LOGINเช้าวันนี้เป็นการทำงานวันแรกของหลี่เล่อเยียนในร่างนี้ เธอเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ตอนนี้เวลา 04.30 น. เล่อเยียนลุกขึ้นมาแล้วเตรียมของเข้าไปทำอาหารในครัว หลี่เล่อเยียนเลือกทำอาหารง่ายๆ อย่างโจ๊กข้าว ใส่หมูสับลงไปเคี่ยวพอหอม แต่กลิ่นหอมนั้นบอกเลยว่าไม่ธรรมดา หอมจนคนที่นอนในห้อง ไม่อาจข่มตาหลับได้อีกต่อไป จนต้องลุกขึ้นมาตามกลิ่นว่าเป็นของใครทำไมมีกลิ่นเนื้อด้วย
แต่หลี่เล่อเยียนยังคงได้เปรียบกว่า เธอทำการเก็บข้าวของเครื่องปรุงกลับเข้าไปในมิติเป็นที่เรียบร้อย เพราะเครื่องปรุงบางอย่างในที่แห่งนี้ก็ยังไม่มี ที่เห็นในครัวตอนนี้คือเกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชูเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในร้านค้าสหกรณ์หรือบ้านอื่น ๆ จะไม่มี
ในความทรงจำของร่างเดิม เธอเคยใช้มันตอนที่อยู่บ้านเก่า หลี่เล่อเยียนมาจากปักกิ่ง เธอเกิดที่นั่น แน่นอนว่ามันต้องทันสมัยกว่าแถบชนบทนี้อยู่แล้ว
" โอ๊ย... ใครกันทำอาหารได้หอมถึงเพียงนี้ ฉันนอนต่อไม่ไหวแล้ว " โครก โครก ตามมาด้วยเสียงท้องร้องอันดังลั่นของ ฟ่านเหมยเหมย เธอเป็นคนสัมผัสไวเสมอถ้าเป็นเรื่องของการกิน อีกอย่างคือเมื่อคืนเธอได้กินเพียงน้ำข้าวต้ม ถูกแล้วล่ะมันคือน้ำข้าวต้ม เพราะเธอแทบจะนับเม็ดข้าวในชามได้เลย
แต่กว่าที่ฟ่านเหมยเหมยจะถึงในครัว หลี่เล่อเยียนก็ได้ยกหม้อโจ๊กของเธอออกมาก่อนแล้ว ทั้งสองเดินสวนกันตรงทางเดินเข้าพอดี
" เป็นหล่อนเองหรือ ที่ลุกขึ้นมาทำอาหารแต่เช้ามืด ไม่รู้จักเกรงใจคนที่เขาหลับนอนบ้างหรืออย่างไรกัน " ฟ่านเหมยเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วประชดประชันไม่น้อย
' ยัยผู้หญิงฟันดำปากเหม็นนี่พูดอะไรไม่เคยเข้าหูเลยสักนิด '
บางทีหลี่เล่อเยียนยังแอบสงสัยในใจว่าทำไมคนอื่นถึงอยู่กับผู้หญิงปากร้ายคนนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟ่านเหมยเหมยเป็นแค่ผู้หญิงที่ปากไม่มีหูรูด คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น โดยส่วนตัวแล้วคือเธอเป็นหมาป่าตาขาวต่างหากล่ะ
" นี่..ฉันพูดกับหล่อนอยู่นะ จะเดินหนีกันไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน อีกอย่างฉันบอกไปแล้วว่าฉันต้องได้ใช้ครัวก่อน " ฟ่านเหมยเหมยแค้นใจนัก นางจิ้งจอกหน้าขาวไม่แม้แต่จะสนใจคำพูดของเธอแถมยังเดินชนไหล่จากไปยังห้องนอนของเธอ
" ฉันชื่อ หลี่เล่อเยียน ไม่ได้ชื่อนี่.. อีกอย่างเธอเป็นเจ้าของบ้านหรืออย่างไรกัน ถึงได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้คนอื่นใช้ครัวก่อนหลัง
ถ้าฉันจำไม่ผิดคือทุกคนที่อยู่บ้านพักหลังนี้ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานแลกแต้มเหมือนกัน มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ถ้าเธออยากจะใช้ครัวก่อนก็หัดตื่นเช้า แล้วไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะมาพูดคุยกับคนอื่น เหม็นขี้ฟัน " หลี่เล่อเยียนร่ายยาวแบบไม่ยอมแพ้ พร้อมกับเว้นระยะห่างจากฟ่านเหมยเหมย เพราะเธอทนกลิ่นปากของอีกฝ่ายไม่ไหวจริง ๆ
ทางด้านของฟ่านเหมยเหมยนั้นยืนตัวแข็งไปแล้วเพราะไม่คิดว่าจะเจอคำพูดแบบนี้จากปากของหลี่เล่อเยียน
หลี่เล่อเยียนที่เคยรู้จัก หล่อนเป็นคนพูดน้อย หรือไม่พูดเลย หล่อนมักจะใช้สายตาดูถูกทุกคน ด้วยว่าหล่อนมาจากปักกิ่ง จึงมองทุกคนที่นี่ว่าเป็นพวกบ้านนอก
ฟ่านเหมยเหมยไม่ได้เตรียมใจมา กับคำพูดตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่ยืนเอามือปิดปากค้างไว้เช่นนั้น เพราะกลัวว่ากลิ่นปากจะลอยออกมาเวลาอ้าปากอีกครั้ง
หลังจากที่เข้าห้องมาแล้ว ตอนนี้เวลาประมาณ 05.00 น. หลี่เล่อเยียนจัดการกับโจ๊กหมูสับถ้วยนั้นแล้ว ยังเก็บไว้ในมิติเพื่อคงสภาพเอาไว้ไม่ให้มันเสีย สำหรับไว้เป็นอาหารมื้อกลางวันต่อไป เธอจะต้องประหยัดก่อน เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในช่วงวันและเวลาของปีอะไร
" อรุณสวัสดิ์จ้ะ..เล่อเยียน เป็นอย่างไรบ้าง อาการเธอดีขึ้นหรือยังจ๊ะ" เหอหมี่เมี่ยนก็คือเหอหมี่เมี่ยน เธอมักจะมองโลกในแง่ดีเสมอถึงแม้ว่าที่ผ่านมา เธอจะได้รับเพียงสายตาว่างเปล่าจากหลี่เล่อเยียนก็ตาม
" หมี่เมี่ยน เธอจะพูดกับหล่อนทำไม ก็รู้อยู่ว่าแม่นั่นหยิ่งแค่ไหน เฮอะ " หม่ายวี่ไท่สะกิดเหอหมี่เมี่ยนให้เดินออกมายังหน้าบ้าน เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสวนากับแม่นางฟ้าตกสวรรค์ผู้นี้
" อือ ... ดีขึ้นมากแล้วล่ะ กำลังจะไปที่ทุ่งนาใช่ไหม ขอฉันไปด้วยคนนะ พอดีเพิ่งหายป่วยเลยยังงงๆ กับทิศทางอยู่ " หลี่เล่อเยียนรีบพูดแทรกขึ้น
เธอคิดมาแล้วว่า ถ้าเธออยากมีชีวิตรอด และอยากอยู่อย่างสงบสุขเธอจะต้องมีเพื่อนบ้าง ไม่เช่นนั้นเธออาจจะโดน ฟ่านเหมยเหมยจับถ่วงน้ำเข้าสักวันเป็นแน่
" อะ อ้อ ใช่ๆ เรากำลังจะไปกันพอดี ฉันชื่อเหอหมี่เมี่ยน และนี่ก็หม่ายวี่ไท่ พวกเรามาจากหมู่บ้านเดียวกัน ก็เลยสนิทกัน" เหอหมี่เมี่ยน แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองในยามที่ หลี่เล่อเยียนตอบกลับมาเป็นประโยคที่ยาวเช่นนี้ และที่สำคัญคือหล่อนขอเดินไปด้วย
" สวัสดีจ้ะ..ฉันชื่อ หลี่เล่อเยียน เรียกฉันว่าเล่อเยียนก็ได้ " หลี่เล่อเยียนฉีกยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เพราะเธอรู้สึกถูกชะตากับเหอหมี่เมี่ยนไม่น้อยเลยทีเดียว
" เรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะสาย ถ้าไปสายจะโดนหักแต้มคะแนนเอาได้ " เหอหมี่เมี่ยนดีใจไม่น้อย ในที่สุดเธอก็ได้เป็นเพื่อนกับหลี่เล่อเยียนสักที
วันที่ 18 ธันวาคม หิมะแรกของปีก็มาถึง และตกหนักมากจนหลี่หานไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หลี่เล่อเยียนให้น้องชายหยุด เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทางเขตของชนบทเริ่มมีข่าวการเกิดภัยพิบัติกันหนาหูมากขึ้น เธออดเป็นห่วงสามีและพี่ชายไม่ได้เลยป่านนี้ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นยังไงบ้าง"พี่ หลานของผมเป็นไงบ้างครับ" หลี่หานจะคอยถามไถ่และพาพี่สาวไปโรงพยาบาลตามนัดของหมอทุกครั้ง พี่สาวของเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่รู้ว่าพี่เขยเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาไม่ได้ข่าวอะไรจากทางเหนือเลย"ดิ้นเก่งมากเลยล่ะ เพิ่งจะหยุดไปสักพักนี้เองตอนที่พี่นั่งพักน่ะ" หลี่เล่อเยียนตอบยิ้มๆ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ลูกขยับตัวในท้อง เธอคุยพร้อมกับเล่านิทานให้ลูกในท้องฟังทุกวัน กินแต่ของที่มีประโยชน์ น้ำเต้าหู้เธอกินทุกวัน ผลไม้ไม่เคยขาดตามด้วยนมผงรสมอลต์ก่อนนอนวันที่ 1 มกราคม 1957 หลี่เล่อเยียนและน้องชายฉลองปีใหม่กันเพียงสองคนเพราะหิมะตกหนักมาก หลี่หานที่ตอนนี้อายุ 15 ปีบริบูรณ์เขาสูงถึง 170 เซนติเมตร ขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา แม้ว่าบ้านจะเพิ่งสร้างเสร็จแต่ปริมาณหิมะที่ตกลงมาก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะไม่มีแดดเลยข่าวการขาดแคลนอาหารเริ่มม
นับจากวันที่บ้านของหลี่เล่อเยียนเริ่มทำกำแพง นี่ก็เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่หยางหมิงเฉิงออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาให้ลูกน้องมาแจ้งข่าวว่าต้องลงไปทางเหนือ เพราะที่นั่นมีภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ให้เธอดูแลตัวเองให้ดี รอเขากลับมาบ้านของพวกเขาเสร็จทันก่อนหิมะแรกจะมาถึง อีกทั้งยังเป็นไปด้วยดีสำหรับแบบบ้าน นับว่าแข็งแรงถูกใจเธอเป็นอย่างมาก เวลาที่หิมะตกลงมาคงไม่ต้องกังวลว่าหลังคาจะถล่มลงมาวันไหนท้องของหลี่เล่อเยียนใหญ่ขึ้นมาก ตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าลูกอยู่กับเธอแล้วจริง ๆ เพราะเขาจะดิ้นประท้วงทุกครั้งที่เริ่มหิว เธอเริ่มเดินเหินลำบากโชคดีที่มีน้องชายหลี่มาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้คลายเหงาลงบ้าง อีกทั้งเขายังดูแลเธอเป็นอย่างดียามที่น้องชายไปเรียนหลี่เล่อเยียนแอบหยิบของในมิติมาเติมจนแน่นห้องเก็บอาหาร ทุกครั้งที่เธอนอนเตียงอุ่นๆ เธออดเป็นห่วงสามีไม่ได้ จากนั้นดึงเอาที่นอนแสนนุ่มออกมาจากในมิติ ผ้าห่มหนัก 7 ชั่ง 2 ผืนมาเผื่อน้องชายเธอด้วย หน้าหนาวปีนี้ถือว่ารุนแรงเหลือเกิน และข่าวที่ว่าคนไม่มีบ้าน ล้มตายเพราะความหนาวก็มีมาทุกวันวันนี้เป็นวันที่ 15 ธันวาคม จะเป็นวันทำงานวั
"พี่ครับรั้วเสร็จแล้วพี่จะทำบ้านต่อเลยหรือเปล่าครับ" หลี่หานมาอยู่บ้านพี่สาวเป็นเวลา 5 วันแล้ว อีก 3 เดือนจะเข้าหน้าหนาว เขาคิดว่าพี่สาวควรจะมีบ้านที่แข็งแรงเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เพราะหิมะตกหนักทุกปี"พี่ว่าจะไปหาพ่ออยู่พอดี วันนี้เดี๋ยวพี่ไปส่งนายที่โรงเรียน แล้วจะไปหาพ่อที่ที่ทำงานเลยแล้วกัน" หลี่เล่อเยียนเดิมทีกะว่าจะรอ หยางหมิงเฉิงกลับจากปฏิบัติภารกิจซะก่อน แต่ดูท่าทางแล้วถ้ามัวแต่รอไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันไหน เธอจึงตัดสินใจไปขอให้พ่อช่วยดีกว่า พ่อเธอน่าจะรู้จักคนมากไม่น้อยทางด้านบ้านใหญ่หยางหลังจากที่หยางซีฮันพูดออกไปวันนั้น วันถัดมาก็มีเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขตชัดเจน สร้างความไม่พอใจให้กับน้าสะใภ้อย่างมาก หล่อนได้แต่สาปแช่งหลี่เล่อเยียนอยู่ในใจ เพราะไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ส่วนเจินเจินน้อยได้แต่คอยแอบมองอาสะใภ้อยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าไปทักทาย เพราะพ่อของเธอสั่งห้าม เจินเจินรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รู้ว่าน้องชายของอาสะใภ้มาอยู่เป็นเพื่อน"ดูเอาเถอะค่ะหลานรักของคุณ พอคุณบอกว่าจะแบ่งที่ให้รีบเอาเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขต ช่างละโมบโลภมากเสียจริง ชิ" หยางซิงเยียนเบะปากทำท่าทางรังเกียจ" เขาทำถู
ภายในห้องปีกซ้ายของหยางเหยาอิน เขาเดินอุ้มลูกสาวเข้าห้อง วันนี้ผู้เป็นแม่ประกาศชัดเจนว่างดข้าวเย็น ใครอยากจะกินก็ให้ไปหากินเองห้ามมายุ่งกับส่วนกลางเด็ดขาด"คุณไม่คิดจะเรียกร้องสิทธิ์เพื่อฉันกับลูกบ้างเลยหรือคะ" จู้หลี่นาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ หยางเหยาอินถอนหายใจไปครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกเธอว่า" ผมเป็นลูกชายคนโตคนเดียวของบ้าน สมบัติทุกอย่างสุดท้ายก็ต้องตกเป็นของผมอยู่แล้ว ยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก อีกอย่างน้องเล็กหล่อนไม่มีทางอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปแน่ ถ้าหล่อนมีที่ไป" เขาจะต้องกลัวอะไรกัน มีบ้านซุกหัวนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว ตามท้องถนนมีขอทานนอนตายข้างทางทุกวันเขานั้นโชคดีเพียงไหนกัน"ฉันหมายถึงสิ่งที่น้องกับแม่คุณดูถูกฉันน่ะค่ะ ทำไมคุณถึงไม่ปกป้องฉันบ้าง"" แม่ผมก็เหมือนแม่คุณเหมือนกัน คุณแต่งเข้าบ้านหยางเป็นคนตระกูลหยางแล้วระวังคำพูดด้วย" หยางเหยาอินทำงานมาเหนื่อยๆ แถมมาเจอภรรยางี่เง่า เขาเริ่มจะอารมณ์เสียบ้างแล้ว"คนตระกูลหยางอย่างนั้นหรือคะ แล้วพวกเขาเห็นฉันเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ละคะ คุณรู้หรือไม่คะว่าแต่ละวันฉันใช้ชีวิตกันเช่นไรลูกต้องคอยหลบอาแท้ๆ ของพวกเขา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะระเบิดอารมณ์ใ
