วันต่อมา เหว่ยหยางทำกิจวัตรเหมือนเดิม เขาพยุงมารดาไปทำธุระส่วนตัว ให้อาหารไก่ แล้วอาบน้ำยามเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้างเล้าไก่ เอ่ยทักต้นหญ้าสีม่วงที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าต้นหญ้าน้อย เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด” เขาระบายความรู้สึกในใจอย่างผ่อนคลาย จ้องมองดอกไม้พลางเอื้อมมือแตะปลายใบอ่อนแผ่วเบา เขารู้สึก… สบายอย่างประหลาด ทุกครั้งที่สัมผัสต้นหญ้านี้ ผ้าแพรที่สถิตอยู่ในต้นหญ้าเงียบฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างตั้งใจ นางอยากจะปลอบโยน อยากจะโอบกอดเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้เพียงแค่สั่นไหวใบอ่อนเพื่อตอบรับอย่างสุดกำลัง วันแล้ววันเล่า เหว่ยหยางมักจะมานั่งพูดคุยกับต้นหญ้าสีม่วงต้นนี้เป็นประจำ เขาระบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนผ้าแพรก็เฝ้าฟังและเผลอผูกพันกับเด็กชายมากขึ้นทุกที… และในวันที่ไม่เห็นเขา นางก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก… ก่อนที่ฤดูหนาวจะย่างกรายมาถึง เริ่นเหว่ยหยางได้ขอให้ป้าฟ่างหนิงช่วยแนะนำช่างที่ไว้ใจได้เพื่อมาสร้างบ้านหลังใหม่ ท่านป้าจึงพาเขาเข้าเมืองซานเฉิง และในที่สุดก็สามารถว่าจ้างช่างฝีมือคนหนึ่งตกลงราคากันที่สามตำลึงทอง ฟ่านหนิงถึงกับตาโต เมื่อได้ยินราคาที่เด็กชายตกลงจ้าง “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะสร้างบ้านในราคาสูงถึงเพียงนี้?” นางเอ่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เหว่ยหยางเพียงแย้มยิ้มตอบกลับ “ข้ามั่นใจแล้วขอรับ ในเมื่อจะสร้างใหม่ทั้งที ข้าก็อยากให้มันกว้างขวางขึ้น และมีห้องเพิ่มขึ้นอีกหน่อย เท่านี้ยังถือว่าไม่แพงมากนัก” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ขัดอะไรอีก” ป้าฟ่านหนิงพยักหน้า มองเด็กชายตรงหน้าด้วยความชื่นชม ตั้งแต่ที่มารดาของเขาล้มป่วย เหว่ยหยางก็เป็นผู้ดูแลทุกอย่างในบ้านด้วยตนเองอย่างเข้มแข็งเกินวัย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็พามารดาย้ายไปพักชั่วคราวที่บ้านของป้าฟ่านหนิง ส่วนต้นหญ้าที่เขาผูกพันนัก ก็ถูกล้อมด้วยไม้ไผ่และกำชับกับช่างอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องเด็ดขาด ช่างทั้งห้าคนพากันหันมามองหน้ากันด้วยความฉงน เด็กผู้นี้ไม่มีเพื่อนเลยจนถึงขั้นตั้งเพื่อนเป็นต้นหญ้าหรือไร? หัวหน้าช่างพยักหน้ารับอย่างขำ ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดเพิ่มเติม เพียงรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับต้นหญ้านั้นแน่นอน เหว่ยหยางหันกลับไปมองต้นหญ้าอีกครั้งด้วยแววตาเสียดายเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้าน เขาก็แทบไม่ได้มานั่งพูดคุยเหมือนเคย ใครจะเข้าใจความผูกพันของเขากับต้นหญ้าได้บ้างเล่า? ทางด้านผู้ใหญ่บ้าน เมื่อทราบข่าวว่ามีลูกบ้านสร้างบ้านใหม่ เขาก็เดินเข้ามายืนดูอยู่ริมรั้ว เห็นช่างทั้งห้าคนกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ‘เจ้าเด็กนี่ไปหาเงินมาจากที่ใดกัน? ไม่นานก่อนยังเห็นเก็บผักป่ามาต้มกินอยู่แท้ ๆ’ ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ เขาก็พบว่าภรรยา ซูเหอ เดินตามมาด้วย “เจ้าตามข้ามาทำไม?” เขาถามเสียงเรียบ ซูเหอยิ้มบาง ๆ “ข้าเองก็สงสัยเหมือนท่าน ว่าเด็กผู้นั้นไปได้เงินมากมายมาจากไหน ได้ยินว่าไปพักอยู่กับป้าฟ่านหนิงกันทั้งครอบครัว” “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? เพิ่งมาถึงก่อนเจ้าด้วยซ้ำ หากอยากรู้มากนักก็ไปถามเอาเอง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงขุ่น ก่อนจะเดินจากไป ซูเหอเห็นเช่นนั้นก็ไม่ติดใจ นางหันเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปหาป้าฟ่านหนิงทันที ด้านผ้าแพร วิญญาณที่ยังคงผูกพันอยู่ในร่างต้นหญ้า มองการสร้างบ้านอย่างเงียบงัน นางดีใจแทนเด็กชายผู้มีหัวใจเข้มแข็ง แม้นตัวเองจะยังไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ นางก็ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง… ความทุกข์ของตนจะสิ้นสุด ที่บ้านป้าฟ่านหนิง บรรยากาศกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง นางทำอาหารอย่างขะมักเขม้นให้ทั้งสามคนรับประทาน หลังจากสูญเสียลูกกับสามีมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่มีเสียงหัวเราะกลับมาในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเหว่ยหยางคือแสงสว่างที่ทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ในขณะที่เหว่ยหยางช่วยป้าฟ่านหนิงจัดสวน เสียงร้องเรียกจากหน้าบ้านก็ดังขึ้น “ท่านป้าฟ่านอยู่หรือไม่?” เขาเดินไปดูและพบว่าคนที่เรียกคือภรรยาผู้ใหญ่บ้านจึงเปิดประตูออก “ท่านป้าซูเหอมีธุระอะไรหรือขอรับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ นางแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ “อ้าว…เหว่ยหยางหรือ? เจ้าอยู่ที่บ้านป้าฟ่านได้อย่างไรหรือ?” เขาสังเกตท่าทางไม่แนบเนียนของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ “บ้านของข้าโชคดี ได้ล่าสัตว์มาได้ตัวหนึ่ง จึงมีเงินพอจะสร้างบ้านใหม่ ท่านป้าก็รู้ดีว่าเรือนที่ข้าอาศัยอยู่ คงไม่รอดหน้าหนาวนี้แน่ เพราะมันเก่ามากเต็มทีแล้ว” ซูเหอฟังคำตอบด้วยความสนใจ เมื่อได้รู้แหล่งที่มาของเงินก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อีก “อย่างนั้นหรือ ก็ดีแล้ว เจ้าช่างโชคดีนัก ข้าไม่รบกวนป้าฟ่านหนิงแล้วละ พอดีต้องรีบกลับไปทำอาหารที่บ้านพอดี” พูดจบ นางก็รีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เริ่นเหว่ยหยางส่ายหน้าเบา ๆ พลางถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เขาเริ่มเหนื่อยใจกับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในหมู่บ้านเสียเหลือเกิน ขณะกำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากป้าฟ่านหนิงดังออกมาจากในบ้าน “ใครมาร้องเรียกข้าหรือ?” เหว่ยหยางจึงเดินไปบอกเล่าเรื่องของซูเหอให้ฟังอย่างคร่าว ๆ จากนั้นก็หันกลับไปทำงานที่ยังค้างอยู่ เขาคิดไว้แล้วว่าอีกสองสามวันค่อยแวะกลับไปดูความคืบหน้าที่บ้านน่าจะเหมาะกว่า เวลาผ่านไปกว่าสิบวัน เด็กชายจึงตัดสินใจเดินกลับไปดูบ้านด้วยตนเอง และพบว่าบ้านหลังใหม่ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาไม่รอช้า เข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าช่างเกี่ยวกับการสร้างรั้วไม้ไผ่ที่แข็งแรงทนทาน เพราะทุกครั้งเมื่อฤดูหนาวมาเยือน มักมีสัตว์ป่าหลุดลงมาคุกคามอยู่เสมอ โชคดีที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเจอสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ อีกหนึ่งเดือนผ่านไป หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า อากาศหนาวเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด อาการของมารดาก็เริ่มดีขึ้น ด้วยความช่วยเหลือจากป้าฟ่านหนิง ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด วันนี้เหว่ยหยางเตรียมย้ายเข้าบ้านใหม่ พร้อมทั้งบอกลากับป้าฟ่านหนิงที่อุตส่าห์ขับเกวียนลามาส่งด้วยตนเอง แม้จะมีอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงแข็งแรงคล่องแคล่ว “ท่านแม่ขอรับ นี่คือบ้านใหม่ของพวกเรา… ต่อไปท่านจะได้ไม่ต้องทนหนาวลำบากอีกแล้วนะขอรับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เริ่นหรงฮวามองลูกชายด้วยความซาบซึ้ง “เจ้าเก่งมาก ลูกของแม่เติบโตขึ้นจนดูแลแม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ แม่เองก็จะพยายามฟื้นตัวให้แข็งแรง และดูแลเจ้ากลับบ้างเช่นกัน” บทสนทนาอันอบอุ่นของสองแม่ลูกอยู่ในสายตาของผ้าแพรและป้าฟ่านหนิงตลอดเวลาเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก