค์ นางยิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ตอบเมื่อเดินมาถึงลานโคมขนาดใหญ่ มีโคมกระดาษลอยฟ้านับร้อยรอปล่อย ซูหมิงเจี๋ยซื้อโคมมาหนึ่งลูก มอบพู่กันให้นาง“เขาว่ากันว่า ถ้าขอพรบนโคมฟ้า แล้วเขียนมันด้วยความจริงใจ พรนั้นอาจสมหวังในวันหนึ่ง”เจียวลี่นิ่ง นางรับพู่กันมา แล้วเริ่มลงมือเขียน อย่างช้า ๆ และมั่นคง“ขอให้ข้ามีอิสระ
เสียงขลุ่ยแผ่วเบาแทรกกับกลิ่นอบเชยและดอกบ๊วยที่ลอยลมมาในบรรยากาศของตลาดยามใกล้ค่ำ เจียวลี่ถือถุงเครื่องสำอางในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกมือยังถือกล่องชาสมุนไพรจากร้านประจำ แพรไหมบางคลุมไหล่พริ้วไหวตามแรงลม ชายกระโปรงยาวกระทบแสงตะวันคล้อยต่ำราวแสงจันทร์ในยามพลบค่ำนางกำลังจะหันกลับไปทางหอคณิกา ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงเรียบทุ้มหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงที่คุ้นเคยในอดีต และฝังลึกในใจยากลืมเลือน“หากรู้ว่าเจ้าจะงามถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าจากมา”เจียวลี่หันขวับ สายตาของนางประสานเข้ากับดวงตาสีดำลุ่มลึกของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาสูงขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่พบเจอ ใบหน้าคมเข้ม เต็มไปด้วยบารมีของผู้ครอบครองกิจการนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงแต่สิ่งที่เปลี่ยนที่สุดไม่ใช่ทรงผมหรืออาภรณ์ แต่เป็นรอยยิ้มเศร้า ๆ ที่เขาใช้มองนาง“คุณชายใหญ่!” นางแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง“เหตุใดท่านจึง อยู่ที่นี่”เขาเดินเข้ามาใกล้ ฝูงชนพลุกพล่านพลันเหมือนเบลอหายไปจากสายตา นางได้ยินเพียงเสียงหัวใจตนเอง และเสียงเท้าของเขาที่หยุดลงเบื้องหน้า“เพราะตลาดวันนี้คงไม่งาม หากไม่มีเจ้าอยู่ในนั้น”เขาพูดเรียบง่าย ก่อนเอื้อมมือจับชายแขนเสื้
หลายวันผ่านไป สายลมเอื้อย ๆ พัดกลิ่นบุปผา กับเสียงหัวเราะในยามสาย ตลาดกลางนครเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อใกล้ถึงเทศกาลโคมไฟ หอประโลมรัก ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำก็เริ่มเปิดม่านรับแสงอรุณเช่นกัน แต่วันนี้ กลับไม่เห็นเงาของบุรุษใดเข้าออกห้องของนางคณิกาเจียวลี่ดังเคยเจียวลี่หยุดรับแขกมาหลายวันแล้ว เป็นการหยุดที่เจ้าของหออย่างซูเยก็ไม่อาจทัดทาน นางบอกว่าใกล้ถึงเทศกาลโคมไฟ ต้องพักฟื้นร่างกายให้สมบูรณ์ แต่ใครจะรู้ ว่าจริง ๆ แล้วในใจของเจียวลี่นั้น ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการฟื้นกาย หากแต่ต้องการฟื้นใจด้วยเช่นกันวันนี้นางสวมชุดผ้าแพรบางสีครามอ่อน ลวดลายบุปผากลีบบัวปักด้วยไหมทอง ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะด้วยปิ่นเงินลายเมฆหมอก ต่างหูหยกขาวแกะลายระยับเมื่อสะท้อนแสงเจียวลี่ในยามไม่มีเครื่องแต่งประดับมากมาย กลับยิ่งงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวพรรณที่ได้รับการบำรุงด้วยน้ำมันดอกเหมย ขาวละมุนราวกลีบบุปผายามเช้า ริมฝีปากแต้มสีแดงจางจากน้ำชาดอกคำฝอย มอบความหวานเย็นให้กับใบหน้าที่งามอยู่แล้วให้เหมือนภาพวาดจากฝีมือเทพ“เจี่ยวลี่เจ้าจะไปตลาดคนเดียวหรือ” ถิงถิงเอ่ยถามด้วยสายตากังวล“มีแต่คนหมายปองเจ้
บทที่ 15 บุรุษเช่นนั้นมักร้อนแรงเมื่อคลั่งไคล้ริมฝีปากหยักหนากดจูบซ้ำ ๆ ลงบนหน้าผากนวลของเจียวลี่ เจ๋อหมิงกักร่างนางแนบแน่นไว้ใต้ร่างตน ราวกับกลัวว่านางจะหายลับไปกับสายลมแขนแข็งแรงโอบรัดร่างบางเอาไว้ ในขณะที่สะโพกแข็งแรงยังคงเคลื่อนกระแทกเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ทำเอาร่างของนางให้บิดเร่าอยู่ใต้ร่างเขาอย่างห้ามไม่อยู่"เจียวลี่...จดจำข้าไว้..." เสียงทุ้มพร่าแทบกลายเป็นเสียงคำรามเขาก้มลงครอบครองกลีบปากบางอีกครั้ง ดูดกลืนลมหายใจนางไปจนหมดสิ้น ไม่ปล่อยโอกาสให้เจียวลี่ได้หายใจเต็มปอดเจ๋อหมิงพลิกตัวนางขึ้นนั่งคร่อมบนตัวเขาอีกครั้ง ก่อนจะสอดมือหนายกสะโพกนุ่มนิ่มไว้ และเสยท่อนเนื้อขึ้นอย่างลึกสุดปลายลำโคน ในจังหวะที่รุนแรงเร่าร้อนราวกับสัตว์ร้ายกระหายเหยื่อ"เจ๋อหมิง...อืมมมคุณชาย ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว..." เสียงหวานแผ่วเบาแทบขาดห้วงนางพยายามดันไหล่ดันอกของเขาออก แต่เขากลับเพียงกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนาจับยึดสะโพกนาง และเสยกระแทกลึกกว่าเดิม จนเตียงไม้สะเทือนเลื่อนเสียงเอี๊ยดอ๊าดลั่นห้อง"เจ้าต้องไหว..." เขากระซิบข้างหู ลมหายใจร้อนระอุชวนสั่นสะท้าน"เรายังมีเวลาอีกนิด ข้าอยากอยู่กับเจ้าจนพอใ