" หลี่เล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำกับลูกสาวของฉันเช่นนี้" ซิงเยียนไม่คิดไว้หน้าใครอีก ในเมื่อไม่เห็นหัวกันเพียงนี้ ก็อย่าได้มานับญาติกันอีกเลย" มีธุระอะไรกับภรรยาผมหรือครับ " หยางหมิงเฉิงลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของน้าสะใภ้ ส่วนเจินเจินนั้นได้ยินเสียงย่าก็สะดุ้งตกใจกลัว รีบไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ในทันที" อ้อ...มาแล้วหรือ นายปล่อยให้นางจิ้งจอกนั่นรังแกน้องสาวตัวเองได้อย่างไรกัน ตั้งแต่แต่งแม่นั่นเข้ามา บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ชีวิตมีแต่ความฉิบหาย เฮงซวย เฮงซวยจริงๆฉันเลี้ยงลูกของฉันมาอย่างดี เฝ้าทะนุถนอมไม่เคยลงไม้ลงมือสักครั้ง ลูกสาวฉันเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หล่อนกล้าดีเช่นไร นังเล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะหมาป่าตาขาวหลบอยู่ในบ้านทำไม ออกมาซิ วันนี้ถ้าเลือดหัวหล่อนไม่ออก อย่ามาเรียกฉันว่าซิงเยียนอีกเลย หึ" น้าสะใถ้โมโหเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่มีคนแต่งลูกสาวเธอเข้าบ้าน งานนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ"ก็ลองดูครับ ถ้าคิดว่าจะทำร้ายภรรยาของผมได้ ผมก็จะไม่เกรงใจใครเหมือนกัน ถ้าใจเย็นลง คิดได้แล้วค่อยมาคุยกันครับ เพราะผมก็มีเรื่องจะคุยกับน้า
" ไม่จริงค่ะ อาเจินบอกแล้วว่าน้องสะใภ้ซื้อให้ แต่น้องเล็กไม่เชื่อกล่าวหาว่าลูกของพี่พูดโกหก ดีที่น้องสะใภ้มาทัน ไม่อย่างนั้นเจินเจินคง....ฮึก " สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ทำไม่ดีกับเธอ เธอทนได้ แต่จะมาทำกับลูกของเธอแบบนี้ เธอไม่ยอมแน่ ๆ เป็นไงเป็นกัน หากวันนี้สามียังไม่ยอมเข้าข้างเธออีก เธอจะพาลูกกลับไปยังบ้านเดิมที่จากมา" พี่สะใภ้คอยให้ท้ายลูกจนเสียคน แบบนี้นี่เองเจินเจินถึงไม่เกรงกลัวใคร หล่อนคงกลัวว่าฉันจะไปแย่งหล่อนกินน่ะค่ะ แหม...ฉันโตขนาดนี้แล้วจะไปกินนมแบบนั้นได้อย่างไรกันไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดกันก็แล้วกัน อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจินเจินเลยสักนิดถือว่าแล้วกันไปละกันค่ะส่วนเรื่องที่ภรรยาของพี่ทำหัวฉันแตก ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ค่ะ หล่อนตั้งใจโยนมาใส่หัวฉันเต็มๆ แรง แบบนี้เจตนาฆ่ากันชัดๆ เลยค่ะ " หยางเซินซินหน้าซีดขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าของพี่ชาย เธอยอมจบเรื่องสองแม่ลูกนั่นก็ได้ เพราะเธอผิดเต็มๆ ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของเจินเจิน แต่เรื่องที่หัวเธอแตกวันนี้ยอมไม่ได้แน่นอน ถึงบอย่างไรก็ต







