" ดูสิแม่นางฟ้าตกสวรรค์มาโน่นแล้ว " เสียงซุบซิบนินทามาแต่ไกลจากทางทุ่งนา
ช่วงที่มาถึงแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันเอ็นดู หลี่เล่อเยียนกันไม่น้อย เพราะพวกเขาตื่นเต้นกับคนเมืองหลวง ยิ่งได้รู้ว่าเธอมาจากปักกิ่ง ก็ต่างพากันแห่มาดูเธอกันยกใหญ่
คนเมืองหลวงนี่ผิวพรรณช่างแตกต่างจากชาวชนบทอย่าพวกเขายิ่งนัก คงไม่ต้องตากแดดหลังขดหลังแข็งทำงานหนักกระมัง
แม่สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่พวกเขาเหล่านั้นนึกเอ็นดูตั้งแต่แรกเห็น หล่อนกลับทำตัวไม่น่าเอ็นดูเหมือนกับหน้าตาเลยนี่สิ
เธอไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากทักทายใครทั้งนั้น มีเพียงสายตาว่างเปล่าที่มองพวกเขาเท่านั้น หากแต่ความเป็นจริงแล้ว สวาเจ้าก็เพียงแค่กลัวและตกใจ เพราะเธอไม่คิดว่าคนจะแห่มาดูกันทั้งหมู่บ้าน รวมไปถึงเด็ก ๆ ขี้มูกโป่งทั้งหลายเหล่านั้นด้วย
หลี่เล่อเยียนเป็นหญิงสาวที่อายุใกล้เข้าวัยออกเรือนไม่เคยเจอเด็กเล็ก ๆ ที่หน้าตามอมแมมผอมโซขนาดนี้มาก่อน จึงทำตัวไม่ถูก จะเอ่ยวาจาอะไรออกไปก็กลัวไม่เข้าหู พาลแต่จะทำให้พวกชาวบ้านโกรธ จึงเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า ไม่คิดเลยว่าชาวบ้านจะตีความหมายเป็นอื่นซะนี่
เรื่องนินทาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านหรือแม้กระทั่งเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่พากันอิจฉาปัญญาชนคนเมืองเหล่านั้น ที่ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้สะสวยทุกคน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผิวพรรณพวกเขานั้นช่างแตกต่างจากชาวชนบทอย่างพวกเธอราวฟ้ากับดิน
" เราไปตรงโน้นกันเถอะ " หม่ายวี่ไท่เอ่ยขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบหลี่เล่อเยียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบฟังคนอื่นนินทาผู้อื่นซะทีเดียว เท่าที่เธอสังเกตดู หลี่เล่อเยียนก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ติดที่หล่อนเป็นคนพูดน้อยไปหน่อย
" ใช่ๆ ไปกันเถอะเล่อเยียน " เหอหมี่เมี่ยนรีบพูดเสริมขึ้นมาด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องกับชาวบ้านซะเปล่าๆ
" เล่อเยียน ผมได้ข่าวว่าคุณไม่สบาย หายดีแล้วหรือถึงได้มาทำงาน ผมว่าคุณลาพักอีกสักวันดีไหมครับ " ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน อกผายไหล่ผึ่งสมชายชาตรี กล้ามรึก็นึกว่าก้ามปูช่างดูอบอุ่นเสียจริงเชียว
ใครกันละนี่ พ่อหนุ่มน้อยดูจากหน้าตา กะอายุคร่าวๆ น่าจะไม่ต่างจากหลี่เล่อเยียนสักเท่าไหร่ มองหน้าชายหนุ่มไม่นานภาพของชายผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
เขามีชื่อว่า 'เตียวซูอวี้ ' เป็นเลขาธิการหนุ่มไฟแรงของหมู่บ้านนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อที่สาวๆ ทั้งหมู่บ้านหมายตา พากันส่งแม่สื่อตามไปทาบทามจนกระไดบ้านไม่แห้งกันเลยทีเดียว แต่พ่อหนุ่มน้อยก็ยังไม่ถูกใจใครสักคน ด้วยว่าตัวเขานั้นอายุเพิ่งจะ 19 ปี ยังไม่รีบคิดมีครอบครัว หากยังไม่เจอหญิงสาวที่เขานั้นถูกใจจริง ๆ
แต่เมื่อเร็วๆ นี้เห็นทีเขาจะเจอนางในดวงใจเขาแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่ที่เจอหลี่เล่อเยียน ตัวเขาเองนั้นก็ไม่คิดที่จะมองหญิงใดอีกเลย
ในคราแรกที่เธอมาถึง ใช่ว่าเขาจะไม่สนับสนุนให้หลี่เล่อเยียนมาเป็นครูสอนเด็ก ๆ ในโรงเรียนประจำตำบลแห่งนี้ แต่เพียงแค่คำพูดของเขาคนเดียว ไหนเลยจะช่วยสนับสนุนเธอได้ เขาเห็นรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร พร้อมทั้งรูปร่างบอบบางเช่นเธอ เขาจะทำใจให้สาวเจ้ามาทำไร่ไถนาให้มือด้านได้อย่างไรกัน
เพียงแค่คิดเตียวซูอวี้ก็รู้สึกปวดใจแล้ว ชายหนุ่มจึงคอยเรียกหญิงสาวให้มาช่วยจดบันทึก หรือไม่ก็ตรวจสอบข้อมูลของผลผลิตในหมู่บ้านแทน เนื่องจากเธออ่านออกเขียนได้ อย่างไรเสียเธอก็จบตั้งมัธยมปลาย ซึ่งเวลานั้นถือว่าจบสูงมาก ๆ เลยล่ะ
เพียงวันนั้นแค่วันเดียว ที่ตัวชายหนุ่มไม่อยู่ เข้าเมืองไปสั่งปุ๋ยพร้อมกับของใช้บางอย่าง ทำให้หญิงในดวงใจของเขาต้องไปทำงานในทุ่งนาเหมือนคนอื่น ๆ จนเธอต้องเจ็บไข้เช่นนี้
" ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณเลขาธิการที่ถามไถ่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ ใกล้จะถึงเวลาทำงานแล้ว "
ช่วงนี้น่าจะเป็นฤดูเพาะปลูก เพราะตอนนี้อากาศร้อนมาก งานในทุ่งนาไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก นอกจากคอยถอนกำจัดวัชพืชในทุ่งนา ส่วนหน้าที่หว่านปุ๋ย จะเป็นงานผู้ชายเนื่องจากแต้มค่าแรงเยอะกว่า
เหล่าบรรดาหญิงสาว หรือแม้กระทั่งแม่บ้าน จะขึ้นเขาเก็บผักป่ามาแลกเป็นแต้มค่าแรงเสียมากกว่า
" เอ่อ..ถ้าอย่างนั้นก็ไปช่วยผมตรวจของทางโน้นเถอะครับ พอดีผมสั่งซื้อปุ๋ยมา ยังไม่ได้ตรวจนับให้ละเอียด " เตียวซูอวี้ พยายามช่วยหญิงสาวเต็มที่ ด้วยกลัวว่าผิวขาวๆ ของเธอจะเสียเอาได้ ยามที่ต้องสัมผัสกับแดดลมแรงๆ
" อะไรกันคะ ซื้อของมาต้องทำการตรวจสอบตั้งแต่ขนขึ้นรถมาแล้วไม่ใช่หรอกหรือคะ เลขาธิการล้อฉันเล่นอีกแน่ ๆ เลยค่ะ ฉันไม่มีเวลาแล้ว คงต้องขอตัวก่อนเพราะเพื่อนยืนรอนานแล้วล่ะค่ะ " หลี่ล่อเยียนกล่าวยิ้มๆ พร้อมกับปลีกตัวออกมาปล่อยให้เลขาธิการหนุ่มยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลี่เล่อเยียนคงจะรีบวิ่งไปยังที่ทำการกลางหมู่บ้าน โดยไม่รีรอให้เลขาธิการพูดจบหรอก เพราะเธอไม่ชอบทำงานตรงที่มีแดดร้อน เธอรักผิวของตัวเองยิ่งกว่าอะไร พยายามทุกทาง เพื่อที่จะได้เข้าไปช่วยงานภายใน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าเธออยากจะมีเพื่อน เธอจะต้องรู้จักปรับตัว ตอนนี้ หลี่เล่อเยียนคนใหม่ ไม่กลัวที่จะทำงานกลางทุ่งนา เพราะเธอในเมื่อก่อนก็ทนทำงานทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด ถึงจะเกิดในเมืองหลวง แต่ชีวิตใช่ว่าจะสุขสบาย เช้าๆ ต้องรับจ้างเข็นผักขายที่ตลาด สายมาทำงานประจำที่ร้านสะดวกซื้อ ตกเย็นรับจ้างล้างจาน มีเวลานอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แค่งานถอนวัชพืชแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับเธอ
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก