LOGIN"หลี่เล่อเยียน...นี่...หลี่เล่อเยียน หล่อนจะนอนตื่นสายแบบนี้ไม่ได้นะ ..." เสียงแหลมแสบแก้วหูตะโกนเรียกหญิงสาวผมดำยาว ขัดกับผิวสีขาวราวหิมะ ร่างผอมบางที่นอนไม่ได้สติ เนื่องจากเธอไม่เคยทำงานหนักจนส่งผลให้เธอล้มป่วยจับไข้ไม่ได้สติทั้งคืน ใครเลยจะคิดว่าการที่เธอถูกเกณฑ์ให้มาใช้แรงงานของค่ายปัญญาชน จนทำให้เธอเสียชีวิต เพราะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน
" อือ... นะ น้ำ คอแห้งจัง " หลี่เล่อเยียนที่เหน็ดเหนื่อยจากการตระเวนซื้อของเข้ามิติถูกรบกวนการนอน โดยเสียงของหญิงสาวแหลมปี๊ดก็เกิดอาการมึนงงเล็กน้อย หรือเมื่อคืนเธอเปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งคืนกันนะ
" หล่อน...... ได้เวลาทำอาหารเช้าแล้ว หล่อนจะกินแรงคนอื่นไม่ได้นะ ฮึ่ย ตัวซวยจริง ๆ เลย" ฟ่านเหมยเหมย หญิงสาวอายุราว ๆ 18 ปีเอ่ยเสียงเขียว เนื่องจากเธอก็ถูกส่งมายังพื้นที่ห่างไกลบ้านเพื่อมาเป็นปัญญาชนชั้นแรงงาน ทำงานแลกแต้มค่าแรงเหมือนกันกับหลี่เล่อเยียน ผ่านมาได้ 10 วันแล้ว เธอรู้ซึ้งถึงสันดานของหลี่เล่อเยียนดี ทำตัวสูงส่ง งานหนักไม่เข้าใกล้ กินข้าวก็ต้องค่อยๆ เคี้ยว เห็นแล้วขัดหูขัดตานัก เป็นลูกหลานตระกูลสูงส่งมาจากไหนกันเชียว อีกทั้งสายตาดูแคลนที่มองมายังเพื่อนปัญญาชนด้วยกันอีก เรียกได้ว่าไม่มีใครถูกชะตากับหลี่เล่อเยียนเลยสักคน
เนื่องจากว่าหลี่เล่อเยียนนั้นเรียนจบถึงชั้นมัธยมปลาย ตอนมาถึงจึงถูกเสนอชื่อให้ไปเป็นครูสอนหนังสือ แต่ด้วยความที่หน้าตาผิวพรรณของเธอนั้น มันช่างโดนเด่นเกินใครในหมู่ปัญญาชน รวมไปถึงเธอไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับใครเลย จึงไม่มีใครสนับสนุนเธอสักคน ตำแหน่งครูจึงตกไปเป็นของ หมิงเสี่ยวฮวา สาวงามอีกผู้หนึ่ง กิริยาอ่อนหวาน นอบน้อมถ่อมตน เป็นที่รักของเพื่อนปัญญาชนที่เดินทางมาร่วมกันเป็นเวลา 4 วันเต็มๆ เธอได้หัวใจของเพื่อนปัญญาชนเกินครึ่ง จึงไม่ต้องทำงานหนักเพียงแค่ออกไปสอนหนังสือแถมยังได้ค่าแรงเดือนละ 10 หยวนอีกด้วย
" อือ.. เธอเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้อย่างไร " หลี่เล่อเยียนที่พอได้สติมาบ้าง หลังจากมึนงงกับอาการไข้ นี่เธอซื้อของแค่นี้ถึงกับไข้จับเชียวหรือ หลี่เล่อเยียนได้แต่สงสัยกับตัวเองว่าเธอกลายเป็นคนอ่อนแอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งผู้หญิงฟันดำคนนี้อีกที่มาตะโดนเรียกจนแก้วหูแทบแตก
" เหอะ หลี่เล่อเยียน เธอนี่มัน.... หึ ..ฉันก็คือปัญญาชน ฟ่านเหมยเหมย เพื่อนร่วมบ้านพักเดียวกันกับหล่อนอย่างไรเล่า " ฟ่านเหมยเหมย คาดไม่ถึงว่าอาศัยอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลาสิบวัน ไม่ช่วยให้สมองของหล่อนจำชื่อเธอได้เลยหรืออย่างไรกันนะ เจอหน้าทีไรหล่อนเป็นต้องถามทุกทีว่าเธอเป็นใคร น่าเจ็บใจยิ่งนักนางจิ้งจอก
" แล้วเธอมาห้องฉันทำไม เข้ามาได้อย่างไร " หลี่เล่อเยียน ที่มึนงงกับพิษไข้ ก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปอีก แต่พอมองสำรวจสภาพแวดล้อมที่เธออยู่แล้วนั้น ก็คงพอจะเดาได้ว่าเธอคงมายังอีกโลกหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วแน่นอน ดูจากการแต่งตัวรวมไปถึงเตียงที่เธอนอน เฮ้อ...
"ฉันก็มาปลุกเธอไปทำอาหารหนะสิ อย่าคิดว่าได้จะกินแรงคนอื่นนะ ทุกคนทำงานเหนื่อยเหมือนกัน วันนี้เป็นวันที่เธอที่จะต้องทำอาหาร รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว " ฟ่านเหมยเหมย กอดอกมองหลี่เล่อเยียนด้วยความอิจฉา พร้อมกับคิดในใจว่า ขนาดเพิ่งตื่นนอนหล่อนยังสวยเลย ฮึ่ย..ขัดใจนักเชียว ปีศาจจิ้งจอกชัดๆ
" วันนี้คงไม่ได้ ฉันไม่ค่อยสบาย แต่ฉันมีซาลาเปาอยู่พวกเธอเอาไปกินแทนอาหารเช้านี้แล้วกัน ฝากบอกหัวหน้าด้วยว่าฉันขอลาพัก " หลี่เล่อเยียนลุกขึ้นพร้อมกับมองซ้ายขวาทำทีเป็นเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับรีบหยิบซาลาเปาจำนวน 6 ลูกออกมาจากมิติ
" ซาลาเปาแค่ 6 ลูกนี่หนะหรือ มันจะไปพอกินอะไร " ฟ่ายเหมยเหมยเอ่ยออกมาเสียงเหยียดๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น นี่มันซาลาเปาอะไรกันทำไมถึงลูกใหญ่ สีขาวน่ากินอะไรเช่นนี้
" ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกิน ฉันมั่นใจว่าซาลาเปาของฉันเป็นอาหารที่ดีที่สุดแล้วตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ " หลี่เล่อเยียนไม่พูดพร่ำอะไรมาก รีบชักซาลาเปากลับ แต่เนื้อเข้าปากเสือไปแล้วมีหรือที่มันจะคายออกมา
" อา อา... ได้ยังไงกัน นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราต้องรีบไปทำงาน ไม่มีเวลามาขี้เกียจสำออยแบบหล่อนหรอก ไปกันเถอะพวกเราดีกว่าไม่มีอะไรลงท้อง
อ้อ...ฉันหวังว่าเย็นนี้จะมีอาหารเตรียมไว้ให้พวกฉันกินนะ" หลังจากคว้าซาลาเปาได้แล้ว ฟ่านเหมยเหมยก็รีบสาวเท้าออกจากห้องทันที ไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยไล่ให้เสียเวลา
ช่วยไม่ได้เมื่อถูกส่งมาก็ใช่ว่าจะได้กินอยู่อย่างสบาย ทุกคนยังคงต้องทำงานแลกแต้มค่าแรง เพื่อรับส่วนแบ่งปันผลหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนผลผลิตทั้งหมดจะถูกส่งไปยังทางการ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะมีคนที่ยินดีมา แต่ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปัญญาชนที่เป็นผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
" ฉันจะบอกหัวหน้าให้ เธอพักผ่อนเถอะจ้ะ " เหอหมี่เมี่ยน หญิงสาวร่างผอมบางหน้าตาถือว่าสวยใช้ได้เลยทีเดียวแต่ไม่มีอะไรโดดเด่นรีบเอ่ยบอกหลี่เล่อเยียนก่อนที่เธอจะเดินตามหลังพวกของฟ่านเหมยเหมยไป
ทางด้านของหลี่เล่อเยียนนั้นไม่รับรู้อะไรภายนอกอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้สมองของเธอกำลังจดจำเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นมาในหัวของเธอ
ซึ่งเจ้าของร่างเดิมนี้มีชื่อว่า หลี่เล่อเยียน เหมือนกับเธอเลย แต่ต่างกันตรงที่ร่างนี้อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น อีกอย่างคือ เธอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอมีพี่น้อง 3 คนรวมเธอด้วย มีพี่ชายพี่กำลังจะจบระดับมหาวิทยาลัย มีน้องชายที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอจึงต้องเสียสละตัวเอง เพราะทางการจัดให้ปัญญาชนแต่ละครอบครัวต้องมีตัวแทนไปใช้แรงงานแลกแต้มค่าแรงยังดินแดนห่างไกล เพื่ออนาคตของครอบครัว เธอจึงเป็นผู้ถูกเลือก ด้วยเหตุผลว่าเธอเป็นหญิง อีกหน่อยก็แต่งงานออกเรือน เหมือนน้ำเน่าที่สาดออกจากบ้าน พี่ใหญ่เธอจะต้องมีอนาคตที่ดี ส่วนน้องเล็กจะต้องก้าวตามพี่ใหญ่แน่นอน
เอาล่ะในเมื่อไม่มีใครต้องการ ฉันก็จะทำให้ร่างนี้มีชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด แต่ก่อนอื่นจะต้องสำรวจของใช้ส่วนตัวของร่างนี้ก่อนว่ามีอะไรติดตัวมาบ้าง
เมื่อพอรู้ที่มาที่ไป ก็ได้เวลาสำรวจ มีเสื้อผ้าอยู่ทั้งหมด 3 ชุด แป้ง 2 ชั่ง ข้าว 2 ชั่ง เกลือ น้ำตาลอย่างละก้นกระปุก ไข่ไก่ 1 ชั่ง เงินอีก 40 หยวน อืม...ยังถือว่าไม่ลำบากอะไรมากนัก ทางครอบครัวคงไม่คิดจะทอดทิ้งเธอจริง ๆ หรอก เพราะหากจะทิ้งจริง ๆ เธอคงไม่มีเงินติดตัวมากเพียงนี้
ถ้าจำไม่ผิดนี่คงจะอยู่ในช่วงปี 1956 -57 สินะ ในยุคที่ปัญญาชนจะต้องมาใช้แรงงานในค่ายชนบท อยู่ในยุคมืดดำของยุคเลยก็ว่าได้ แล้วเธอจะรอดใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นไรเล่า
วันที่ 18 ธันวาคม หิมะแรกของปีก็มาถึง และตกหนักมากจนหลี่หานไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หลี่เล่อเยียนให้น้องชายหยุด เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทางเขตของชนบทเริ่มมีข่าวการเกิดภัยพิบัติกันหนาหูมากขึ้น เธออดเป็นห่วงสามีและพี่ชายไม่ได้เลยป่านนี้ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นยังไงบ้าง"พี่ หลานของผมเป็นไงบ้างครับ" หลี่หานจะคอยถามไถ่และพาพี่สาวไปโรงพยาบาลตามนัดของหมอทุกครั้ง พี่สาวของเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่รู้ว่าพี่เขยเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาไม่ได้ข่าวอะไรจากทางเหนือเลย"ดิ้นเก่งมากเลยล่ะ เพิ่งจะหยุดไปสักพักนี้เองตอนที่พี่นั่งพักน่ะ" หลี่เล่อเยียนตอบยิ้มๆ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ลูกขยับตัวในท้อง เธอคุยพร้อมกับเล่านิทานให้ลูกในท้องฟังทุกวัน กินแต่ของที่มีประโยชน์ น้ำเต้าหู้เธอกินทุกวัน ผลไม้ไม่เคยขาดตามด้วยนมผงรสมอลต์ก่อนนอนวันที่ 1 มกราคม 1957 หลี่เล่อเยียนและน้องชายฉลองปีใหม่กันเพียงสองคนเพราะหิมะตกหนักมาก หลี่หานที่ตอนนี้อายุ 15 ปีบริบูรณ์เขาสูงถึง 170 เซนติเมตร ขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา แม้ว่าบ้านจะเพิ่งสร้างเสร็จแต่ปริมาณหิมะที่ตกลงมาก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะไม่มีแดดเลยข่าวการขาดแคลนอาหารเริ่มม
นับจากวันที่บ้านของหลี่เล่อเยียนเริ่มทำกำแพง นี่ก็เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่หยางหมิงเฉิงออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาให้ลูกน้องมาแจ้งข่าวว่าต้องลงไปทางเหนือ เพราะที่นั่นมีภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ให้เธอดูแลตัวเองให้ดี รอเขากลับมาบ้านของพวกเขาเสร็จทันก่อนหิมะแรกจะมาถึง อีกทั้งยังเป็นไปด้วยดีสำหรับแบบบ้าน นับว่าแข็งแรงถูกใจเธอเป็นอย่างมาก เวลาที่หิมะตกลงมาคงไม่ต้องกังวลว่าหลังคาจะถล่มลงมาวันไหนท้องของหลี่เล่อเยียนใหญ่ขึ้นมาก ตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าลูกอยู่กับเธอแล้วจริง ๆ เพราะเขาจะดิ้นประท้วงทุกครั้งที่เริ่มหิว เธอเริ่มเดินเหินลำบากโชคดีที่มีน้องชายหลี่มาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้คลายเหงาลงบ้าง อีกทั้งเขายังดูแลเธอเป็นอย่างดียามที่น้องชายไปเรียนหลี่เล่อเยียนแอบหยิบของในมิติมาเติมจนแน่นห้องเก็บอาหาร ทุกครั้งที่เธอนอนเตียงอุ่นๆ เธออดเป็นห่วงสามีไม่ได้ จากนั้นดึงเอาที่นอนแสนนุ่มออกมาจากในมิติ ผ้าห่มหนัก 7 ชั่ง 2 ผืนมาเผื่อน้องชายเธอด้วย หน้าหนาวปีนี้ถือว่ารุนแรงเหลือเกิน และข่าวที่ว่าคนไม่มีบ้าน ล้มตายเพราะความหนาวก็มีมาทุกวันวันนี้เป็นวันที่ 15 ธันวาคม จะเป็นวันทำงานวั
"พี่ครับรั้วเสร็จแล้วพี่จะทำบ้านต่อเลยหรือเปล่าครับ" หลี่หานมาอยู่บ้านพี่สาวเป็นเวลา 5 วันแล้ว อีก 3 เดือนจะเข้าหน้าหนาว เขาคิดว่าพี่สาวควรจะมีบ้านที่แข็งแรงเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เพราะหิมะตกหนักทุกปี"พี่ว่าจะไปหาพ่ออยู่พอดี วันนี้เดี๋ยวพี่ไปส่งนายที่โรงเรียน แล้วจะไปหาพ่อที่ที่ทำงานเลยแล้วกัน" หลี่เล่อเยียนเดิมทีกะว่าจะรอ หยางหมิงเฉิงกลับจากปฏิบัติภารกิจซะก่อน แต่ดูท่าทางแล้วถ้ามัวแต่รอไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันไหน เธอจึงตัดสินใจไปขอให้พ่อช่วยดีกว่า พ่อเธอน่าจะรู้จักคนมากไม่น้อยทางด้านบ้านใหญ่หยางหลังจากที่หยางซีฮันพูดออกไปวันนั้น วันถัดมาก็มีเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขตชัดเจน สร้างความไม่พอใจให้กับน้าสะใภ้อย่างมาก หล่อนได้แต่สาปแช่งหลี่เล่อเยียนอยู่ในใจ เพราะไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ส่วนเจินเจินน้อยได้แต่คอยแอบมองอาสะใภ้อยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าไปทักทาย เพราะพ่อของเธอสั่งห้าม เจินเจินรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รู้ว่าน้องชายของอาสะใภ้มาอยู่เป็นเพื่อน"ดูเอาเถอะค่ะหลานรักของคุณ พอคุณบอกว่าจะแบ่งที่ให้รีบเอาเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขต ช่างละโมบโลภมากเสียจริง ชิ" หยางซิงเยียนเบะปากทำท่าทางรังเกียจ" เขาทำถู
ภายในห้องปีกซ้ายของหยางเหยาอิน เขาเดินอุ้มลูกสาวเข้าห้อง วันนี้ผู้เป็นแม่ประกาศชัดเจนว่างดข้าวเย็น ใครอยากจะกินก็ให้ไปหากินเองห้ามมายุ่งกับส่วนกลางเด็ดขาด"คุณไม่คิดจะเรียกร้องสิทธิ์เพื่อฉันกับลูกบ้างเลยหรือคะ" จู้หลี่นาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ หยางเหยาอินถอนหายใจไปครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกเธอว่า" ผมเป็นลูกชายคนโตคนเดียวของบ้าน สมบัติทุกอย่างสุดท้ายก็ต้องตกเป็นของผมอยู่แล้ว ยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก อีกอย่างน้องเล็กหล่อนไม่มีทางอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปแน่ ถ้าหล่อนมีที่ไป" เขาจะต้องกลัวอะไรกัน มีบ้านซุกหัวนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว ตามท้องถนนมีขอทานนอนตายข้างทางทุกวันเขานั้นโชคดีเพียงไหนกัน"ฉันหมายถึงสิ่งที่น้องกับแม่คุณดูถูกฉันน่ะค่ะ ทำไมคุณถึงไม่ปกป้องฉันบ้าง"" แม่ผมก็เหมือนแม่คุณเหมือนกัน คุณแต่งเข้าบ้านหยางเป็นคนตระกูลหยางแล้วระวังคำพูดด้วย" หยางเหยาอินทำงานมาเหนื่อยๆ แถมมาเจอภรรยางี่เง่า เขาเริ่มจะอารมณ์เสียบ้างแล้ว"คนตระกูลหยางอย่างนั้นหรือคะ แล้วพวกเขาเห็นฉันเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ละคะ คุณรู้หรือไม่คะว่าแต่ละวันฉันใช้ชีวิตกันเช่นไรลูกต้องคอยหลบอาแท้ๆ ของพวกเขา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะระเบิดอารมณ์ใ
