Share

บทที่ 6

Author: กวนเหอว่านหลี่
“อวิ่นเทิง เหตุใดเจ้าไม่กินเล่า?”

จูหยวนจางไม่เข้าใจว่าหม้อไฟที่เจ้าเด็กนี่พูดถึงคืออะไร

สำหรับเขาแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เคยเป็นเรื่องที่ใส่ใจมากนัก

ต่อให้เป็นงานเลี้ยงท้อเซียน ก็ยังสู้ซุปไข่มุกหยกขาวและบะหมี่กระเทียมของเขาไม่ได้

ครั้งนั้น ตอนที่จูหยวนจางยังเป็นพระสงฆ์และต้องออกบิณฑบาตไปทั่ว อดอยากอยู่หลายวัน จนหิวเป็นลมไป

หญิงชราผู้หนึ่งได้ใช้ปลายข้าวกับเต้าหู้ที่เริ่มเปรี้ยวแล้วต้มเป็นโจ๊กชามหนึ่ง

โจ๊กชามนั้นช่วยชีวิตพระองค์ไว้

จูหยวนจางจึงตั้งชื่อให้ปลายข้าว (ไข่มุก) กับเต้าหู้เปรี้ยว (หยกขาว) ว่าซุปไข่มุกหยกขาว

“เสด็จปู่ หลานกินอิ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จูอวิ่นเทิงโกหกคำโต “สองสามวันนี้หลานเวียนศีรษะ กินอะไรไม่ค่อยลงพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวง

จูอวิ่นเทิงลุกขึ้นยืน “เสด็จปู่ ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ อาการป่วยของหลาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะนอนน้อยเกินไป โดยเฉพาะตอนเช้า ไม่สามารถตื่นเช้าเกินไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ต้องฟังเสียงในใจ จูหยวนจางก็รู้ว่า เจ้าเด็กนี่คิดจะอู้งาน

แต่ในใจกลับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา

ตั้งแต่เด็ก สุขภาพของจูอวิ่นเทิงดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก เช่นเดียวกับจูเปียวผู้เป็นบิดา

หลังจากมารดาของเขาสิ้นไป หมอหลวงก็เคยมาตรวจดู สุขภาพดูเหมือนจะยิ่งแย่ลง

เด็กก็โตแล้ว แต่กลับคลุกคลีอยู่กับสาวใช้สองคนทุกวัน

ร่างกายเสื่อมโทรมไปตั้งแต่อายุยังน้อย จะไม่ยิ่งแย่ลงไปอีกหรือ!

ต้องหาหญิงสาวจากตระกูลดีๆ ให้เขาสักคน ทางที่ดีคือต้องเก่งกาจสักหน่อย จะได้ควบคุมดูแลพระราชนัดดาคนนี้ให้ดี

“อวิ่นเทิง ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องมาประชุมเช้าแล้ว” จูหยวนจางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หากมีเรื่องอันใด เจ้าก็รอฟังคำสั่งจากเราได้ทุกเมื่อ”

ข่าวที่จูหยวนจางปรึกษาหารือและร่วมรับประทานอาหารเช้ากับทั้งสี่คนในตำหนักหย่างซิน ได้แพร่ออกไปผ่านทางกรมพระเครื่องต้นนานแล้ว

ทั้งในวังและนอกวังต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่

การที่ทรงปรึกษาหารือและร่วมรับประทานอาหารเช้ากับเสนาบดีกรมกลาโหม เสนาบดีกรมคลัง และไคกั๋วกงฉางเซิงนั้นก็ยังพอว่า

แต่พระราชนัดดาองค์ที่สามจูอวิ่นเทิงก็อยู่ที่นั่นตลอดเวลา!

การที่จูอวิ่นเทิงเข้าร่วมประชุมเช้าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง แล้วเขาก็สอบตกมิใช่หรือ?

หรือว่าฝ่าบาททรงดึงเขาไปพร้อมกับคนอีกสามคนที่ตำหนักหย่างซินเพื่อติวเข้ม ออกข้อสอบให้เป็นการส่วนตัว?

ผู้ที่ได้ข่าวเป็นคนแรกคือจูอวิ่นเหวิน แม้แต่ตำหนักเหวินหัวก็ไม่ไปแล้ว ตรงไปหามารดานางหลี่ว์ทันที

ถึงแม้นางหลี่ว์จะรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงวิเคราะห์ให้บุตรชายฟังในแง่ดี

“เหตุใดจึงเรียกจูอวิ่นเทิงไปที่ตำหนักหย่างซิน? นั่นก็เพื่อให้ตระกูลฉางตัดใจอย่างสิ้นเชิง!”

“ฝ่าบาทเพียงต้องการให้ฉางเซิงได้เห็นกับตาว่า หลานนอกของเขานั้นเป็นคนโง่เง่าเพียงใด!”

“ที่เรียกเสนาบดีกรมกลาโหมและเสนาบดีกรมคลังไปด้วย ก็เพื่อให้พวกเขาเป็นพยาน”

“อีกอย่าง เหตุใดจึงต้องเรียกไปที่ตำหนักหย่างซินเป็นการส่วนตัว นี่เรียกว่า… เรื่องน่าอายในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายให้คนนอกรู้!”

จูอวิ่นเหวินพลันตาสว่าง มารดาเฉียบแหลมยิ่งนัก!

เหตุใดข้าถึงมองข้ามจุดนี้ไปได้?

ต่อให้จูอวิ่นเทิงจะไร้ประโยชน์เพียงใด ก็ยังเป็นสายเลือดของราชวงศ์!

ระหว่างทางที่จูอวิ่นเหวินไปยังตำหนักเหวินหัว เขาบังเอิญพบกับฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหม

มารดาบอกเขาว่า ฉีไท่เป็นคนที่ไว้ใจได้

หากดูจากอายุแล้ว ฉีไท่สามารถเป็นแขนขวาของเขาในอนาคตได้เลย

ฉีไท่ได้บรรยายสถานการณ์ในที่ประชุมเช้าและในตำหนักหย่างซินตามความเป็นจริง

โดยเฉพาะบทสนทนาระหว่างฝ่าบาทกับจูอวิ่นเทิง แทบจะไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว

หลังจากฟังจบ จูอวิ่นเหวินก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

เป็นไปตามคาด จูอวิ่นเทิงยังคงโง่เขลาเช่นเดิม

ตนเองถึงกับต้องมาวุ่นวายใจเพราะเขา!

สุดท้ายเสด็จปู่ยังตรัสอีกว่า ต่อไปนี้จูอวิ่นเทิงไม่ต้องมาประชุมเช้าแล้ว

นี่แสดงให้เห็นว่า เสด็จปู่ทรงผิดหวังกับการแสดงออกของจูอวิ่นเทิงในวันนี้แล้ว

ลองมองดูพี่น้องคนอื่นๆ ของตน ผู้ใดเทียบตนเองได้บ้าง?

ตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท นอกจากข้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?

......

เดิมทีจูอวิ่นเทิงคิดจะกลับเรือนโดยตรง แต่ฉางเซิงกลับตื่นเต้นเป็นพิเศษ จะลากเขาไปดื่มฉลองกันที่บ้านให้ได้

ตลอดสี่ปีมานี้ จูอวิ่นเทิงอยู่ในวังไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

เพิ่งเกิดมา มารดาก็สิ้นไป จูเปียวจึงรู้สึกรังเกียจเขาอยู่ลึกๆ ในใจประมาณหนึ่ง

ส่วนพระชายาหลี่ว์ที่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทุกวัน ก็มองเขาเป็นดั่งก้างขวางคอ เป็นหนามยอกอก

เพราะเหตุผลทางสายเลือด พระชายาหลี่ว์จึงมองเขาเป็นอุปสรรคขวางทางของจูอวิ่นเหวินมาโดยตลอด

ไม่ว่าเขาจะโง่เง่าหรือไม่ ท่านลุงทั้งสองฉางเซิงและฉางเซิน กลับดีต่อเขาเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะหลังจากที่นางฉางสิ้นไป พระชายาหลี่ว์ก็ได้ขึ้นเป็นชายาเอก กลายเป็นพระชายารัชทายาท

แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางได้เป็นพระนัดดารัชทายาท ฉางเซิงก็ยังซื้อจวนแห่งนี้ให้เขา

หลานอวี้ซึ่งเป็นน้าทวดของเขา ก็มักจะส่งของแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เขาอยู่เสมอ

ครั้งที่ไปรบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้ยึดลูกม้ามาตัวหนึ่งซึ่งเป็นม้าเหงื่อโลหิต ก็ยังอุตส่าห์ส่งผู้บัญชาการคนหนึ่งนำกลับมาให้เขาโดยเฉพาะ

เรื่องนี้ทำให้จูหยวนจางไม่พอใจอย่างยิ่ง หลานอวี้ทำศึกอยู่แนวหน้า ยังมีแก่ใจทำเรื่องเช่นนี้อีก!

หลังจากที่ยกทัพกลับมา จูหยวนจางยังตำหนิหลานอวี้ในเรื่องนี้

พวกนักรบเหล่านี้ ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งอะไรนัก

ปัจจัยแรกที่พวกเขาคำนึงถึง มักจะเป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือด

หลานนอกคนโตของฉางเซิงคือจูสยงอิง นี่คือผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของต้าหมิงในอนาคต

น่าเสียดายที่จูสยงอิงเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้แปดขวบ

ตระกูลฉางและตระกูลหลานจึงฝากความหวังไว้ที่หลานนอกคนเล็กจูอวิ่นเทิง

เพียงแต่สมองของจูอวิ่นเทิงไม่ค่อยจะดีนัก

นั่งบัลลังก์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกหน่อย

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉางและตระกูลหลานจึงดีต่อจูอวิ่นเทิงมากขึ้น

พอเข้ามาในโถงด้านหน้าของฉางเซิง หลานโซ่วบุตรชายของหลานอวี้ก็เดินเข้ามาต้อนรับ “อวิ่นเทิง วันนี้เข้าประชุมเช้ามา นั่งสิ รีบเล่าให้ฟังหน่อย”

เมื่อเห็นหลานโซ่ว จูอวิ่นเทิงก็นึกถึงคำว่าเสียใจจนอยากร้องไห้ที่เป็นคำพ้องเสียง

ตามประวัติศาสตร์แล้ว อีกไม่กี่ปีต่อมาคดีของหลานอวี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หลานอวี้จะถูกประหารเก้าชั่วโคตร

จูอวิ่นเทิงคิดในใจ รอให้หลานอวี้กลับมา จะต้องหาทางหยุดยั้งโศกนาฏกรรมนี้ให้ได้

ฉางเซิงเล่าเรื่องราวในราชสำนักให้ฟังอย่างละเอียด

หลานโซ่วเบิกตากว้าง “หมดแล้ว? มีแค่นี้เองหรือ?”

ฉางเซิงกล่าว “แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? คนที่สามารถเข้าไปในตำหนักหย่างซินของฝ่าบาทได้จะมีสักกี่คน? แล้วคนที่ได้รับประทานอาหารร่วมกับฝ่าบาท จะมีสักกี่คน?”

หลานโซ่วดีใจยิ่งนัก คำตอบของจูอวิ่นเทิงฟังดูไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้ผิดพลาด!

แค่นี้ก็พอแล้ว!

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ฝ่าบาททรงยอมให้โอกาสหลานนอกคนนี้ได้แสดงความสามารถ!

นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี!

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีโอกาสเลยแม้แต่น้อย

ฉางเซิงพูดถึงเรื่องสงครามทางเหนืออีกครั้ง ฝ่าบาททรงระบุตำแหน่งที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนได้แล้ว

หลานโซ่วเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

ในฐานะบุตรชายคนเล็กของหลานอวี้ เขามีความสนใจในสนามรบและการต่อสู้อยู่แล้ว

เพียงแต่ทุกครั้งที่หลานอวี้ออกศึก จะต้องทิ้งเขาไว้ที่บ้าน ทำให้เขาหงุดหงิดใจยิ่งนัก

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของฉางเซิง หลานโซ่วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า ฝ่าบาทยังคงเก่งกาจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

ฉางเซิงมองไปที่จูอวิ่นเทิงอีกครั้ง เห็นเขามีท่าทีสงบนิ่ง ราวกับรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว ก็อดที่จะสับสนไม่ได้

ทุกครั้งฝ่าบาทจะเอ่ยถามจูอวิ่นเทิงก่อน จากนั้นจึงตัดสินใจ

แม้ว่าจูอวิ่นเทิงจะไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นรูปธรรม แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งฝ่าบาทจะพอใจอย่างยิ่ง!

ก่อนกลับ ฝ่าบาทยังทรงกำชับเป็นพิเศษว่าอวิ่นเทิงไม่ต้องเข้าประชุมเช้าแล้ว

นี่เป็นเพราะคำนึงถึงสุขภาพของอวิ่นเทิง!

แถมยังกล่าวอีกว่ามีเรื่องเมื่อไรค่อยเรียกหาเขา

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ฝ่าบาททรงชื่นชมอวิ่นเทิงถึงระดับใด!

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ฝ่าบาทชื่นชมหลานนอกคนนี้ของตนที่จุดไหนกันแน่

จะเป็นจุดไหนกันนะ บางทีฝ่าบาทอาจจะสายตาเฉียบแหลม และทรงค้นพบแล้ว

แต่ในฐานะท่านลุง กลับยังไม่รู้อะไรเลย

เมื่อพิจารณาจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าเจ้าเด็กปัญญาอ่อนคนนี้ดูเหมือนจะมีแววฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อนจริงๆ

เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้

คนก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับมีกลิ่นอายของความสงบเยือกเย็นแผ่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก

นี่เป็นการค้นพบอย่างฉับพลัน!

ขณะที่กำลังคิดเพลินๆ อยู่นั้น จูอวิ่นเทิงก็เอ่ยขึ้น “ท่านลุง เมื่อวานเสด็จปู่ยังแอบบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า เราไม่กังวลว่าหลานอวี้จะทำศึก แต่เรากังวลว่าหลังจากทำศึกเสร็จแล้วเขาจะทำเรื่องโง่ๆ”

ฝ่าบาทกังวลว่าหลานอวี้จะทำเรื่องโง่ๆ ?

ฉางเซิงและหลานโซ่วลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไร?”

จูอวิ่นเทิงเอ่ยขึ้น “เสด็จปู่ทรงกังวลว่า หลานอวี้จับฮองเฮา สนมและองค์หญิงของฮ่องเต้หยวนได้แล้ว จะอดใจไม่ไหวล่วงเกินพวกนาง”

ฉางเซิงกล่าว “อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ฝ่าบาททรงมองการณ์ได้แม่นยำจริงๆ !”

หลานโซ่วหน้าแดงขึ้นมา “ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสถึงผลที่ตามมาหรือ?”

“ฝ่าบาทตรัสว่า หากหลานอวี้กล้าทำเช่นนี้ เราจะตัดของสืบสกุลของเขามาให้สุนัขกิน!”

ทั้งสองคนตกใจ คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดของฝ่าบาทจริงๆ !

ฉางเซิงเอ่ยขึ้น “รีบเขียนสาส์นลับ ส่งด่วนแปดร้อยลี้!”

หลานโซ่วก็ร้อนใจ “ใช่ ไปหาฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหม! อย่างไรเสียก็เป็นความประสงค์ของฝ่าบาท ส่งไปพร้อมกับราชโองการเลย!”

ในที่สุด จูอวิ่นเทิงก็วางใจแล้ว

เมื่อมีสาส์นลับฉบับนี้ หลานอวี้ที่ได้รับชัยชนะกลับมาคงจะไม่เหิมเกริมเหมือนในประวัติศาสตร์อีก

ในประวัติศาสตร์ เขาไม่เพียงแต่ข่มขืนฮองเฮาของฮ่องเต้หยวน

ตอนที่เขาได้รับชัยชนะกลับมาทางใต้ถึงด่านสี่เฟิง ฟ้าก็มืดแล้ว ทหารเฝ้าด่านเปิดประตูไม่ทัน

เขาก็ปล่อยให้ทหารทำลายด่าน พังประตูเข้าไป

เรื่องนี้ทำให้จูหยวนจางพิโรธอย่างยิ่ง เดิมทีจะแต่งตั้งหลานอวี้เป็นเหลียงกั๋วกงซึ่งคือบรรดาศักดิ์เหลียงที่หมายถึงคาน ก็ทรงตวัดพู่กันเปลี่ยนจากบรรดาศักดิ์เหลียง เป็นเหลียงที่มีความหมายว่าหมดหวังแทน

จากบรรดาศักดิ์เหลียงที่หมายถึงคานไปเป็นเหลียงที่หมายถึงหมดหวัง หลังจากนั้นชีวิตของหลานอวี้ ก็หมดหวังตามคำว่าเหลียงจริงแล้วๆ

ในเมื่อได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว แน่นอนว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยให้ญาติของตนซ้ำรอยเดิมไม่ได้

อาศัยชื่อของจูหยวนจางเพื่อเตือนหลานอวี้ล่วงหน้า เชื่อว่าหลานอวี้คงจะยับยั้งชั่งใจมากขึ้นกระมัง

หลังจากฉางเซิงเขียนเสร็จ ก็ไปหาฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหมพร้อมกับหลานโซ่ว

ฉีไท่รับปากอย่างเต็มที่ว่าจะส่งไปพร้อมกับราชโองการของฝ่าบาท

หลังจากที่ฉางเซิงและหลานโซ่วจากไป ฉีไท่ก็เปิดสาส์นลับออก

“นี่คือความประสงค์ของฝ่าบาท? เหตุใดวันนี้จึงไม่มีรับสั่ง?” ฉีไท่หัวเราะเยาะ แล้ววางสาส์นลับไว้บนชั้นหนังสือ
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 83

    “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!”ยิ่งมูเหยาขัดขืน จูอวิ่นเทิงก็ยิ่งเข้ามาแนบชิด“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันมีกายเป็นหญิง” มู่เหยาพูดจบ จูอวิ่นเทิงก็ปล่อยนางมู่เหยาไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยมือในตอนนี้อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้“เจ้ามีกายเป็นหญิง เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ฟังดูเหลวไหลมาก บอกมาดีกว่า อย่ามาหลอกข้า”เสี้ยวอำมหิตฉายวาบในดวงตาของจูอวิ่นเทิงมู่เหยาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร “อู๋อ๋อง หม่อมฉันเป็นคนอวิ๋นหนาน เมื่อราชวงศ์ต้าหมิงเริ่มก่อตั้ง จำนวนขันทีขาดแคลนมาก ทางการจึงยัดเยียดรายชื่อหนึ่งให้กับครอบครัวของหม่อมฉัน”“หม่อมฉันมีน้องชายเพียงคนเดียว พ่อแม่หม่อมฉันตัดใจไม่ลง”“ครอบครัวของหม่อมฉันในท้องถิ่นถือว่ามั่งคั่ง จึงใช้เงินเพื่อติดสินบนขุนนางทุกระดับ สุดท้ายก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมา”“หม่อมฉันเป็นหญิง ฝ่าบาทก็ไม่รู้เช่นกัน”จูอวิ่นเทิงเดินวนรอบกายมู่เหยา เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริงประการแรก ฝ่าบาทเป็นคนส่งมู่เหยามาจริง ๆ เรื่องนี้เจิ้งเหอสามารถเป็นพยานได้สุขภาพของตนเองอ่อนแอ เรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ฝ่าบาทส่งขันทีคนหนึ่งมาเพื่อไม่ปล่อยให้วัน ๆ เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่ในความเย้าย

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 82

    จูอวิ่นเทิงกลับมาถึงเรือน เจิ้งเหอ เหมยเอ๋อร์ และหลานเอ๋อร์ถูกแก้มัดเชือกกันหมดแล้ว“มู่เหยาไปไหนหรือ?”“มู่เหยาบอกว่า เขาจะเข้าวังเพคะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวเอ๊ะ ฮ่า ๆ!มู่เหยาไม่อยู่!อย่างนั้นก็เข้าไปในห้องกับเหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ ถ่ายทอดความรู้ทางร่างกายแก่พวกนางได้น่ะสิ?เจิ้งเหอรู้ว่าหัวใจวสันต์ของคุณชายเริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กน้อย ก่อนกลับไปยังห้องของตัวเอง“เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้าเข้าไปแล้วนะ”จูอวิ่นเทิงเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงของมู่เหยา “เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”ร่างของจูอวิ่นเทิงพลันชะงัก ขันทีน้อยผู้นี้กลับมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ!ไม่ใช่สิ กลับมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยต่างหาก!เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เห็นดังนั้น ก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบถอยไปยังหลังเรือนมู่เหยาเข้ามาในเรือน จูอวิ่นเทิงได้โผเข้าหาทันทีสวมกอดมู่เหยาไว้ว้าย! มู่เหยาไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาเสียงดัง“อย่าร้อง ร้องไปก็เปล่าประโยชน์!”จูอวิ่นเทิงดันมู่เหยาไปชิดผนังอย่างดุดันมู่เหยาคิดขัดขืน แต่จูอวิ่นเทิงพลันยันผนังคร่อมไว้“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ?” มู่เหยาหน้าแดงก่ำ“ข

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 81

    [ตาเฒ่า ท่านจะเอาแต่ดื้อรั้นเช่นนี้ไม่ได้! อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง]การบ่นของจูอวิ่นเทิงทำให้จูหยวนจางหมดคำพูด เราสามารถพูดเสียงในใจของเจ้าออกมาได้ไหม?[เหตุผลก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?][เจ้าเมืองคนหนึ่ง เก็บภาษีเงินและเสบียงได้เกินเป้าทุกปี! นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกหรือ?]จูหยวนจางคิดในใจว่า การเก็บภาษีได้เกินเป้ามันคือผลงาน เหตุใดถึงกลายเป็นปัญหาไปได้?ความคิดของหลานสามผู้นี้ มักจะพิลึกพิลั่นอยู่เสมอ![ตำแหน่งกำหนดความคิด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็นขุนนางสมัยหนึ่ง ก็ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่นนั้น นี่คือจุดยืนและมุมมองอันเป็นพื้นฐานที่สุด!][ราชสำนักให้เจ้าเก็บเสบียงและภาษีเกินเป้าแล้วหรือ?][เมื่อไม่ได้ให้เจ้าเก็บภาษีเกินเป้า หวงจื่อซิ่น เจ้าหลอกลวงเบื้องบน!][ประชาชนคิดว่าราชสำนักให้เก็บเสบียงและภาษีเพิ่ม หวงจื่อซิ่น เจ้าปิดบังเบื้องล่าง!][เก็บเกินเป้าสองส่วน หนึ่งส่วนที่เพิ่มมามอบให้ราชสำนัก ได้รับชื่อเสียงในฐานะขุนนาง! อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้กับตนเอง เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว!][เพิ่มภาระให้กับชาวนา! ทวีความคับแค้นของชาวนาที่มีต่อราชสำนัก! อาศัยเรื่องน

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 80

    ดวงพระเนตรของจูหยวนจางเบิกกว้างโดยพลัน มองไปทางจูอวิ่นเทิงการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาท!!!เกี่ยวข้องกับหวงจื่อซิ่น?!จูอวิ่นเทิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนของจูหยวนจาง มันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ[ไม่ใช่กระมัง ตาเฒ่าจู ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!][ตอนแรกข้าก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่พอถูกเขามองแบบนี้กลับทำให้ดูมีเงื่อนงำขึ้นมาได้!][พระทัยของฮ่องเต้ คาดเดาได้ยากจริง ๆ ด้วย]จูหยวนจางรีบละสายตามองไปที่หวงจื่อเฉิงหวงจื่อเฉิงลังเลเล็กน้อยเช่นกัน พระเนตรของฝ่าบาทสามารถฆ่าคนได้เลย!หวงจื่อซิ่นเป็นญาติผู้น้องของเขา!ที่หวงจื่อซิ่นสามารถเป็นเจ้าเมืองหางโจว ก็เพราะจูอวิ่นเหวินเป็นคนแนะนำให้จูเปียวฝ่าบาทรู้ว่าเขากับฉีไท่สนิทกัน การที่ฉีไท่เป็นคนแนะนำหวงจื่อซิ่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร[ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง แต่ก็ไม่แปลก การตายของรัชทายาทคงทำให้ไม่อาจสงบพระทัย][หวงจื่อซิ่น นึกออกแล้ว! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้!][ชาวอุทัยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่เมืองหางโจวภายใต้การนำของอันธพาลท้องถิ่น ทำการเผา สังหาร และปล้นสะดม จากนั้นเดินออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่เกรงกล

