เซียวหลันยวนถามเจ้าอารามโยวชิงแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะเจ้าอารามโยวชิงดูคุ้นเคยกับที่นี่มาก อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าเหมือนเพิ่งมาครั้งแรก"ยังขอรับ"เจ้าอารามโยวชิงกลับส่ายหัว "ไม่เคยมา แต่ก็ค้นคว้าประวัติศาสตร์ทั้งทางการและไม่เป็นทางการ หนังสือที่สืบทอดมาในตระกูล ก็พลิกอ่านจนแทบจะเปื่อยหมดแล้ว"เซียวหลันยวนไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นดังนั้น สายเลือดราชครู ก็น่าจะไม่เปิดเผยความลับทั้งหมดต่อราชวงศ์โดยสิ้นเชิง เพื่อรักษาสถานะของตระกูลตนเองเอาไว้ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าอารามอยู่กับเขามานานหลายปี เขาก็ยากที่จะไว้วางใจราชครูแบบนี้เจ้าอารามโยวชิง เหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เขายิ้มๆ จากนั้นก็มองเซียวหลันยวนอย่างตั้งใจ"อายวน อันที่จริง ข้าแค่ต้องการให้เรามีความไว้วางใจกันและกันมากกว่าราชวงศ์ตงฉิงกับสายเลือดราชครูในอดีต และเต็มใจที่จะพึ่งพากันมากขึ้น จึงอยู่เคียงข้างเจ้าจนเติบใหญ่ที่อารามโยวชิง"เซียวหลันยวนตะลึงเล็กน้อย"ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าทำไมข้าต้องอยู่แต่ในยอดเขาโยวชิงล่ะ? ในฐานะสายเลือดราชครู นอกจากเรียนรู้กับฝึกฝนการสังเกตดาวบนเขาแล้ว ยังต้องท่องไปทั่วทั้งแดนด้วย ไปดูทั
"ข้าจะสั่งคนรับผิดชอบสำรวจร้านรวงกับบ้านเรือนในเมืองทั้งหมด ตอนนี้ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าไปบ้านเรือนทางซ้ายขวาตามอำเภอใจ"เซียวหลันยวนพวกชิงอีไปปิดประตูเมืองช่างที่เสิ่นเสวียนพามาก็ให้อยู่ที่นี่ค่อยตรวจสอบกับซ่อมแซมประตูเมือง และยังมีคนรับผิดชอบเรื่องการเสริมแกร่งด้วยส่วนองครักษ์เงามังกรก็มีกลุ่มหนึ่งขึ้นไปบนหอเมืองคนที่เหลือล้วนตามเจ้าอารามโยวชิงตรงไปยังวังจักรพรรดิพวกเขาเดินผ่านถนนสายยาว แต่เบื้องหน้าก็เหมือนจะยังคงเป็นกำแพงสูงทอดยาว รอบๆ ก็เหมือนจะมีแม่น้ำในเมืองด้วยตอนนี้แม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็ง ซ้ายขวาปกคลุมด้วยหิมะตลอดทางที่เดินมา ก็ยังไม่เห็นเข้ากับโครงกระดูกอะไรเลย แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกหิมะกลบทับไว้ ดังนั้นจึงมองไม่เห็น"วังจักรพรรดิอยู่ที่ไหนหรือ?" อันห่าวดูตึงเครียดหน่อยๆ เพราะในเมืองนี้เงียบสงัดเกินไป พอนางนึกถึงว่าเมื่อก่อนที่นี่เคยคึกคักมีผู้คนมากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าตายอยู่ที่นี่กันหมดหรือเปล่า จึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาคนอื่นอันที่จริงก็รู้สึกเหมือนกัน เหยียบพื้นหิมะดังสวบสาบ ก็ทำพวกเขาไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่รู้ว่าใต้หิมะมีอะไรอยู่หรือเปล่าแต่ต่อให้อยู่ในอารมณ์เช่นนี
"ถ้างั้นก็เข้าไปด้วยกันเถอะ"เซียวหลันยวนตัดสินใจแล้ว"ทุกคน"เจ้าอารามโยวชิงเอ่ยขึ้น "หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในเมืองแล้ว ประตูเมืองก็ให้ปิดทันที"เขามองไปทางเซียวหลันยวน "ตอนที่พวกเราเข้ามาก็พบร่องรอยรถม้าอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าจะเป็นของพวกเจ้า แคว้นเจา ต้าชื่อ กระทั่งแคว้นหมิ่น พวกเขาจะต้องรู้แล้วว่าเจ้ามาที่ตงฉิง ตอนนี้ตงฉิงก็เข้าสู่ฤดูหนาว พวกเขาอาจจะไม่ได้มาสืบอย่างเปิดเผยในทันที แต่ต้องส่งคนเข้ามาดูแน่นอน"คนจากขั้วอำนาจหลายแห่งมารวมอยู่ด้วยกันแบบนี้ ถ้าหากพวกเขาจับมือกันชั่วคราว ก็เท่ากับว่าเซียวหลันยวนต้องรับมือกับขั้วอำนาจหลายแคว้นเพียงลำพัง"แล้วยังมีคนของลัทธิเทพทำลายล้างอีก"เสิ่นเสวียนถาม "เจ้าอารามพูดเช่นนี้ เพราะรู้ว่าเมืองหลวงมีการป้องกันที่แน่นหนาหรือ?"ถ้าปิดประตูเมืองแล้ว สามารถต้านทานการรุกล้ำของศัตรูได้?"บันทึกที่ตระกูลข้าทิ้งไว้ ละเอียดกว่าหนังสือที่พวกท่านหามาได้เสียอีก ถ้าหากตอนนั้นจักรพรรดินีมีชีวิตต่อมาได้ บางทีอาจจะบอกสถานการณ์ของเมืองหลวงกับอายวนแล้ว"ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่เขารู้ มีมากกว่าที่เซียวหลันยวนรู้"แต่พวกท่านก็ไม่ต้องคิดมาก" เจ้าอารามโยวชิงเ
"ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ"เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นก่อน"ข้าหวังว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ยิ่งไปกว่านั้น กลไกปิดผนึกนี้ยังสามารถช่วยคนในวังหลวงได้"ถ้าหากเป็นแบบเมืองอั้น นั่นก็จะดีมากเลยในวังจักรพรรดิ ยังมีคนรอดชีวิตอยู่เจ้าอารามโยวชิงส่ายหัวขึ้นมา"เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะเกิดภัยพิบัติ วังจักรพรรดิให้คนทั้งหมดออกไปแล้ว การปิดผนึกกลไกวังจักรพรรดิ ก็เพื่อรักษาวังจักรพรรดิไว้เท่านั้น ด้านในไม่มีทางทำให้คนมีชีวิตรอดอยู่ได้ ต่อให้จะรอดได้ชั่วคราวแต่ก็ไม่ใช่หนทางในระยะยาว ดังนั้น เวลานั้นน่าจะมีการอพยพผู้คนทั้งหมดออกไป ให้พวกเขาไปค้นหาโอกาสการมีชีวิตรอดที่มากกว่า"เซียวหลันยวนรู้สึกผิดหวังขึ้นมาหน่อยๆแต่ไม่นานก็โล่งใจ เพราะวังแห่งเดียวจะไปเทียบกับเมืองที่มีภูเขาสายน้ำได้อย่างไรกัน?วังจักรพรรดิต่อให้มีเสบียง มีน้ำ ก็น่าจะไม่มีทางมอบให้กับคนมากมายได้ในระยะเวลาหลายปีขนาดนั้น"แต่ว่า" เจ้าอารามโยวชิงบอกอีกว่า "ตอนนั้นก็น่าจะมีคนบางส่วนที่ภักดีกับราชวงศ์มาก และมีความศรัทธาและผูกพันกับราชวังอย่างแรงกล้า ไม่ยอมจากไปยึดมั่นที่จะอยู่ในวังจักรพรรดิ บางทีตอนนี้เข้าไปก็อาจจะพบโครงกระดูกของพ
เจ้าอารามโยวชิงเดิมทีก็เป็นสายเลือดราชครูแคว้นตงฉิงพูดได้ว่า การที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ กระทั่งฟู่จิ้นเชินที่ห่วงใยฟู่จาวหนิงมาตลอด ก็ยังรู้สึกว่าไม่ควรออกความเห็นอะไรนักสายเลือดราชครู สำหรับตงฉิงแล้วก็สำคัญมากโดยเฉพาะสายเลือดราชครูในตอนนั้นก็น่าจะลงแรงไปมากเพื่อช่วยเหลือคนมากมายไว้ขณะที่ตงฉิงเกิดเรื่องคนตงฉิงที่มีชีวิตรอดมาจะต้องขอบคุณสายเลือดราชครูแน่นอนแม้จากสัญญาณหลายอย่างจะบ่งชี้ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับตงฉิงในอดีต นอกจากภัยธรรมชาติแล้ว ยังมีหายนะจากมนุษย์อีกด้วยแต่คนที่สร้างหายนะใหญ่นั่นขึ้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้เจ้าอารามโยวชิงเดินมาตรงหน้าพวกเขาเขามองไปทางเซียวหลันยวน "คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหาเมืองหลวงเจอ แล้วเปิดเมืองหลวงได้จริงๆ แต่ว่า เส้นทางไปยังวังจักรพรรดิต้องไปทางไหน จะเปิดทางเข้าวังจักรพรรดิได้อย่างไร จะขึ้นไปบนแท่นชมดาวอย่างไร การจะทำให้อัญมณีแห่งราชวงศ์ตงฉิงกลับมาเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง เพื่อประกาศว่าสายเลือดราชวงศ์กลับคืนมาแล้ว ยังต้องอาศัยเครื่องพยากรณ์""เครื่องพยากรณ์?"เซียวหลันยวนได้มานานแล้วเดินทางไปเมืองเจ้อครั้งนั้น ทำให้เขาได้รับเครื่
เซียวหลันยวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยังเป็นฟู่จาวหนิงที่ดึงมือของเขามาทาบบนท้องของตนเองมือของเขาพอทาบลงไป หนังท้องของฟู่จาวหนิงจู่ๆ ก็ขยับขึ้นมา ราวกับว่ามีกำปั้นเล็กๆ กลิ้งผ่านฝ่ามือของเขาจากอีกด้านของหนังท้องเขาถลึงตาโต"ขยับจริงด้วย!"ฟู่จาวหนิงเห็นสีหน้าแบบนี้ของเซียวหลันยวนเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกสนุกขึ้นมานางหัวเราะพรวด"นี่คือทารกดิ้นไงล่ะ""แล้วนี่คนโตหรือคนเล็กล่ะที่ดิ้น?" เซียวหลันยวนก้มลงมองดูท้องของนาง มีเสื้อผ้าคั่นไว้แบบนี้จึงมองอะไรไม่ออกตอนนี้เด็กในท้องก็ไม่ขยับแล้วถ้าไม่ใช่การดิ้นเมื่อครู่ชัดเจนมาก เขาแทบจะสงสัยว่าตนเองหลอนไปเองหรือเปล่าด้วยซ้ำ"ยังไม่เกิดออกมาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นคนโตหรือคนรอง?"ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าน่าขำ "เราไม่ได้ใช้ลำดับการเกิดก่อนหลังมาตัดสินใครเป็นพี่น้องหรอกหรือ?""ถ้าหากเป็นหนึ่งลูกชายหนึ่งลูกสาว เช่นนั้นก็ให้ลูกชายเป็นพี่" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล"ทำไมล่ะ?""ลูกสาวต้องเป็นน้องสาว ก็จะมีคนคอยปกป้องนาง"ส่วนลูกชาย ก็เลี้ยงแบบลุยๆ หน่อยฟู่จาวหนิงก็เพิ่งเคยได้ยินคนใช้วิธีนี้มาตัดสินความเป็นพี่น้องของลูกแฝด"ถึงตอนนั้นค่