“พระองค์ทรงหมายถึง องค์รัชทายาท”
“ใช่ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่า เหตุใด เขาถึงอยากเร่งเอาชีวิตข้ามากนัก ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทำแผนที่ต่ำทรามแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆ ข้า ไม่เข้าใจ”
“พระองค์คิดว่า มีคนอื่นร่วมทำการครั้งนี้ด้วย”
“ข้าก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว หากต้องการชีวิตข้า ก็เพียงแค่วางยาข้าก็จบ แต่เหตุใดต้องทำร้ายเจ้าด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าไม่มั่นใจจุดประสงค์ของเขา”
“แย่แล้ว การที่ข้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว”
“ข้ากลับคิดกลับกันนะ ว่าให้เขารับรู้ไปเลยว่าเรารู้แผนชั่วนี่ เขาจะได้เปิดเผยตัวเสียที จะได้ไม่ลอบกัดอีก"
“แล้วห้องที่ถูกวางยาพิษล่ะ ต้องทำอะไรบ้าง”
“เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ ที่ให้ปิดไว้ เพราะพิษจะได้ไม่ระเหยออกมาภายนอก มาจากกำยาน ก็แก้ด้วยกำยาน คืนนี้หม่อมฉันจะทำยาถอนพิษ และให้เอาไปจุดวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้วเพคะ”
“แต่ว่าตอนนี้มันดึกแล้วนะ เจ้าพึ่งจะฟื้นจากพิษขึ้นมา”
“ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาแค่ไม่นาน สมุนไพรและของที่ต้องใช้มีอยู่แล้ว อันเหมยก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปห้องยา เพื่อปรุงยาเพื่อแก้พิษให้ในห้องเพคะ พระองค์ พักผ่อนไปก่อนนะเพคะ”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“แต่ว่า….”
“ไม่มีแต่ ไปเถอะ เจ้าบอกว่าจะไปปรุงยานี่นา หลายคนช่วยกัน น่าจะเร็วกว่าเจ้าสองคนทำนะ”
มู่เหรินพาซีเฟยออกไป นางเดินนำเขาไปที่ห้องปรุงยา ซึ่งก่อนหน้านี้นางได้ขอเอาไว้ เขาเดินเข้าไปพร้อมกับฉุนกลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิด นางจัดวางของได้อย่างเรียบร้อย
“อันเหมย เตรียมของเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“พระชายา เรียบร้อยเพคะ เหลือแค่ ลอกหนังกบเพคะ”
“จะ เจ้าว่าอะไรนะ ละ ลอกหนังกบงั้นหรือ”
เว่ยอีที่ขออาสาท่านอ๋องมาช่วยด้วยเพราะเขานอนห้องอื่นไม่หลับ ถึงกับรู้สึกขนลุก
“ใช่ ต้องเอาหนังมันมาย่างและบดเพื่อผสมในตัวยา”
“เจ้า เรื่องนี้ เจ้าทำเองงั้นหรือ”
“งั้นสิ ไม่งั้นเจ้าจะช่วยข้างั้นหรือ”
“เอ่อ อันเหมย เจ้าดูห้าวเหมือนผู้ชายก็จริง แต่ไม่คิดว่าเจ้า จะกล้า อ๊ากกก พระชายา ทำอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีหันไปตกใจงูเห่าตัวใหญ่ในมือนาง ที่พระชายาพึ่งเจาะที่ตัวมันเพื่อจะเอาบางอย่างออกมา และมืออีกข้างของนางถือมีดคมกริบอยู่
“เว่ยอี เจ้าตกใจอะไร ข้าแค่เจาะเอาดีงูเห่าออกมา อ้อ ที่เหลือนี่ก็ ฝากเจ้าด้วยละกันนะ เห็นว่าพวกบ่าวไพร่ชอบกินเนื้อมัน เจ้าก็เอาไปให้พวกเขาที”