" หลี่เล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำกับลูกสาวของฉันเช่นนี้" ซิงเยียนไม่คิดไว้หน้าใครอีก ในเมื่อไม่เห็นหัวกันเพียงนี้ ก็อย่าได้มานับญาติกันอีกเลย" มีธุระอะไรกับภรรยาผมหรือครับ " หยางหมิงเฉิงลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของน้าสะใภ้ ส่วนเจินเจินนั้นได้ยินเสียงย่าก็สะดุ้งตกใจกลัว รีบไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ในทันที" อ้อ...มาแล้วหรือ นายปล่อยให้นางจิ้งจอกนั่นรังแกน้องสาวตัวเองได้อย่างไรกัน ตั้งแต่แต่งแม่นั่นเข้ามา บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ชีวิตมีแต่ความฉิบหาย เฮงซวย เฮงซวยจริงๆฉันเลี้ยงลูกของฉันมาอย่างดี เฝ้าทะนุถนอมไม่เคยลงไม้ลงมือสักครั้ง ลูกสาวฉันเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หล่อนกล้าดีเช่นไร นังเล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะหมาป่าตาขาวหลบอยู่ในบ้านทำไม ออกมาซิ วันนี้ถ้าเลือดหัวหล่อนไม่ออก อย่ามาเรียกฉันว่าซิงเยียนอีกเลย หึ" น้าสะใถ้โมโหเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่มีคนแต่งลูกสาวเธอเข้าบ้าน งานนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ"ก็ลองดูครับ ถ้าคิดว่าจะทำร้ายภรรยาของผมได้ ผมก็จะไม่เกรงใจใครเหมือนกัน ถ้าใจเย็นลง คิดได้แล้วค่อยมาคุยกันครับ เพราะผมก็มีเรื่องจะคุยกับน้า
" ไม่จริงค่ะ อาเจินบอกแล้วว่าน้องสะใภ้ซื้อให้ แต่น้องเล็กไม่เชื่อกล่าวหาว่าลูกของพี่พูดโกหก ดีที่น้องสะใภ้มาทัน ไม่อย่างนั้นเจินเจินคง....ฮึก " สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ทำไม่ดีกับเธอ เธอทนได้ แต่จะมาทำกับลูกของเธอแบบนี้ เธอไม่ยอมแน่ ๆ เป็นไงเป็นกัน หากวันนี้สามียังไม่ยอมเข้าข้างเธออีก เธอจะพาลูกกลับไปยังบ้านเดิมที่จากมา" พี่สะใภ้คอยให้ท้ายลูกจนเสียคน แบบนี้นี่เองเจินเจินถึงไม่เกรงกลัวใคร หล่อนคงกลัวว่าฉันจะไปแย่งหล่อนกินน่ะค่ะ แหม...ฉันโตขนาดนี้แล้วจะไปกินนมแบบนั้นได้อย่างไรกันไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดกันก็แล้วกัน อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจินเจินเลยสักนิดถือว่าแล้วกันไปละกันค่ะส่วนเรื่องที่ภรรยาของพี่ทำหัวฉันแตก ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ค่ะ หล่อนตั้งใจโยนมาใส่หัวฉันเต็มๆ แรง แบบนี้เจตนาฆ่ากันชัดๆ เลยค่ะ " หยางเซินซินหน้าซีดขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าของพี่ชาย เธอยอมจบเรื่องสองแม่ลูกนั่นก็ได้ เพราะเธอผิดเต็มๆ ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของเจินเจิน แต่เรื่องที่หัวเธอแตกวันนี้ยอมไม่ได้แน่นอน ถึงบอย่างไรก็ต







