รับบทคนขุดสุสาน
“โมโหขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะช่วยนาง”
ถานถานดึงแขนเสวียนหนี่เข้ามากระซิบกระซาบถามเป็นครั้งที่สอง
“ตาแก่ถาน ท่านพอจะช่วยลูกของนางได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เหอะ อย่าฝัน”
หลังอาทิตย์อัสดงที่สุสานบรรพชนตระกูลผิง
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดยังจะแส่หาเรื่องอีก”
เขาตำหนินางด้วยน้ำเสียงที่เบาพอสมควร บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ายามนี้สิ้นแสงไปได้ระยะหนึ่ง เสียงสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนดังหวีดหวิวน่าหวาดกลัว ในขณะที่ทั้งสองเดินตามทางรกร้างแคบ ๆ เสวียนหนี่เกาะชายผ้าชายแก่ไว้เพราะรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก ทุกย่างก้าวของนางสั่นเครือเกือบจะก้าวต่อไปไม่ไหว
สำหรับถานถานไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นกลัวอะไรเลย เพราะในบางวันที่เขาเข้าป่าไปหาตัดไม้ก็มักจะนอนกลางป่ากลางเขาเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะในสุสานหรือพงไพรล้วนบรรยากาศอึม
ครึมไม่แพ้กัน สัตว์ป่าที่ส่งเสียงน่ากลัวในยามราตรีไม่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้แก่เขาได้ เขากลับคิดว่ามันเป็นเสียงขับกล่อมให้เขาหลับสบาย หรือบางครั้งก็ถือเอาว่าสัตว์เหล่านี้เป็นเพื่อนยามวิกาล ช่วยให้ตอนร่ำสุราลำพังกลางพงไพรไม่เงียบเหงา“แล้วแม่ของนางไม่มาด้วยหรือ”
“แม่ของนางบอกว่าหากสามีหลับแล้วจะหาโอกาสแอบตามมาทีหลังเจ้าค่ะ”
“สตรีอ่อนแอเพียงนี้ แม้แต่จะลุกขึ้นมาต่อต้านสามีเพื่อลูกก็ยังไม่กล้า รอคอยแต่ความช่วยเหลือของผู้อื่น นิสัยรอพึ่งพาผู้อื่นเช่นนี้หากช่วยลูกของนางออกไปได้ ลูกของนางก็ยังจะถูกพ่อขายเอาเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
จะว่าไปถานถานพูดก็ไม่ผิด เสวียนหนี่ไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้ หญิงชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือเมื่อตอนหัวค่ำนางอ่อนแอเกินไป แม้แต่จะโต้ตอบสามีเพื่อปกป้องลูกยังไม่สามารถทำได้ หากถานถานและเสวียนหนี่ช่วยลูกของนางให้รอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้ ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าผู้เป็นพ่อจะไม่ขายลูกกินอีก
...บิดาใจทมิฬ ชั่วช้า ผีใดที่ว่าร้ายยังไม่เท่าผีพนันเข้าสิง
...ส่วนมารดาก็อ่อนแอ ขี้ขลาดและหวาดกลัวจนไม่สามารถปกป้องลูกได้ ชีวิตของเจ้าสาวผีช่างน่าสงสารยิ่งกว่าเจ้าของร่างที่นางทะลุมิติเข้ามาเสียอีก
“...ข้าไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้ แต่ชีวิตคนสำคัญกว่า เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อความตายของผู้บริสุทธิ์ได้เจ้าค่ะ”
“เหอะ ข้ารังเกียจคนดีแบบเจ้าที่สุด”
“ข้าไม่ใช่คนดี”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสาวผียังไม่ตาย”
“ตามหลักแล้วคนที่ถูกฝังทั้งเป็นจะมีชีวิตอยู่ได้ราวหนึ่งเค่อถึงครึ่งชั่วยาม บางคนอาจอยู่ได้นานถึงสามชั่วยามเลยก็เป็นได้ ข้าต้องรบกวนแรงท่านให้รีบขุดเร็วหน่อย”
“ข้าอีกแล้วเรอะ”
“ท่านแรงดีนี่เจ้าคะ สุราห้าไหยังเอาท่านไม่ลงเลย”
พูดจบทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าสุสานบรรพชนตระกูลผิง ร่องรอยของการกลบฝังใหม่ทำให้รู้ตำแหน่งของโลงศพได้ไม่ยาก ซึ่งรอยฝังใหม่มีอยู่สองจุดเคียงกันเพราะเป็นการฝังแบบโลงคู่
“ขุดคนละโลงเถิดเจ้าค่ะ”
“ได้ ๆ คุณหนูฉู่เจ้ามาพนันกันไหมล่ะ”
“พนันอะไรเจ้าคะ”
“พนันว่าเจ้ากับข้าใครจะได้ผีใครจะได้คน”
“ย่อมได้ ข้าว่าข้าขุดได้คน ส่วนท่านขุดได้ผี ข้าคงไม่โชคร้ายเจอศพแน่นอน หากเจอคงติดตาข้าไปอีกนาน เร่งมือขุดก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าหากท่านได้เห็นสมบัติที่ตระกูลผิงใส่ไว้ในโลง ของพนันจากข้าท่านคงไม่สนแล้วล่ะ”
"จริงของเจ้า ตระกูลผิงร่ำรวยขนาดนั้นต้องมีของดีในโลงแน่นอน"
ครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะมักจะใส่สมบัติและของมีค่าไว้ในโลงศพผู้ตาย การที่เสวียนหนี่พูดถึงของมีค่าเป็นแรงจูงใจให้ถานถานเร่งมือขุดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เขาตั้งใจขุดไม่พูดไม่จาและไม่บ่นสักคำ
หนึ่งสตรีกับหนึ่งชายแก่รีบขุดหลุมศพอย่างขันแข็ง จนในที่สุดเสวียนหนี่ก็เจอเข้ากับฝาโลงหัวหมู นางร้องบอกถานถานอย่างดีใจ เขาจึงรีบเข้ามาช่วยนางเปิดฝาโลงออก เมื่อเปิดออกมาภาพที่เห็นตรงหน้าทำเสวียนหนี่ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะร่างที่อยู่ในโลงนั้นคือบุรุษผิวซีดเซียว ใต้ตาดำคล้ำ ใบหน้าไร้เลือดฝาด ดูแล้วผู้ที่ตายยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ
“ฮ่า ๆ คุณหนูฉู่เจ้าได้ศพ เจ้าแพ้ข้าแล้ว”
“ชะ เช่นนั้น ที่อยู่ในโลงของท่านน่าจะเป็นเจ้าสาวผี เร็วเถิดเจ้าค่ะเสียเวลามามากแล้ว ข้ากลัวนางจะหมดลมเสียก่อน”
“เร่งข้าเสียจริง เจ้ากำลังทรมานคนแก่นะรู้ตัวไหม”
เสวียนหนี่ไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเขา นางใช้มือกับไม้แหลมตะกุยดินที่ฝังกลบโลงศพออกจนเล็บหัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดมือ ครู่ต่อมาฝาของโลงศพหัวหมูได้ปรากฏต่อสายตา เสวียนหนี่เริ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
ถานถานใช้กำลังทั้งหมดที่มีช่วยกันเปิดฝาโลงออก หลังจากเปิดออกแล้วทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน
“ดะ เด็ก!”
“พวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันเด็กอายุไม่น่าจะถึงสิบหนาวด้วยซ้ำ ขายเด็กมาเป็นเจ้าสาวผีเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ”
"เฮ้อ เจ้าสาวผีมีใครอยากเป็นเล่า ถ้าหาผู้หญิงมาได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนสาวหรือคนแก่ พวกมันก็เอาหมดนั่นแหละ"
"แต่พ่อที่ขายลูกนี่มันเลวเกินไปจริง ๆ"
เสวียนหนี่เอาร่างเด็กน้อยออกมาจากโลงแล้วอุ้มขึ้นมาเขย่าตัวปลุกให้ตื่น แต่ไม่มีทีท่าว่าเด็กจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย นางไร้สัญญาณชีพจรไปเสียแล้ว ดังนั้นเสวียนหนี่จึงวางร่างเด็กน้อยราบกับพื้นแล้วทำการปั๊มหัวใจตามความรู้ที่เคยได้เรียนมา
“พอเถิด เราทำเต็มที่แล้ว นางสิ้นใจไปแล้ว”
ถานถานบอกพร้อมกับเอนตัวทรุดนั่งอย่างอ่อนแรง เสวียนหนี่ยังคงไม่หมดหวังพยายามทำทุกวิถีทางให้เด็กน้อยผู้น่าสงสารมีสติตื่นฟื้น
"ไม่ เราช่วยนางมาขนาดนี้แล้วต้องช่วยต่อให้ถึงที่สุด ตัวนางยังอุ่นอยู่บางทีข้าอาจช่วยนางได้"
ในที่สุดแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ก็มาเยือน เด็กน้อยเริ่มมีสัญญาณชีพจร นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ แล้วร้องไห้ด้วยความตกใจรีบโผเข้ากอดเสวียนหนี่เพราะคิดว่าเป็นแม่ของตน
“โอ๋ ๆ อย่าร้อง เจ้าปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยแล้วนะหนูน้อย เจ้าจะได้กลับบ้านไปหาแม่ของเจ้าแล้ว”
“เหอะ ป่านนี้แล้วแม่ของนางยังไม่โผล่หัวออกมาเลย”
ถานถานลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ยังไม่เห็นเงาผู้ที่ได้ชื่อว่ามารดาของเด็กจะโผล่มา
"นางต้องมาแน่ ลูกนางทั้งคนนะเจ้าคะ ไม่มีแม่คนไหนทิ้งลูกได้ลงคอหรอก...เว้นเสียแต่ว่า..."
พูดมาถึงตรงนี้เสวียนหนี่ก็พูดต่อไม่ออก เพราะนางลองย้อนคิดในมุมของคนเป็นแม่ดู ถ้าเสวียนหนี่เป็นแม่ของเด็กก็หวังเพียงอยากให้ลูกรอดพ้นภัยอันตราย แต่จะไม่มารับลูกกลับไปอย่างแน่นอน ถ้ากลับไปแล้วลูกต้องตกอยู่ในสภาพครอบครัวแบบนั้น ปล่อยให้เด็กได้ไปใช้ชีวิตกับคนที่ดีจะดีกว่า เสวียนหนี่คิดแล้วก็ถอนหายใจ ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้เลวร้ายแบบที่นางคิด
...อย่าเป็นอย่างที่ข้าคิดเลย มารับลูกไปเสียเถิด ข้าไม่มีปัญญาดูแลนางให้ดีได้ แม้แต่ตัวข้าเองข้าก็ยังเอาตัวไม่รอด
เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วสตรีผู้นั้นยังไม่โผล่หน้ามา...หรือว่าจะเป็นอย่างที่เสวียนหนี่กำลังหวั่นใจ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรเสวียนหนี่ยิ่งมั่นใจแล้วว่าสตรีผู้นั้นได้ทิ้งลูกของตนเองไว้กับนางและถานถาน
"ตาแก่ถานข้าว่าเราถูก-"
เสวียนหนี่กำลังจะหันไปบอกว่าตนถูกสตรีผู้นั้นหลอกเข้าแล้ว แต่เมื่อหันไปก็ต้องอึ้งกับภาพที่เห็น ตาแก่ถานกำลังกุลีกุจอเอาสมบัติในโลงใส่ห่อผ้าอย่างเมามัน เขาไม่สนใจนางกับเด็กแม้แต่เพียงหางตาแลมอง แต่กลับแย้มยิ้มอย่างมีความสุข สร้อยมุขอยู่ที่คอเขาสามเส้น ร่วมไปถึงกำไลและแหวนเขาก็สวมใส่อร่ามตาท่ามกลางแสงจันทราสาดส่อง
"ตาแก่ถาน!"
"ข้ายุ่งอยู่ เจ้าเองก็มาช่วยข้าเก็บสมบัติพวกนี้ก่อน เด็กนั่นปล่อยไว้ตรงนั้นแหละอย่างไรนางก็รอดตายแล้ว"
"...ตาแก่ถาน"
"อะไรอีกเล่า"
"ข้าว่า...เอ่อ...ท่านอย่าโมโหนะถ้าหากข้าพูดไป"
"ฮ่า ๆ เห็นสมบัติแล้วจิตใจเบิกบานข้ามีอะไรต้องโมโห"
"...ดะ เด็กนี่ต้องไปกับเรา"
เสวียนหนี่กล่าวเสียงอ่อนพลางฉีกยิ้มแห้ง ๆ ให้ถานถาน
"..."
ถานถานชะงักงันในทันที เด็กคือตัวปัญหาใหญ่ แค่นางคนเดียวเดินทางมาด้วยกันยังอดมื้ออิ่มมื้อ ผู้ใหญ่ทนหิวได้แต่เด็กทนหิวไม่ไหว อีกอย่างเสวียนหนี่เองก็เป็นนักโทษกบฏ ส่วนเขาเป็นทาสหลบหนี การหนีไปให้ไกลจากแคว้นเถียนโดยเร็วจึงเป็นจุดประสงค์หลัก ถ้ารับเด็กไปเป็นตัวถ่วงเขาไม่เห็นด้วยเลยจริง ๆ
ถานถานค่อย ๆ หันกลับมามองนางช้า ๆ แล้วแหกปากโวยวายลั่นสุสาน
"เจ้าจะบ้าเรอะ! ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจะเอาเด็กนั่นไปเป็นภาระได้อย่างไร ลำพังแค่เจ้าคนเดียวข้าก็ปวดหัวจะแย่"
"ชู่ เบา ๆ สิเจ้าคะ เดี๋ยวคนก็รู้กันพอดีว่าเรากำลังขโมยสมบัติจากสุสาน ท่านใจเย็นก่อน ระงับโทสะ...ระงับโทสะ"
"เห้อะ!"
"ข้าคิดว่าแม่ของนางคงไม่มารับนางกลับไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ ถ้าข้าเดาไม่ผิดนางเพียงหวังอยากให้เราช่วยลูกของนาง แต่ไม่คิดจะพาลูกกลับไปให้ถูกขายซ้ำ นางก็เลยยังไม่ออกมาจนถึงขณะนี้ บางทีนางอาจกำลังเฝ้ามองเราจากที่ไหนสักแห่งแต่ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ข้ารู้ว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็มีแม่บางคนที่คิดว่าปล่อยลูกไปอยู่กับผู้อื่นจะมีหนทางรอดมากกว่า"
...เช่นซินหยาง มารดาของเจ้าของร่าง เสวียนหนี่พูดไปก็ปวดหนึบที่ใจ เป็นเพราะความจำของเจ้าของร่างยังทิ้งรอยบาดแผลให้เศร้าโศก
"คิดแล้วเชียว"
"สงสารที่นางยังเด็กยังเล็กอยู่ ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตา น้ำใจของท่านประเสริฐดุจขุนเขา อีกทั้งหน้าตายังงามสง่าสมวัย"
"พอแล้ว ข้าไม่หลงเชื่อคำยกยอหรอก พรุ่งนี้เช้าเอาเจ้าเด็กตัวปัญหาไปทิ้งไว้ในตลาด เดี๋ยวก็มีคนจับนางไปเลี้ยงเองนั่นแหละ"
"...จับไปเลี้ยงเป็นทาสนะหรือเจ้าคะ"
คำถามของนางทิ่มแทงใจถานถาน เพราะเขายังฝังใจกับการเป็นทาสอยู่ เห็นสีหน้าถานถานเปลี่ยนไปชัดเจนเสวียนหนี่ก็เริ่มมองออกว่านางพูดได้ตรงจุด
"ท่านก็รู้ว่าชีวิตทาสต้องเจอกับอะไรบ้าง นางยังเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ อย่าให้นางต้องรับความลำเค็ญเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ เมตตานางเถิดนะเจ้าคะ ข้าสัญญาว่าข้าจะเป็นคนดูแลนางเอง สมบัติที่เอาไปจากสุสานเราสามารถขายเอาเงินมาประทังได้สักระยะหนึ่ง"
จุดสีแดงบนนิ้วมืออี้เฉินมองสาวรับใช้ที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเขาหันไปสบตากับโม่โฉวและหลีเหว่ยหากเดาไม่ผิดสาวใช้นางนี้ประจำอยู่เรือนไป่เหอ คงมีเรื่องเกี่ยวกับสองสตรีต่างถิ่นมารายงานเป็นแน่แท้"มีอะไร"อี้เฉินถามเสียงเรียบ"ท่านประมุขแม่นางเสวียนหนี่กับแม่นางซูหนี่ตีกันแล้วเจ้าค่ะพวกนางตีกันอยู่หน้าเรือนไป่เหอเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ""ตะตีกัน"หลีเหว่ยทวนคำแล้วหมุนตัวเตรียมจะวิ่งไปดูแต่อี้เฉินและโม่โฉวยังสงบอยู่เขาจึงหันขวับกลับมามองแล้วถาม"ไม่รีบไปแยกพวกนางหรือขอรับท่านประมุข ท่านอาจารย์""รอสักหนึ่งเค่อเถิด""เหตุใดต้องรอ""ข้ายังอ่านตำราเล่มนี้ไม่จบ""หา อย่างนี้ก็ได้หรือ"หลีเหว่ยพึมพำเบา ๆประมุขหงใจเย็นถึงเพียงนี้แม้แต่สตรีที่กำลังจะมาเป็นภรรยามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเขายังมีอารมณ์นั่งอ่านตำราต่ออันที่จริงอี้เฉินก็เพียงแค่เข้าใจความคับแค้นใจของเสวียนหนี่เป็นอย่าง
หาแสงหญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ แต่ไม่ละสายตาจากห่าวอู๋แล้วพูดขึ้นโดยที่สายตายังจับจ้องร่างนั้นอยู่“เขานี่แหละตัดสินว่าข้าแอบอ้างตัวเป็นเสวียนหนี่…เอ๊ะ ข้าก็เป็นเสวียนหนี่อยู่แล้วนี่ ซูหนี่ต่างหากที่อ้างตัวเป็นข้า น่าโมโหชะมัด นางทำให้ผู้คนทั่วทั้งหุบเขาเรียกข้าว่าซูหนี่ข้าเกลียดชื่อนี้จะตายไป ว่าแต่เจ้าเถอะตาแก่ถาน”“ข้าทำไมหรือ”“เจ้ามีความหมางใจอะไรกับห่าวอู๋ผู้นี้ตอนตัดสินโทษเขามีสายตาแปลกประหลาดราวกับว่าไม่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตรอด”“จะบ้าเรอะ ข้าจะไปมีเรื่องกับห่าวอู๋ได้อย่างไร ข้ากับเขามันคนละระดับ” "จริงสิ...หรือว่า...""ท่านประมุข แม่นางซูหนี่ขอเข้าพบเจ้าค่ะ"ที่เรือนเฝิ่งหง เสวียนหนี่ยืนรอการอนุญาตของอี้เฉินอยู่หน้าประตูหลังจากสาวใช้เข้าไปรายงานอี้เฉินได้พยักหน้ารับทราบ สาวใช้เดินออกมาบอก
เลวยิ่งนัก!"ฮ่า ๆ""หยุดหัวเราะข้าเดี๋ยวนี้นะ""หยุดไม่ได้ ฮ่า ๆ""คุณหนูฉู่!"นางเงยหน้ามองใบหน้าที่ไม่เหมือนเดิมของถานถานแล้วกลั้นขำจนตัวโยนทุกครั้งที่ถานถานอ้าปากพูดเสวียนหนี่ก็ไม่อาจละสายตาจากช่องฟันกลวงโบ๋ที่หายไปหนึ่งซี่นั่นได้จริงๆ เมื่อสองชั่วยามก่อนเขาถูกถอนฟันออกจากปาก เป็นฟันซี่ที่อยู่ด้านหน้าสุดเพื่อเป็นการลงโทษสถานเบา แต่ชาวบ้านที่มามุงดูเข้าใจว่าเขาถูกประมุขหงสั่งลงโทษสถานหนักซึ่งรุงแรงถึงขั้นทำลายอวัยวะภายในเสียหายหลายจุด อันที่จริงแล้วที่เขาสูญเสียไปเป็นเพียงฟันหน้าหนึ่งซี่ก็เท่านั้น"รูปโฉมงดงามสง่าของข้าถูกทำลายลงเพราะประมุขหงหึซ้อมข้าทุบตีข้ายังดีกว่าเสียอีก""ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว""อืม...ว่าแต่เจ้าเด็กน่ารำคาญนั่นหายไปไหนเสียล่ะ""ไปเป็นตัวประกันให้ท่านเจ้าค่ะประมุขหงคิดว่านางคือลูกสาวแท้ ๆ ของท่านจึงเอาตัวนางไว้กันท่านหลบหนี""ฮ่า ๆ อย่างนี้นี่เอง ประมุขห
ตัดสินโทษเจี่ยนถานถานยามโหย่วของวันเดียวกัน เสวียนหนี่ถูกแปลงโฉมใหม่เรียบร้อยนางไม่ได้ถูกส่งตัวเข้าห้องขังเช่นเดิม แต่ถูกนำตัวให้ไปพักที่เรือนไป๋เหอซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับซูหนี่พักอาศัยด้วยความเป็นห่วงพวกพ้องที่ยังอยู่ในห้องขังเสวียนหนี่จึงไม่ได้ตรงไปยังเรือนไป๋เหอทันทีแต่นางแวะมาที่ห้องขังเสียก่อนเมื่อย่างกายเข้ามายังบริเวณห้องขัง บรรดาผู้คุมต่างมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั่นก็เพราะนางเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆในสายตาพวกเขาสตรีงดงามผู้นี้ต่างจากสตรีมอมแมมที่ถูกคุมขังก่อนหน้านี้ไปถนัดตาฝ่ายถานถานพอเห็นว่าคนที่มาเยี่ยมเยือนคือเสวียนหนี่เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก เดินเข้ามาเกาะกรงห้องขังแล้วถาม“เจ้าหายไปไหนมาตั้งนานแล้วทำไมถึงได้แต่งกายด้วยชุดใหม่”“อย่าให้พูดเลยเรื่องมันยาว เอาเป็นว่าข้ากับประมุขหงได้ทำข้อตกลงกันบางอย่าง ท่านรู้เท่านี้ก็พอ…และที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะมารับเพียนเพียนออกไป”“ละ แล้วข้าล่ะ&
ยื่นข้อเสนอแลกชีวิตเมื่อได้ฟังชื่อของถานถานห่าวอู๋ก็มีแววตาที่เปลี่ยนไปโดยทันทีหลายสิบปีก่อนเขายังเป็นหนุ่มน้อยและได้รับหน้าที่ดูแลคลังเสบียงเป็นงานหลักเพียงอย่างเดียว หลังจากได้ทำงานที่มอบหมายได้เพียงสองปีก็เกิดไฟลุกไหม้ที่คลังเสบียงอย่างหนัก ข้าวของที่เก็บไว้ในคลังเสบียงถูกไฟเผาไหม้จนไม่เหลือซากตอนนั้นอี้เจ๋อโมโหหนักถึงขั้นสั่งให้คนตามล่าเอาชีวิตเจี่ยนถานถานตามหาเขาแทบพลิกแผ่นดิน ออกคำสั่งว่าหากพบเจอที่ใดสามารถสังหารถานถานได้ทันทีไม่ต้องจับกลับมาแบบเป็น ๆ“หลานจะรื้อคดีวางเพลิงคลังเสบียงขึ้นมาใหม่หรือ”“ไม่มีความจำเป็นต้องรื้อคดีใหม่ ในเมื่อเจี่ยนถานถานคือผู้กระทำผิด…เว้นเสียแต่ว่าคนที่วางเพลิงไม่ใช่เขา”ว่าแล้วอี้เฉินก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มแต่สายตาแข็งกร้าวมองตอบไม่กะพริบตาห่าวอู๋ไม่ได้รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นคือรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความจริงใจและคำพูดเมื่อครู่นี้ยังพูดขึ้นเพื่อประเมินดูปฏิกิริยาเขาว่าจะมีท่าทางอย่างไร
ใครคือตัวจริง"รื้อคดีหาใช่เรื่องที่ควรทำ""ทำไมหรือขอรับท่านประมุข"หลีเหว่ยรีบถามขึ้นโดยทันที ส่วนอาจารย์โม่โฉวก็เห็นด้วยกับอี้เฉินจึงพยักหน้าตามช้า ๆ"ท่านอาจารย์เห็นด้วยกับท่านประมุขหรือขอรับ""ถูกแล้ว ตอนที่คลังเสบียงถูกเผาครั้งนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลคลังเสบียงให้ประมุขอี้เจ๋อคือห่าวอู๋แต่ไม่คิดเลยว่าประมุขหงจะมีใจเป็นห่วงเป็นใยถานถานถึงเพียงนี้"เมื่ออ่านใจศิษย์เอกออกโม่โฉวก็ระบายยิ้มละมุนออกมา ยิ่งทำให้หลีเหว่ยมึนงงไปกันใหญ่เขามองทั้งสองคนสลับไปมา"ข้างงไปหมดแล้วขอรับ...ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอาจารย์ต้องพูดว่าประมุขหงเป็นห่วงตาแก่ถานถานด้วยดูขัดกับนิสัยท่านประมุขหงนะขอรับ"พูดจบหลีเหว่ยก็หัวเราะแห้ง ๆ เพราะสายตาเฉียบคมที่มองมาทางเขาทำให้เขารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ"การรื้อคดีไม่ใช่เรื่องดีสำหรับถานถาน เขาอาจจะถูกฆ่าปิดปากก็เป็นได้หากรื้อคดีขึ้นมาใหม่ สู้ให้เขายอมรับผิดแล้วหาวิธีการอื่นไถ่โทษจะดีกว่า"