เว่ยอีมองพระชายา และอันเหมย ที่ทำเรื่องพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติเหมือนพวกนางกำลังทำกับข้าวอยู่ เขาหันมามองท่านอ๋องของเขา ที่ยืนตัวแข็ง หน้าซีด เขาคิดว่า ท่านอ๋องเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขามากนัก
“เอ่อ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม ขอตัวสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ จะเอา ไอ้ตัวนี้ ไปให้เสี่ยวหลงพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอีบอกและรีบวิ่งไป มู่เหรินมองพระชายาที่ตอนนี้กำลังบีบดีงูที่ได้มา ลงในถ้วยที่เตรียมไว้ นางสวมถุงมือและผ้าปิดปากเรียบร้อยแล้ว นางหันมามองเขา
“ท่านอ๋อง ท่านก็ควรใส่ผ้าปิดปากนี่ด้วยเพคะ ป้องกันเอาไว้ก่อน”
นางเดินมา เอาผ้าใส่ให้เขา และผูกให้เขาอย่างเบามือ มู่เหรินหันไปมองนาง ตอนนี้ แก้มนางห่างจากหน้าเขาไม่ถึงสองข้อนิ้ว ช่างน่าหอมนัก หากไม่เห็นภาพที่นางล้วงเอาดีงูออกมากับตาเมื่อครู่ เขาคงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้ เขามาช่วยนาง เรื่องอื่นไม่ควรคิด
“เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่ล่ะ”
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้น รออันเหมยย่างหนังกบนี่เสร็จ แล้วพระองค์ก็บดให้ละเอียดก็แล้วกันเพคะ แรงผู้ชาย น่าจะบดได้ละเอียดเร็วกว่าพวกหม่อมฉัน”
“ได้สิ อันเหมย เจ้าส่งมาสิ”
“เพคะท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋อง สวมถุงมือนี่ก่อนเพคะ หนังกบมีพิษ ต้องป้องกันเอาไว้ด้วยเพคะ”
ซีเฟยเอาถุงมือมาสวมให้เขา ก่อนสอนเขาใช้เครื่องบด ตอนนี้นางวิ่งไปดึงสมุนไพรมารวบรวมเพื่อจะผสมรวมกัน เว่ยอีมาแล้ว เขาทิ้งหน้าที่บดหนังคางคกให้เว่ยอี และเดินตามพระชายาของเขาแทน
“พวกนี้ เจ้าปลุกเองทั้งหมดเลยหรือ”
“ไม่ทุกอย่างเพคะ บางส่วนต้องไปซื้อที่ร้านยามาเก็บไว้ อย่างหญ้าฝรั่นนี่ ต้องสั่งมาเพคะ ออกตามฤดูกาล ไม่พบเห็นได้ง่าย ส่วนกะวานกับจันทร์แปดกลีบ ต้องเอามาตากจนแห้งและเก็บใส่โหลไว้ เวลานำมาใช้งานจะได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องพวกนี้ เจ้าเรียนจากอาจารย์เจ้าหรือ”
“เพคะ อาจารย์หม่อมฉันเป็นหมอเทวดา ท่านชอบท่องเที่ยว และไม่รับลูกศิษย์”
“แล้วเหตุใดจึงสอนเจ้าได้ล่ะ”
“พูดแล้วเรื่องมันยาวเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันถูกพิษ และตกเขา ไปเจอท่านพอดี เกือบไม่รอดแล้ว อาจารย์รักษาหม่อมฉันอยู่หลายวัน กว่าหม่อมฉันจะฟื้น ก็พบว่าในร่างกายหม่อมฉัน มีพิษมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ข้าเลยขอให้ท่านสอนวิชาแก้พิษเพื่อช่วยแก้พิษให้ตัวเอง และช่วยผู้อื่น อาจารย์ให้หม่อมฉันสาบานว่าจะไม่นำพิษที่เรียน ไปทำร้ายผู้อื่น หากเขาจับได้ จะฆ่าข้าทันทีที่หาข้าเจอเพคะ”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกวางยาพิษล่ะ ใครเป็นผู้วางยาเจ้ากัน”
ซีเฟยนิ่ง ไม่ตอบ และนางก็หันไปมองอันเหมย
“อันเหมย รีดพิษแมงมุมดำหรือยัง ข้าจะได้รีบผสม พิษแมงมุมต้องรีดแล้วใช้เลย เสียเวลาไม่ได้ เร็วเข้า”
“เพคะ พระชายา”
นางจงใจเลี่ยงคำถามข้าสินะ ถังมู่เหรินรู้สึกอยากรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ของพระชายาของเขายิ่งนัก นางถูกวางยาพิษมาตั้งแต่เด็ก และช่วยเหลือตัวเองมาตลอด จนมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ มองภายนอก ดูเหมือนนางเป็นสตรีที่อ่อนหวาน เรียบร้อย และดูอ่อนแอ
แต่ตั้งแต่นางอภิเษกกับเขา เข้ามาเป็นพระชายา นางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ดูแลตำหนักอ๋องนี้เลยสักนิด นางชนะใจบ่าวไพร่ทุกคน มีน้ำใจ นอกจากเรื่องเข้าหอแล้ว นางถือได้ว่าทำหน้าที่พระชายาชินอ๋องได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
มู่เหรินมองนาง ผสมสมุนไพรทุกอย่างลงในหม้อต้มยา และเริ่มเคี่ยว หากว่าคืนนี้ไม่ได้นาง เขาคงถูกปลิดชีพไปพร้อมกับเว่ยอีแล้ว นางโดนพิษก่อนเป็นคนแรก เขานึกอยากรู้ ว่าตอนนี้ในร่างกายของนาง มีพิษอยู่สักเท่าไหร่กันนะ ตอนนี้นางหันมาตำบางอย่างที่ติดกับเตาต้มยา นางสลับพัดไปด้วย และตำยาไปด้วย เขาฉวยโอกาส ไปนั่งใกล้ๆ นาง
“ข้าตำเอง เจ้าต้มยาไปเถอะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
มู่เหรินหันมามองหน้านาง ที่บัดนี้มีรอยดำจากเขม่าควันติดอยู่ พวกเขาถอดถุงมือกันหมดแล้ว มู่เหรินจึงจับนางหันมา และใช้ผ้าสะอาดที่วางอยู่ข้างๆ มาเช็ดให้นาง ซีเฟยตกใจ แต่ก็ยอมให้เขาเช็ดโดยดี
“จมูกเจ้ามีเขม่าติดน่ะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำน่ะ อันนี้ ต้องตำอีกนานเท่าไหร่หรือ”
“ต้องตำให้ละเอียดที่สุดเพคะ เสร็จแล้วจะเอามาผสมกับยาที่เคี่ยวนี้ และปั้นเป็นก้อน รอให้แห้ง และนำไปจัดผสมกับกำยาน เท่านี้ก็แก้พิษได้แล้วเพคะ”
พวกเขาทำงานกันไปอย่างเงียบๆ ท่างเว่ยอีก็พัดให้อันเหมยที่กำลังจุดเตาใหญ่เพื่อต้มยาที่เหลือ เขารับหน้าที่ตำยาให้นางเช่นกัน พวกเขาดูสนุกสนานมากกว่าจะเครียดกับการทำยาครั้งนี้ ชินอ๋องมององครักษ์ของเขาเช็ดเหงื่อและพัดให้ฉู่อันเหมยและนึกขำ เว่ยอีก็มีมุมนี้กับเขาเหมือนกัน
มู่เหรินหันมามองพระชายาของเขา ซึ่งตอนนี้นางได้เท้าแขนขึ้นมา แล้วหลับสนิทอยู่ข้างๆ เขา เขาค่อยๆ เอาพัดออกมาจากมือนาง และจับตัวนางพิงกับเขา เขาตำยาได้ละเอียดแล้ว จึงเรียกอันเหมยเบาๆ
“อันเหมย ๆ มาดูสิ ใช้ได้หรือยัง”
อันเหมยเห็นว่าซีเฟยหลับอยู่ นางจึงเดินเบาที่สุด และเดินมามอง
“ทูลท่านอ๋องละเอียดพอแล้วเพคะ พระองค์พาพระชายาไปพักผ่อนก่อนเถอะเพคะ ที่เหลือ หม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
“ข้าให้เว่ยอีอยู่ช่วยเจ้าที่นี่ เว่ยอี ฝากเจ้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ชินอ๋องค่อยๆ ช้อนตัวพระชายาขึ้นมา และอุ้มนางเพื่อไปที่ห้องพักผ่อนของพวกเขาสองคน
“เจ้ากล้าดีอย่างไร นี่เป็นยาที่รักษาไข้หวัดของท่านอ๋อง เจ้าเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน มาถึงจวนข้า ด่าคนของข้า ตบคนของข้า แล้วยังกล้าทำลายข้าวของ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”“จวนของเจ้าอย่างนั้นหรือ นังบ้านนอก ป่าเถื่อน นี่เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้ากล้าตบข้า อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆนะ”“เพี๊ยะ”ซีเฟยตบชิงอี้เหนียงไปอีกทีเพื่อเตือนสตินาง และหยิบเศษแก้วที่หล่นพื้น ซึ่งยังมียาอยู่ด้านใน นางจับปากชิงอี้เหนียง บีบออก และเทยาที่เหลือกรอกเข้าปากนางอย่างรวดเร็วจนนางดิ้น แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้าไปห้าม“แหวะ แค่กๆ เจ้า นังแพศยา เจ้าเอายาที่ตกพื้นแล้ว ให้ข้ากินอย่างนั้นหรือ นังสารเลว”“เมื่อกี้ เจ้าบอกว่า เจ้าอยากพิสูจน์ว่ายานี่มีพิษหรือไม่ ไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่ ช่วยป้อนยาให้เจ้า เพื่อเป็นการพิสูจน์อย่างไรล่ะ ว่าเจ้ากินแล้ว จะตายหรือไม่”“สารเลว ข้าจะ..”“เจ้าจะทำไม เจ้ามองหน้าข้าไว้นะ รอบนี้แค่ยาที่ตกพื้น ยังดีที่ไม่ใช่เศษแก้วในมือข้า เจ้าภาวนาเอาไว้เถอะ อย่าได้คิดจะมีเรื่องกับข้า เพราะข้า ไม่ใช่ตุ๊กตาแสนดีที่จะอยู่เฉยๆ ให้เจ้ารังแกได้ ถ้าเจ้าอยากลองดู ข้าก็ไม่ขัดข้อง”“นี่เจ้า เจ้า”“เสียงเอะ
“คำพูดนี้ ใช้กับคนได้หรือไม่”ซีเฟยหันมามองหน้าเขา สายตาจริงใจพร้อมกับยิ้มให้“ได้สิเพคะ คนเราทุกคน ล้วนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครมาลดคุณค่าในตัวเราได้หรอกเพคะ”ไม่มีใครเคยพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต เขาโตมาพร้อมกับการแย่งชิง และบอกว่า ผู้แพ้ ย่อมเป็นคนที่ไร้ค่า ผู้ชนะเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็รู้สึกว่าต้องแย่งชิงเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ชนะ และการสูญเสียชิงอี้เหนียงในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแพ้ และไร้ค่า ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าทุกคนเกิดมาล้วนมีคุณค่าในแบบของตน นางช่างแตกต่างจากผู้คนที่เขารู้จัก และคุ้นเคยในสังคมของวังหลวงเหลือเกิน“เจ้า คิดแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า ผู้ชนะเท่านั้น ที่สมควรถูกยกย่อง”“แล้วท่านว่า ผู้ชนะของท่าน คือการชนะอะไรล่ะเพคะ แล้วคนผู้นั้น สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้หรือเพคะ”“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อ…”“ถ้าอย่างนั้น พระองค์ห้ามมิให้ตัวเองป่วยได้หรือไม่เพคะ”“ไม่ได้”“ห้ามไม่ให้อายุเพิ่มมากขึ้น หรือแก่ชราได้หรือไม่เพคะ”“นั่นก็ ไม่ได้เช่นกัน”“สุดท้าย พระองค์สามารถเอาชนะความตายหรือไม่เพคะ”
ที่นางบอกท่านอ๋องว่านางเลือกที่จะเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้ว หลังจากที่ท่านอ๋องออกศึกไป เพราะนางต้องการคนที่อยู่กับนาง มีเวลาดูแลนางอย่างใกล้ชิด นางให้เหตุผลว่า ท่านอ๋องต้องออกศึกอยู่เนืองๆ ไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง นางไม่มีโอกาสได้เจอท่านอ๋องบ่อยเท่าไหร่ และท่านอ๋องไม่สามารถดูแลนางได้ หากอภิเษกกับท่านอ๋อง นางอาจจะต้องอยู่แต่ในจวน เฝ้าตำหนักอ๋องอย่างเดียวดาย ดังนั้น นางถึงเลือกองค์รัชทายาท ซึ่งวันนั้น ท่านอ๋องพึ่งกลับมาจากการปราบกบฏที่เมืองหยาง และท่านอ๋องได้ซื้อเครื่องประดับเป็นชุดปิ่นทองพร้อมกำไรทองประดับไพลินสีน้ำเงินกลับมาเพื่อจะมอบให้นางเป็นของหมั้นหลังจากที่ถูกนางปฏิเสธไป เขาเอาเครื่องประดับที่ซื้อมา ทำลายทิ้งทั้งหมด อีก 5 วันถัดมา เขาทูลขอฮ่องเต้ เพื่อย้ายไปประจำการชายแดนทางเหนือ ซึ่งติดกับแคว้นเยี่ยนนั่นเอง……มาวันนี้ที่นางมา กลับมาให้เหตุผลว่าเป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่ นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขำเสียจริง ไม่แปลกใจที่ท่านอ๋องจะตอบกลับอย่างไร้ไมตรี“เว่ยอี จะเอาของพวกนั้นไปที่ใดหรือ”“ทูลพระชายา ท่านอ๋องสั่งให้ทำลายทิ้งพ่ะย่ะค่ะ”ซีเฟยรู้สึกแปลกใจ ข้าวของพวกนี้ ล้วนแต่เป็
“นางได้แจ้งธุระหรือไม่”“คุณหนูชิงบอกเพียงว่า แวะมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”ถังมู่เหรินมองหน้าพระชายา จึงได้บอกเว่ยอี“เจ้าไปบอกนางว่าเดี๋ยวข้าไปพบที่ห้องรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”“พระชายา รอก่อน”“ท่านอ๋อง มีอะไรเพคะ”“เจ้า ไปรับแขกกับข้า”“แต่ข้า ไม่ได้รู้จักกับนางนะเพคะ”“น้องสี่เจ้าก็ไม่เคยรู้จัก เหตุใดต้อนรับได้ล่ะ”“ก็ได้เพคะ”ซีเฟยพอจะทราบ ชิงอี้เหนียง คืออดีตคนรักของเขา นางเองก็ไม่อยากพบเจอ เพื่อไม่อยากมีปัญหาทีหลัง แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ตามมารยาทก็ควรต้องไปห้องรับแขก จวนอ๋องเมื่อชินอ๋องและซีเฟยเดินเข้ามา ก็พบกับแขกที่มาเยือน นั่งจิบชาอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นชินอ๋องเดินเข้าห้องมา นางก็รีบลุกขึ้นคำนับท่านอ๋อง“ชิงอี้เหนียง คารวะท่านอ๋องเพคะ”“เชิญคุณหนูชิงตามสบาย”“พี่มู่เหริน เหตุใดจึงทำตัวห่างเหินกับข้าแบบนี้เพคะ”นางไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาใกล้และเอื้อมมือมาจับเขาด้วย ซีเฟยจึงได้เห็นนางชัดๆ นางเป็นสตรีที่งดงามมาก ชุดแดงที่นางสวมใส่มาวันนี้ปักทอด้วยผ้าอย่างดี ดูด้วยสายตาปราดเดียวก็รู้ว่านางต้องอยู่ในตระกูลที่ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่การกระทำที่ไม่สำรวมกิริยาแบบนี้ ซีเฟยเองก็พึ่งจะเคยเห็น ช
ถังมู่เหรินอุ้มจ้าวซีเฟยเข้ามาในห้องพักสำรอง คืนนี้พวกเขาต้องนอนที่นี่ด้วยกัน เขาค่อยๆ วางนางลงอย่างเบามือเพราะกลัวว่านางจะตกใจตื่น แต่ก็คงเพราะซีเฟยอ่อนเพลีย และต้องใช้เวลาในการปรุงยาครึ่งค่อนคืน ทำให้นางหลับสนิทโดยไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดมู่เหรินมองหน้านางตอนนอนหลับสนิท ขนตานางงอนงามเป็นระเบียบ ใบหน้าที่หมดจด ไร้เครื่องประทินโฉม ผิวช่างละเอียดน่าสัมผัส ปากบางๆ นี่ เขาเคยได้ลิ้มลองเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยลืมรสชาตินั้น นางช่างอ่อนหวาน น่าหลงใหล“คงเหนื่อยสินะ พระชายา”มู่เหรินก้มลงจูบหน้าผากนาง ก่อนที่จะจัดให้นางนอนดีๆ เขาถือโอกาสนี้ นอนข้างๆ นาง และดึงผ้าห่มขึ้นมาเพื่อห่มให้พวกเขา ซีเฟยนอนนิ่ง เขานอนตะแคงมองนางอยู่นาน ก่อนที่เขาจะนอนหลับสนิทไป…..วันรุ่งขึ้น…..อาจเพราะเมื่อคืน อากาศหนาวเย็น ตอนนี้ ซีเฟยนอนซบอยู่กับอกของชินอ๋องโดยที่นางไม่รู้ตัว ถังมู่เหรินนั้น ตื่นนางแล้ว แต่เขารู้สึกว่าไม่อยากขยับตัว เพราะเขาชอบที่นางนอนท่านี้ เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางเริ่มขยับตัว เขาจึงแกล้งหลับต่อ ซีเฟยลืมตาขึ้น นางหันมาตกใจเล็กน้อย นี่นางกำลัง นอนกอดเขาอยู่ แล้วเขา มานอนกับนางได้อย่าง
“พระองค์ทรงหมายถึง องค์รัชทายาท”“ใช่ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่า เหตุใด เขาถึงอยากเร่งเอาชีวิตข้ามากนัก ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทำแผนที่ต่ำทรามแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆ ข้า ไม่เข้าใจ”“พระองค์คิดว่า มีคนอื่นร่วมทำการครั้งนี้ด้วย”“ข้าก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว หากต้องการชีวิตข้า ก็เพียงแค่วางยาข้าก็จบ แต่เหตุใดต้องทำร้ายเจ้าด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าไม่มั่นใจจุดประสงค์ของเขา”“แย่แล้ว การที่ข้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว”“ข้ากลับคิดกลับกันนะ ว่าให้เขารับรู้ไปเลยว่าเรารู้แผนชั่วนี่ เขาจะได้เปิดเผยตัวเสียที จะได้ไม่ลอบกัดอีก"“แล้วห้องที่ถูกวางยาพิษล่ะ ต้องทำอะไรบ้าง”“เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ ที่ให้ปิดไว้ เพราะพิษจะได้ไม่ระเหยออกมาภายนอก มาจากกำยาน ก็แก้ด้วยกำยาน คืนนี้หม่อมฉันจะทำยาถอนพิษ และให้เอาไปจุดวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้วเพคะ”“แต่ว่าตอนนี้มันดึกแล้วนะ เจ้าพึ่งจะฟื้นจากพิษขึ้นมา”“ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาแค่ไม่นาน สมุนไพรและของที่ต้องใช้มีอยู่แล้ว อันเหมยก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปห้องยา เพื่อปรุงยาเพื่อแก้พิษให้ในห้องเพคะ พระองค์ พักผ่อนไปก่อนน