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 79

    หวงจื่อเฉิงไม่ยอมแพ้!เพราะการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้มันเหลวไหลมากจริง ๆ!สำนักโหรหลวง มันใช่ที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้หรือ?ต่อให้เจ้ามีความรู้มากมาย มีความสามารถเป็นเลิศ เข้าสำนักโหราศาสตร์ไปแล้วก็คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆนอกจากนี้ คนด้านในก็หยิ่งผยองกันทั้งนั้น!อยู่ในถิ่นของพวกเขา อย่าหวังว่าจะเข้าไปยุ่งได้!หากส่งคนที่ไม่รู้เรื่องไปสั่งการ มันจะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรือ?“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญของบ้านเมืองมีสองประการ คือการบูชาและการสงคราม การบูชามีการแจกจ่ายเครื่องเซ่น การสงครามมีการแบ่งสรรอำนาจ ทั้งสองล้วนเป็นพิธีการสำคัญที่ใช้ติดต่อกับสวรรค์เบื้องบน”“แม้อู๋อ๋องจะมีความสามารถ แต่ในแง่ของการสังเกตดวงดาวและภูมิศาสตร์แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่ด้านที่ถนัด”“ฝ่าบาท กระหม่อมมองว่าการให้อู๋อ๋องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมสำนักโหราศาสตร์หลวง ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”จูอวิ่นเทิงโมโหมาก หวงจื่อเฉิงชอบขัดขาเขาอยู่เรื่อย!ข้าก็แค่สั่งสอนหวงเฉิงอิ้นลูกชายเจ้าไปเพียงเล็กน้อยที่สำคัญคือ คนผู้นี้รนหาที่เอง สมควรโดนดี!มาเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่กลับวางท่าโอ้อวด!แต่ว่า คำคัดค้านของหวงจื่อเฉิงก็สามารถใช้ให้เกิ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 78

    โหรหลวงคืออะไร หากเป็นคนปกติก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะอยากรับตำแหน่งนี้!โหรหลวงมีชื่อเดิมว่าผู้เฝ้ามองดวงดาว ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ คำนวณปฏิทิน สำนักโหรหลวงจะทำงานแค่เฉพาะเหตุการณ์สำคัญเท่านั้นหากมีภัยธรรมชาติ โหรหลวงจะต้องคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะพิโรธหากเกิดสงคราม โหรหลวงจะต้องทำนายสภาพอากาศ ถ้าทำนายผิดพลาด อาจมีภัยมาถึงตัว!ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหน้าที่ของไท่สื่อลิ่งก็ดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และประกอบพิธีบวงสรวง ซือหม่าเชียนที่ถูกตอนก็เคยดำรงตำแหน่งนี้[ครานี้ก็อยู่ที่ว่า ตาเฒ่าจูจะตอบตกลงหรือไม่!][โหลหลวงสบายจะตาย! ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์!][เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น! ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวัน!][หากมีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขออภัย ฝ่าบาท ข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า!][อะไรนะ เข้าประชุมงั้นหรือ? ประชุมอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า?][ประชุมหรือ? ชู่ว อย่าเสียงดัง! ข้ากำลังคุยกับเง็กเซียนฮ่องเต้!][ตาเฒ่าจู ท่านไม่ให้ข้าออกจากเมืองอิ้งเทียนใช่หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าดาวจื่อเวยปรากฏที่เมืองซงเจี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status