วันนี้เธอจะต้องรีบเคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เรียบร้อย เพราะเธอไม่สามารถรู้ได้ว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ถือว่ายังดีที่ยายเธอได้มาเตือน นับว่าเป็นสัญญาณเตือนที่ดี อย่างนี้ก็มีเวลาให้เธอได้เตรียมตัวเตรียมใจ สำหรับชีวิตใหม่ที่เธอจะต้องไปเผชิญ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเธอมาก แต่ถือว่าตัวเองโชคดี ที่ไม่มีเรื่องให้เป็นห่วงและต้องกังวล เธอไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีคนรักให้อาลัยอาวรณ์ จะอยู่ที่ไหนก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ จะว่าไปแล้วเธออยากจะเอาชีวิตตัวเองเข้าอยู่ในโลกของนิยายด้วยซ้ำไป เพราะบางเรื่องที่เธออ่าน ไม่คิดเลยว่าตัวดำเนินเรื่องจะโง่ถึงเพียงนี้ หรือแม้แต่การหาเงินว่ามันจะมีช่องทางรวยได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น คงต้องแล้วแต่โชคชะตาฟ้ากำหนด ว่าเธอจะมีโชคมากน้อยเพียงใด
หลังจากช่วงเช้า หลี่เล่อเยียนเคลียร์งานที่ค้างเรียบร้อย เธอได้ทำการลางานครึ่งวัน ในการเตรียมตัวซื้อของ โดยแจ้งกับที่ทำงานว่าไม่ค่อยสบาย ซึ่งสภาพของเธอตอนนี้ ถ้าบอกว่าป่วยหนักคงจะมีคนเชื่อเกินครึ่ง หลี่เล่อเยียนมุ่งหน้าไปตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดก่อน เพื่อทำการซื้อของ โดยเธอเดินไปยังร้านค้าข้าวขนาดใหญ่ เธอทำการสั่ง
ข้าวขาวชั้นเยี่ยมถุงละ 40 ชั่งราคา 150 หยวน จำนวน 100 ถุงเป็นเงิน 15,000 หยวน
ข้าวหักท่อนถุงละ 40 ชั่งราคา 100 หยวน จำนวน 100 ถุง เป็นเงิน 10,000 หยวน
แป้งอเนกประสงค์ ถุงละ 20 ชั่งราคา 80 หยวน จำนวน 100 ถุง เป็นเงิน 8,000 หยวน
น้ำมันถั่วลิสงซื้ออย่างดีไปเลยไหน ๆ ชาตินี้ก็ใช้ชีวิตแบบตระหนี่ถี่เหนียวไปแล้ว ตรงสถานที่ที่เธอจะไป ขอกินดีอยู่แบบสุขสบายหน่อยละกัน น้ำมันเธอซื้อยกลังไปเลย หนึ่งลังมี 12 ขวด ราคาลังละ 650 หยวน เธอสั่งไปทั้งหมด 10 ลัง เป็นเงิน 6,500 หยวน
นอกจากนั้น ยังมีพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ซอส เครื่องเทศ รวมทั้งน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาว ของเหล่านี้ใช้เงินไปทั้งสิ้น 20,000 หยวน ตอนนี้เธอใช้จ่ายเงินไปแล้ว 51,500 หยวน ซึ่งเยอะมาก หลี่เล่อเยียนแอบปาดเหงื่อเพราะว่ากว่าเธอจะเก็บเงินจำนวนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ของทุกอย่างที่เธอสั่งจากร้านขายส่ง โชคดีมากที่ร้านนี้มีทุกอย่าง เธอจึงบอกพิกัดเป็นลานโล่งแถวชานเมือง เพื่อง่ายต่อการเก็บเข้ามิติ เธอบอกกับเถ้าแก่เจ้าของร้านว่าของที่สั่งจะนำไปบริจาค จึงซื้อในปริมาณที่มากหน่อย ทางร้านใจดีแถม น้ำจิ้มบ๊วย น้ำมันงา และน้ำมันพริกให้เธออย่างละลัง
หลังจากนั้น หลี่เล่อเยียนขับรถมารอตรงจุดนัดพบที่แจ้งไว้ เมื่อทางร้านมาถึงเธอบอกกับเด็กส่งของว่าไม่ต้องรอ อีกเดี๋ยวจะมีรถมาขนต่อจากนี้อีกทีหนึ่ง พร้อมกับไม่ลืมให้ค่าเหนื่อยกับเด็กส่งของเหล่านั้น
ของแห้งผ่านไป หลี่เล่อเยียนขับวนมายังตลาดค้าสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดและเปิดบริการทั้งวัน ตัวเธอเองนั้นชอบกินสามชั้นมากเป็นพิเศษ เธอจึงสั่งไปมากหน่อย
เนื้อหมูสามชั้นถุงละ 10 ชั่งจำนวน 20 ถุง
เนื้อซี่โครงถุงละ 10 ชั่งจำนวน 10 ถุง
เนื้อแดงถุงละ 10 ชั่งจำนวน 10 ถุง
ไข่ไก่ทั้งหมด 50 ชั่ง
หลังจากที่ซื้อของสดเรียบร้อยแล้ว เธอได้ขอให้ทางร้านยกมันยัดใส่เข้าไปในรถของเธอ ขับวนสักพัก เธอจอดตรงจุดพักรถ จากนั้นทำการเก็บของทั้งหมดใส่เข้าไปในมิติ ซึ่งตอนนี้เธอใช้เงินไปรวมๆ แล้ว 60,000 หยวน
ยังเหลือพวกของใช้ส่วนตัว เธอทำแบบเดิม คือเข้าร้านค้าส่งไม่เข้าไปห้างสรรพสินค้า เพราะมันสะดุดตาเกินไป อีกอย่างซื้อจากร้านพวกนี้ไม่ต้องเหนื่อย แค่บอกชื่อแล้วก็จำนวน ของทุกอย่างก็มากองตรงหน้า เธอหมดเงินกับของใช้ตรงนี้อีกราว ๆ 10,000 หยวน
หลี่เล่อเยียนขับรถมาเรื่อย ๆ พบกับร้านขายซาลาเปาร้านหนึ่งถือว่าขายดีพอสมควร แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว จึงไม่มีลูกค้าสักเท่าไหร่ เธอทำการสั่งซาลาเปาไส้หมูสับ 500 ลูก ไส้กุ้งอีก 500 ลูก หมดเงินตรงนี้ไปอีก 4,500 หยวน
จากนั้นหลี่เล่อเยียนมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์แบรนด์ขายเครื่องสำอางชั้นนำ เธอหมดเงินตรงนี้มากหน่อย 25,000 หยวน เพราะผู้หญิงกับความงามเป็นของคู่กัน
จากนั้นร้านขายยาชั้นล่างเพื่อซื้อยาที่สามารถซื้อได้เป็นบางอย่างโดยเฉพาะยาคุมกำเนิด สาวโสดอย่างเธอไม่พร้อมสำหรับการมีครอบครัวจริง ๆ ที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นพวกวิตามินบำรุงร่างกาย ครีมกันแดดคงต้องนำไปเยอะหน่อย เมื่อเธอดูยอดเงินอีกทีถึงกับใจหาย เพราะเธอเหลือเงินอยู่แค่ 20,000 หยวนเท่านั้น และเธอก็ใช้มันหมดไปกับการซื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มเช่น ผ้าห่ม หมอน ฟูกนอนเธอเลือกสีพื้น ๆ ที่สุดอย่างละ 3 ชุด เพื่อที่จะไม่สะดุดตามากจนเกินไป
นอกจากนั้นยังมีเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวก ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบ สำหรับอากาศสมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่ต้องพูดถึงย่อมต่างกันเป็นอย่างมาก เพราะคงไม่มีปัญหาเรื่องโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกเหมือนกับสมัยนี้
การเตรียมตัวของเธอในหนึ่งวัน ถือว่าสาหัสเลยทีเดียว เธอใช้เวลาเกือบสิบปีสำหรับเก็บออม แต่ใช้เวลาเพียงครึ่งวันสำหรับการละลายทรัพย์ เพียงแค่คิดก็ปวดใจ เมื่อหัวถึงหมอนเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก