สายหมอกยังไม่จางจากสนามรบแห่งทาคิซึเมะ
ไม่มีเสียงสวด
ซาโยะไม่ร้องไห้
“เจ้าฆ่าผู้คนมากมาย...”
“แต่เจ้าก็ไม่เคยบังคับให้ใครหยิบดาบขึ้นมา”
เสียงเงียบ
ในมือเธอ มีซองจดหมายเก่า ๆ ที่พบซ่อนในพัดไม้ไผ่ของเขา
“ถึง...ผู้ที่กล้ายอมแพ้เพื่อหยุดสงคราม”
เธอเปิดจดหมาย
มีเพียงคำบรรยายถึง...
“ดอกไม้ที่เบ่งบานจากเถ้าถ่าน”
“ถ้าศพของข้าจะมีความหมาย
ก็ขอให้มันเป็นดินให้สิ่งใหม่งอกขึ้น
แม้เพียงดอกเดียว
แม้มันจะบานแค่วันเดียวก็ตาม”
ซาโยะพับจดหมายช้า ๆ
หนึ่งในนั้นคือทายาทของอิซึมิ
เธอยิ้มบาง ๆ ครั้งแรกในรอบหลายบท
“ถ้ามีสิ่งใดจะเกิดหลังจากสงคราม” เธอพึมพำ
“ก็ขอให้มันไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือชีวิต”
และในตอนจบของวันนั้นเอง...
ใต้ต้นไม้เก่า
เงานั้นสูงน้อยกว่าปกติ
ตอนถัดไปอาจเป็น “บทที่ 25: คนตายที่เดินอยู่ในเงา” หรือ "ทางเลือกสุดท้ายของฮากุโร่"
บทที่ 46: จดหมายจากหมู่บ้านที่ไม่มีผู้นำ“เมื่อไม่มีใครสั่ง การสั่งจึงกระจายไปยังทุกปาก”ฤดูใบไม้ผลิที่สองหลังพิธี “สลายตราเงา”เงาบนแผ่นดินมิได้กลับมาแต่ความระส่ำระสาย เริ่มผลิบานเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีรากหมู่บ้านยากูระ — ชายแดนตะวันตกของอาโอบะไม่มีหัวหน้าหมู่บ้านมาหลายเดือนผู้นำคนเก่าเสียชีวิตจากพิษตกค้างผู้คนใช้การโหวตเป็นทางออก แต่ผลลัพธ์มีเพียงความเงียบจนกระทั่ง...ฮากุโร่ ได้รับ จดหมายปริศนาถูกเขียนด้วยลายมือที่ไม่แน่ชัดไม่มีชื่อผู้ส่งแต่มีกลิ่นควันไฟเจือปนบนซองกระดาษข้อความนั้นสั้น และเต็มไปด้วยน้ำเสียงระคนศรัทธาและความสิ้นหวัง“ขอเพียงท่านมองมาทางนี้… เราจะเชื่อว่ายังมีแสงที่แท้จริง”“แม้ไม่มีใครนำ แต่เรายังเฝ้ารอเงาของท่าน”ซาโยะ เห็นสีหน้าสามีเมื่ออ่านจดหมายจบเธอรู้ว่าเขาไม่อยากเป็น “ผู้นำ”แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่า คือ… เขาเริ่มคิดว่าจะไม่ไปดูด้วยซ้ำ“เจ้าจะไม่ไปเหรอ?” เธอถามเสียงเรียบ“ข้าไม่ใช่แสง ไม่ใช่เงา ไม่ใช่อะไรอีกต่อไปแล้ว”“แต่บางที—การ ไม่ไป อาจเป็นการเลือกข้างที่น่ากลัวที่สุด”ในคืนเดียวกันมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากชายป่าใกล้หมู่บ้านยากูระควันไฟลอยขึ้นสู่ท้อง
บทที่ 45 — ฤดูที่เงาไม่กลับมาเมื่อเงาถูกลบ สิ่งที่ยังคงอยู่ไม่ใช่แผ่นดิน...แต่คือใจของผู้เคยอยู่ใต้เงาฤดูใบไม้ผลิครั้งแรกหลังการสลาย “สัญญาเงา” มาถึง ในแผ่นดินที่เคยบอบช้ำจากสงครามใต้เงาแผนกลศึก ดอกไม้เริ่มเบ่งบานไม่พร้อมกัน เหมือนแต่ละตระกูลยังลังเลว่าจะ “เชื่อในสันติ” ได้จริงหรือไม่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเชิงเขาอิคุซะโนะโมริ ฮากุโร่กับซาโยะใช้ชีวิตอย่างสามัญ เขาปลูกดอกโบตั๋น เธอสอนเด็ก ๆ อ่านเขียนไม่มีใครเรียกเขาว่า ขุนศึกเงา ไม่มีใครถามว่าเธอคือ ธิดาแห่งแคว้นโคะริว ทั้งคู่เลือกจะ “อยู่” มากกว่า “เป็น”ที่ศาลากลางเมืองอาโอบะ ม้วนสาส์น “พันธะเปล่า” ถูกเก็บไว้ในกล่องแก้ว คือเอกสารหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีลายเซ็น มีเพียงรอยเปื้อนจากมือผู้ส่งมอบอาคุริว ซึ่งบัดนี้สละตัวตนเก่า เดินทางไปตามหมู่บ้านชายแดน ในนามของ “พระอาคุ” ไม่เทศนา แต่ฟัง ไม่สอน แต่ตั้งคำถามหนึ่งในคำที่เขาชอบถามชาวบ้านคือ:“วันนี้เจ้าตื่นขึ้นมา...กลัวอะไรที่สุด?” ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีอะไรเลย” เขาจะยิ้ม... และเดินจากไปในภาพรวม แผ่นดินไม่ได้สงบในทันที ความขัดแย้งยังมี คำโกหกยังซ่อนอยู่ในกล่องของข
บทที่ 44: ผู้ที่เลือกอยู่ในแสงเมื่อไม่มีเงาเหลือให้ซ่อน ผู้ใดเล่าจะกล้าเดินต่อภายใต้แสงโดยไม่หวั่นไหวแสงอาทิตย์เช้าวันใหม่ ทอผ่านม่านหมอกที่ลอยอยู่เหนือทุ่งเซกิคุบริเวณที่เคยเป็น “สนามสังเวียนไร้เสียง” ของสงครามลับบัดนี้ กลายเป็นสถานที่เปิดโล่ง ที่เหล่าทายาทของตระกูลต่างๆ มายืนเงียบเรียงหน้ากันไม่มีใครถือดาบไม่มีใครมีตราประจำตระกูลบนไหล่มีเพียงสายตาที่มองกันตรง ๆซาโยะ ยืนอยู่แถวหน้าในชุดขาวเรียบง่าย ไม่ประดับลายใดเธอเป็นผู้เริ่มพูดก่อน“ข้าคือธิดาของขุนพลผู้ล่มสลายข้าคือเจ้าสาวของศัตรูและข้าคือหญิงสาวที่เลือกจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของแสงหรือเงาอีกต่อไป”เสียงของเธอไม่ได้ดังก้องแต่ชัดพอให้ทุกคนหยุดหายใจฮากุโร่ ก้าวมาข้าง ๆเขาเงียบแต่ในมือนั้น เขาถือ “สาส์นเปล่า”กระดาษขาวไม่มีคำแต่มันคือตราสัญญาใหม่—แผ่นดินที่แต่ละคนจะเขียนประวัติศาสตร์ด้วยมือของตนเองเขามอบมันให้ผู้นำแต่ละตระกูลหนึ่งคน หนึ่งแผ่นไม่ใช่เพื่อให้เซ็นแต่เพื่อ เขียนคำมั่นของตนเองด้วยลายมือผู้นำตระกูลคุเสะ เป็นคนแรกที่เดินออกมาเขาวางตราแว่นของตนลงข้างกระดาษถอนหายใจ แล้วเขียนสั้น ๆ:“ข้าสำนึกในสิ่งที่เงา
บทที่ 43 — ทะเลที่ไม่มีภาพสะท้อนรุ่งเช้าหลังการประลองเงาคลื่นทะเลที่ชายฝั่งอาโอบะสงบจนน่าประหลาดไม่มีเสียงลมไม่มีหมอกและไม่มีภาพสะท้อนบนผิวน้ำ—แม้ท้องฟ้าจะไร้เมฆฮากุโร่ ยืนอยู่ลำพังบนโขดหินในมือไม่มีดาบอีกต่อไปหลังจากพิธี “เผาฝัก” ที่เขาทำเมื่อคืนก่อนเขากลายเป็นนักรบไร้อาวุธไม่ใช่เพราะไร้เรี่ยวแรงแต่เพราะเขาเลือกจะไม่ใช้มันอีก“เมื่อไม่มีเงา...เราจะเห็นตัวเองชัดขึ้น หรือจะรู้สึกว่างเปล่า?”คำถามผุดขึ้นในใจเหมือนภาพสะท้อนที่ไม่เคยปรากฏบนทะเลในยามเช้านี้ซาโยะ เดินมาหาเธอแตะไหล่เขาเบา ๆ“ข้ากลัว...”“เมื่อไม่มีศัตรู...ข้าจะไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร”ฮากุโร่หันมามองเธอสายตาเขาไม่เศร้าแต่ก็ไม่สดใสราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านน้ำโดยไม่ทิ้งเงา“ข้าก็กลัวเหมือนกัน”“แต่บางที...กลัวนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้เรายังเป็นมนุษย์”ในเวลาเดียวกันที่ศาลากลางเมืองอาโอบะตัวแทนตระกูล ทั้งโฮชิ, คุเสะ, อิซึมิ และตระกูลย่อยต่าง ๆมาร่วม “พิธีสลายตราเงา”ว่ากันว่าหลังจากนี้จะไม่มี กฎแห่งเงาไม่มี สิทธิ์ลอบฆ่าโดยคำสั่งเบื้องบนไม่มี ขุนศึกลับ ที่เขียนแผนล่วงหน้าเป็นปีเพื่อสงครามที่ไม่มีใครต้องการแ
บทที่ 42 — บทเรียนสุดท้ายของดาบที่ไม่เคยฟันณ ลานไม้กลางวิหารร้างบนยอดเขาอันห่างไกลฮากุโร่ยืนอยู่หน้าพี่ชาย—อาคุริวไม่มีผู้ชม ไม่มีกลองรบ ไม่มีเสียงพร่ำสอนของคาเงะมีเพียงกลิ่นฝนก่อนพายุและคำถามในใจที่ไม่อาจฟันด้วยดาบเล่มใดในโลก“เจ้าฝึกดาบมากับข้า...แต่เจ้าคือคนเดียวที่ไม่เคยฟันใครจริง ๆ”อาคุริวยิ้มอย่างเจ็บลึกเขาชักดาบช้า ๆ ปล่อยให้แสงจันทร์สะท้อนใบมีด“วันนี้ข้าจะให้บทเรียนสุดท้าย...ว่าดาบที่ไม่ฟั
เบื้องหลังพี่ชาย: “อาคุริว” — เงาที่เงาก็ไม่ไว้ใจในอดีต เขาถูกเรียกขานในหมู่สายลับว่า “ดาบเบื้องหลังธง”ชื่อจริงคือ “อาคุริว” (悪竜) พี่ชายแท้ ๆ ของฮากุโร่บุตรคนโตแห่งบ้านคามิโนะ ตระกูลนักรบที่เสื่อมชื่อเสียงเพราะอยู่ผิดข้างในศึกใหญ่เมื่อ 17 ปีก่อนต่างจากฮากุโร่ที่เงียบขรึมและยึดอุดมการณ์อาคุริว เติบโตมาท่ามกลางความเคียดแค้น และถูกฝึกให้เป็น "เครื่องมือ" มากกว่าคนจุดเปลี่ยนเมื่ออายุ 20 ปี เขาถูกส่งเข้าหน่วยลับ “อุรายามิ” (裏闇)หน่วยที่ไม่ได้ขึ้