Share

บทที่ 7

Author: กวนเหอว่านหลี่
หนึ่งเดือนผ่านไป

จูอวิ่นเทิงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นเคย

เขานอนแผ่หลาอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ในลานบ้าน

ทางขวามือมีม้านั่งที่ทำมาจากไม้แดงตัวหนึ่ง วางผลไม้และของว่างต่างๆ เช่น องุ่น คุกกี้

เหมยเอ๋อร์คอยนวดไหล่ให้เขาอยู่ด้านหลัง

หลานเอ๋อร์คอยนวดเท้าให้เขาอยู่ด้านหน้า

จูอวิ่นเทิงหยิบองุ่นเข้าปาก นี่สิถึงจะเป็นชีวิตสบายๆ ที่ปลาเค็มควรจะมี!

หนึ่งเดือนแล้วที่จูหยวนจางไม่มารบกวนอีก

เพียงแต่ว่าทุกวันยังคงต้องเข้าวังไปเรียนหนังสือกับฟางเสี้ยวหรู

การไปนอนหลับในห้องเรียน ช่างเป็นความทรมานโดยแท้

โชคดีที่ฟางเสี้ยวหรูเลิกสนใจเขาไปนานแล้ว ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน

เพียงแต่บ่อยครั้งที่สายตาของจูอวิ่นเหวินจะกวาดมองมา แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบในใจ

ดูท่าการที่จูหยวนจางให้เขาเข้าร่วมการประชุมเช้า และร่วมปรึกษาหารือกันที่ตำหนักหย่างซินเมื่อหนึ่งเดือนก่อน คงทำให้จูอวิ่นเหวินเกิดความระแวงในตัวเขาขึ้นมา

อยากจะบอกจูอวิ่นเหวินจริงๆ ว่า คนที่เขาควรระวังคืออาสี่จูตี้ต่างหาก

อันที่จริงจูอวิ่นเหวินระแวงทุกคน

พระชายาหลี่ว์บอกเขาว่า จูเปียวผู้เป็นบิดาไปพักฟื้นที่หางโจว

หลังจากที่จูหยวนจางสิ้นพระชนม์ไปแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะให้พระราชนัดดาสืบทอดราชบัลลังก์โดยตรง

ตอนนี้การได้เป็นพระนัดดารัชทายาท คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!

และท่าทีที่ผิดปกติของฝ่าบาทที่มีต่อจูอวิ่นเทิงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน พอคิดขึ้นมาทีไรก็ใจหายใจคว่ำ

เรื่องนี้ทำให้มารดาของเขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นกัน

ทุกครั้งที่จูอวิ่นเทิงนอนหลับในห้องเรียนเสร็จ ก็จะรีบเผ่นออกจากวังให้เร็วที่สุด

กลัวว่าจะไปเจอจูหยวนจาง แล้วจูหยวนจางจะให้เขาเข้าประชุมเช้าอีก นั่นคงจะไม่ดีอย่างยิ่งยวดแน่

“อวิ่นเทิง อวิ่นเทิง” เสียงทุบประตูดังมาจากหน้าเรือน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นลุงรองฉางเซิง เรี่ยวแรงเยอะเกินไปแล้ว สงสัยอย่างยิ่งว่าถ้าเขาเคาะอีกไม่กี่ครั้ง คงจะต้องเปลี่ยนประตูบานใหม่

จูอวิ่นเทิงรีบเก็บถาดผลไม้ที่มีองุ่นและคุกกี้เข้าไปในพื้นที่เก็บในระบบอย่างรวดเร็ว

เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์คุ้นชินกับการกระทำนี้ของจูอวิ่นเทิงแล้ว

เจ้านายที่พวกนางพึ่งพิงนั้นคือผู้ที่มีสติปัญญาอย่างยิ่งและมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

เขาซ่อนเร้นตัวเองมาโดยตลอด เปิดเผยความลับให้เพียงพวกนางสองคนเท่านั้น!

จูอวิ่นเทิงรู้ดีว่า ของพวกนี้เป็นของที่ล้ำสมัย ไม่สามารถให้ผู้อื่นเห็นได้

โดยเฉพาะพวกฉางเซิง ฉางเซิน และหลานโซ่วที่มักจะมาที่นี่บ่อยๆ

ต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกันก็ไม่ได้

เพราะคนพวกนี้ล้วนเป็นคนอารมณ์ร้อนและปากสว่าง เผลอทีเดียวอาจจะเปิดเผยความลับออกไป

นั่นจะขัดกับหลักการพัฒนาตนเองอย่างเงียบๆ ของเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังถูกจูอวิ่นเหวินจับตามองอยู่!

จูอวิ่นเหวินนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือนางหลี่ว์ มารดาที่อยู่เบื้องหลังเขา

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาสักนิด!

บิดาของนางหลี่ว์ชื่อว่าหลี่ว์เปิ่น เป็นชาวโซ่วโจว เคยเป็นขุนนางในราชวงศ์หยวน

ด้วยประวัติครอบครัวที่ดำมืดเช่นนี้ นางหลี่ว์กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารัชทายาทได้ ก็เพราะความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ และความสามารถในการเข้ากับผู้คนได้ทุกระดับของนาง

ตอนนี้เขาได้แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์พืชมาไม่น้อย แต่ทำได้เพียงแอบปลูกไว้ในเรือนเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

ตอนนี้ทำได้เพียงรอให้จูหยวนจางแต่งตั้งเขาเป็นอ๋อง แล้วรีบไปยังเมืองของตนเอง หนีไปให้ไกล

เมื่อมีดินแดนและกองกำลังของตนเองแล้ว ก็จะสามารถค่อยๆ สะสมกำลังได้

ตอนที่จูอวิ่นเหวินกับจูตี้สู้รบกัน ก็ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ความวุ่นวายนี้ได้

ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดก่อนที่จะไปยังเขตศักดินาของตน ทุกอย่างจะต้องไม่ถูกเปิดเผย

“หลานผู้แสนดีของข้าเอ๋ย ข่าวดี ข่าวดีมากๆ!”

ฉางเซิงยังไม่ทันเข้ามา เสียงดังลั่นของเขาก็ตะโกนเข้ามาเสียก่อน

ข่าวดี?

ขมับของจูอวิ่นเทิงเต้นตุบๆ

เกรงว่าคงไม่ใช่ข่าวดีอะไร!

“ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้าเข้าวัง มีเรื่องสำคัญต้องหารือ” ฉางเซิงกล่าว “ม้าก็เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว”

ครั้งนี้ฉางเซิงนำม้าเหงื่อโลหิตมาด้วย

จูอวิ่นเทิงจะไปเลี้ยงม้าเป็นที่ไหนกัน ม้าเหงื่อโลหิตล้วนเป็นฉางเซิงที่ให้คนเลี้ยงไว้

จูอวิ่นเทิงทำหน้าบูดบึ้ง “เสด็จปู่มีเรื่องด่วนอะไรหรือ? ถึงจำเป็นต้องให้ข้าไปด้วย? ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่นา”

ฉางเซิงถึงกับหมดคำพูดกับหลานนอกคนนี้

เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจูอวิ่นเทิงอย่างชัดเจน ต้องเกิดความรู้แจ้งขึ้นแล้วแน่ๆ

แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สำหรับเรื่องการเข้าประชุมราชสำนักที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา เขากลับไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย!

ฉางเซิงคว้าตัวจูอวิ่นเทิงไว้ “จะมีประโยชน์หรือไม่มี ไปก็รู้เอง จำไว้นะ ต้องเหนือกว่าเจ้าเด็กจูอวิ่นเหวินให้ได้!”

“พี่รองก็อยู่ในท้องพระโรงด้วยหรือ?”

“ใช่แล้ว จูอวิ่นเหวินก็อยู่ด้วย ฝ่าบาททรงเรียกเจ้าไปโดยเฉพาะ ต้องเป็นเพราะอยากให้เจ้าได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่แน่ๆ! ลุงเชื่อในตัวเจ้า!”

ฉางเซิงบอกว่าเชื่อในตัวจูอวิ่นเทิง สู้บอกว่าเชื่อในตัวจูหยวนจางจะดีกว่า

เมื่อเข้าไปในท้องพระโรง เหล่าขุนนางยืนกันอยู่อย่างหนาแน่น

ขุนนางที่กำลังหารือกันอยู่ก็พลันเงียบเสียงลง มองมาที่จูอวิ่นเทิงและฉางเซิงเป็นตาเดียว

จูอวิ่นเทิงยังคิดจะแอบไปอยู่แถวหลัง

“อวิ่นเทิง มายืนข้างหน้า ให้เราได้ดูเจ้าดีๆ หน่อย”

น้ำเสียงของจูหยวนจางดังมาก แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง

ด้วยความจำใจ จูอวิ่นเทิงทำได้เพียงแสดงสีหน้า “ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล” เดินไปข้างหน้าสุด

จูอวิ่นเหวินยืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่แถวหน้า

“น้องสาม มา มายืนตรงนี้” จูอวิ่นเหวินดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง

จูหยวนจางกำลังจะเอ่ยขึ้น เสียงในใจของจูอวิ่นเทิงก็ดังเข้ามาในหัว [วันนี้มีเรื่องสำคัญอะไรอีกหรือ? หนึ่งเดือนแล้ว หลานอวี้ก็น่าจะทำลายระบบขุนนางของหยวนเหนือได้แล้ว ประมุขหยวนกับรัชทายาทหนีไปได้ ก็ไม่กระทบต่อสถานการณ์โดยรวม]

จูหยวนจางมองจูอวิ่นเทิงอย่างไม่วางตา

พระราชนัดดาคนนี้ คาดการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกแล้ว!

หนึ่งเดือนก่อน จากเสียงในใจทำให้รู้ว่าประมุขหยวนซ่อนตัวอยู่ที่ทะเลปู่อวี๋เอ๋อร์

จากการวิเคราะห์ในใจของจูอวิ่นเทิง ประกอบกับประสบการณ์ในสนามรบของพระองค์เอง จูหยวนจางปักธงว่าสถานที่แห่งนี้ถูกต้องอย่างแน่นอน!

จึงมีออกคำสั่งให้ส่งสาส์นด่วนแปดร้อยลี้ นำข่าวไปแจ้งแก่หลานอวี้

หลานอวี้ได้รับราชโองการ ก็เตรียมเสบียงแห้งให้พร้อม ทิ้งสัมภาระหนัก แล้วมุ่งตรงไปยังทะเลปู่อวี๋เอ๋อร์ด้วยความเร็วสูงสุด

แทบจะกวาดล้างราชวงศ์หยวนได้ทั้งหมดในคราวเดียว!

น่าเสียดายที่ประมุขหยวนพารัชทายาทหนีไปได้

ขุนนางในราชสำนักต่างมองไปที่จูหยวนจาง ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงเหม่อลอยไปเล็กน้อย หรืออาจจะถึงขั้นเสียกิริยา

เดิมทีจูอวิ่นเหวินคิดว่าจูหยวนจางกำลังมองมาที่ตนเอง แต่กลับพบว่าไม่ใช่

ผู้ที่ทรงจ้องมองอย่างไม่วางตานั้น คือจูอวิ่นเทิงที่อยู่ข้างๆ

พอหันไปมองจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ไหนเลยจะมีท่าทีของพระราชนัดดา

ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหลาะแหละ ไม่มีความสง่างาม!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เสด็จปู่จะทรงจ้องมองเขาเช่นนั้น

นี่เป็นการตำหนิอย่างเห็นได้ชัด หรืออาจจะเป็นการเตือน

เพียงแต่ว่า น้องชายไร้ประโยชน์ของตนเองคนนี้ไม่เข้าใจ

ในที่สุดจูหยวนจางก็ละสายตา แล้วกวาดตามองไปรอบๆ “วันนี้ มีข่าวหนึ่งที่เราจะแจ้งให้ทุกคนรู้ หลานอวี้พบตัวทัวกู่ซือเทียมู่เอ๋อร์แล้ว! ฉีไท่เจ้าอ่านรายงานชัยชนะ”

หลานอวี้ชนะศึกแล้วหรือ?

ในท้องพระโรงพลันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที!

หนึ่งเดือนก่อนขุนนางฝ่ายบุ๋นและขุนนางฝ่ายบู๊ยังคงถกเถียงกันไม่เลิกเรื่องที่หลานอวี้จะถอยทัพหรือไม่

ดีล่ะ ตอนนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว

ฉางเซิงและเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในการต่อสู้กับขุนนางฝ่ายบุ๋นครั้งนี้ ขุนนางฝ่ายบู๊เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์

ครั้งนี้หลานอวี้จับโอรสสามคนของประมุขหยวนได้ จับเชลยองค์หญิง ฮองเฮา สนม และขุนนางต่างๆ ได้กว่าสามพันคน พลเรือนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันกว่าคน วัว แกะ ม้า รวมทั้งสิ้นกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตัว ตราพระราชลัญจกร ทอง เงิน และสัมภาระนับไม่ถ้วน

จากนั้นกองทัพของหลานอวี้ยังบุกทะลวงค่ายทหารของฮาล่าจางขุนนางคนสำคัญของหยวนเหนือ จับเชลยได้หนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคน ปศุสัตว์อีกสี่หมื่นกว่าตัว

ในตอนนี้ จูอวิ่นเหวินก็คุกเข่าลงเสียงดังตุบ “ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์เรา! เสด็จปู่ทรงคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ แจ้งที่ซ่อนของประมุขหยวนแก่กองทัพ ในที่สุดจึงมีชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

ฉีไท่คุกเข่าเป็นคนที่สอง ขุนนางคนอื่นๆ ก็ได้สติ คุกเข่าลงกันพึ่บพั่บ เสียงโห่ร้องสรรเสริญดังกึกก้อง

เหลือเพียงจูอวิ่นเทิงคนเดียวที่ยังยืนอยู่

โดดเด่นเกินไปแล้ว!

จูอวิ่นเทิงจึงต้องคุกเข่าลงตาม ในกายมีสายเลือดตระกูลจูไหลเวียนอยู่ คุกเข่าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

[ตาเฒ่าจูนี่เก่งจริงๆ! แค่มองจากแผนที่ก็ดูออกว่าประมุขหยวนซ่อนตัวอยู่ที่ไหน!]

คำชื่นชมของจูอวิ่นเทิง ทำให้ใบหน้าชราของจูหยวนจางแดงขึ้นมา

ตัวเองมองออกที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะได้ยินเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงต่างหาก

จะว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นพระราชนัดดาคนนี้ของตนที่เก่งกาจ!

น่าเสียดายที่พระราชนัดดาคนนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท!

เอาแต่ซ่อนเร้นตัวเอง!

จูหยวนจางโบกมือ “ลุกขึ้นเถิดทุกคน อย่าเอะอะก็คุกเข่า! ชัยชนะครั้งนี้ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง! ศึกครั้งนี้ของหลานอวี้ มีคุณูปการเทียบเท่าเว่ยหลี่!”

เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ได้ฟังก็ดีใจอย่างยิ่ง คุณงามความดีของหลานอวี้ สามารถเทียบได้กับแม่ทัพชื่อดังอย่างเว่ยชิงและหลี่จิ้ง!

“ฝ่าบาท” จูอวิ่นเหวินรอให้ทุกคนเงียบลงแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลานเห็นว่า ในศึกครั้งนี้ของแม่ทัพหลาน ความผิดนั้นใหญ่หลวงกว่าคุณงามความดีพ่ะย่ะค่ะ!”

ความผิดใหญ่หลวงกว่าคุณงามความดี?

คำพูดนี้ของจูอวิ่นเหวินมีที่มาที่ไปอย่างไร?

นอกจากฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหมแล้ว คนอื่นๆ ต่างมองว่าที่พระนัดดารัชทายาทผู้นี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status