Home / รักโบราณ / เหมยฮวาฤดูหนาว / ไต่สวนคุณหนูผู้อ่อนแอ?

Share

ไต่สวนคุณหนูผู้อ่อนแอ?

ในท้องพระโรงที่ว่าราชการของฮ่องเต้ ยามนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนอลหม่าน ทว่าทุกคนก็หาได้มีผู้ใดกล้าส่งเสียงใดๆ ไม่ ต่างพากันยืนก้มหน้าตัวลีบกันทั่วทุกคน เมื่อมองเห็นสายพระเนตรดุดันที่จ้องมองลงมาราวกับว่าพร้อมจะออกคำสั่งประหารทุกคน

จ้าวเฟยเซียนยืนอยู่ด้านขวาของพระหัตถ์ฮ่องเต้ ดวงตานางเปล่งประกายกร้าวแกร่ง ยิ่งเสียงหมอหลวงวัยชราเอ่ยถึงอาการบุตรสาวว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ดวงหน้างามยิ่งเผยรังสีอำมหิตมากขึ้นทุกที

“กราบทูลฝ่าบาท คุณหนูท่านแม่ทัพมีแผลเลือดออกที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายถูกหินครูดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่เข่ามีรอยแตกคล้ายกับถูกกระแทกแรงๆ และก็ยังมีรอยเหมือนถูกลากจนผิวหนังถลอกถึงเนื้อด้านใน ที่ขามีรอยช้ำเหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง ที่สำคัญ ไหล่ทั้งสองข้างของนางนั้นกระดูกข้อต่อหลุด แต่กระหม่อมได้ทำการรักษาต่อให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนบาดแผลภายนอกคงต้องอาศัยเวลาทายาจนหายดีพ่ะย่ะค่ะ” 

จ้าวหมิงหลงอุ้มบุตรสาวไว้ในวงแขน ใบหน้าคมเข้มยามนี้มีริ้วรอยความโกรธ แม่ทัพไร้พ่ายตวัดสายตาไปที่ร่างอรชรของว่านเสียนเฟย พยายามสะกดกลั้นใจตนไว้ไม่ให้เข้าไปสังหารอีกฝ่ายให้ดับดิ้นเสียเดี๋ยวนั้นเลย

‘อวี้หลาง หากเจ้าคิดเข้าข้างสนมเจ้า ข้าจะเผาวังหลวงของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลยเชียว’ 

แม่ทัพหนุ่มได้แต่ถลึงตาบอกฮ่องเต้ผู้เป็นสหายเป็นนัยๆ พอว่านเสียนเฟยได้ฟังคำพูดของหมอหลวงวัยชรา หญิงสาวก็นึกอยากกรีดร้องเหลือเกิน ทำไมนังเด็กนั่นถึงได้เป็นขนาดนั้น นางไปทำมันตอนไหนกัน

จ้าวเหมยฮวามองใบหน้าที่บิดเบี้ยวจนแทบมองไม่เห็นความงามของว่านเสียนเฟย เด็กหญิงพลันลอบยิ้มใต้ผ้าคลุมเต็มใบหน้า แผลพวกนี้ล้วนเป็นนางที่ทำให้เกิด ไหล่ที่หลุดนั้นก็เป็นผลมาจากวิชาถอดกระดูกของมารดา จะเล่นงานอีกฝ่ายให้อยู่หมัด นางก็ต้องหงายไพ่เกทับสิ

“เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่ เสียนเฟย!” 

เสียงตวาดก้องสะท้อนท้องพระโรงน้อยครั้งนักที่จะได้ยิน เพราะยามปกติฮ่องเต้มักใจดี ไม่ค่อยเกรี้ยวกราดใส่ผู้ใด

ว่านเสียนเฟยคุกเข่าแนบศีรษะลงขนาบพื้น ใบหน้างามมีน้ำตานอง ร่างอรชรอ้อนแอ้นสะอื้นไห้จนตัวโยน ภาพสาวงามที่แลดูโศกสลด ทำเอาหัวใจชายหลายคนในที่นั้นถึงกับกระตุกวูบด้วยความสงสาร

“ฝ่าบาท คุณหนูสกุลจ้าวลบหลู่ก้าวร้าวไม่ให้เกียรติหม่อมฉัน แถมยังด่าว่าหม่อมฉันเป็นสัตว์เดรัจฉานเพคะ หม่อมฉันเป็นสนมแต่งตั้งของพระองค์นะเพคะ สมควรแล้วหรือที่นางจะทำเยี่ยงนี้ ขอพระองค์ทรงให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วย” 

อวีัหลางฟังคำนาง ในใจพลันเริ่มมีความลังเลมิน้อย หากหลานสาวเอ่ยเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการลบหลู่มาถึงพระองค์ด้วย เพราะอย่างไรเสียว่านเสียนเฟยก็คือสนมของเขา ด้วยวัยและความอาวุโสของอีกฝ่าย ต่อให้มิใช่พระสนมขั้นสูงก็ยังมิควร

เช่นนั้นหากพระองค์ลงโทษว่านเสียนเฟยด้วยเรื่องนี้ มีหรือจะไม่ถูกผู้คนโจษจัน สกุลว่านต้องออกมาพลิกคำช่วยเหลือว่านเสียนเฟยเป็นแน่ ตามหลักกตัญญูของต้าเฉิน ผู้อาวุโสสั่งสอนผู้เยาว์นั้นไม่ใช่เรื่องผิดอันใด เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ แม้ไม่เอ่ยปากออกวาจาใด ทว่าในใจแต่ละคนล้วนเห็นพ้องต้องกันเช่นเดียวกับฮ่องเต้

ว่านเสียนเฟยคือพระสนมผู้สูงศักดิ์ แล้วคุณหนูจ้าวนางเป็นใคร แค่พูดถึงความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่แล้วไซร้ นางก็ยังมิบังควรกระทำตนเช่นนี้

เมื่อเห็นว่าบรรดาผู้คนในท้องพระโรง ตลอดจนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามี ต่างมีท่าทีคล้ายเห็นใจนาง ว่านเสียนเฟยก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มในที ยิ่งแสร้งสะอื้นไห้ไร้เสียง

“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อเลิกเป็นแม่ทัพได้ไหมเจ้าคะ” จู่ๆ เสียงใสเล็กก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยผ้าจนเหลือให้เห็นเพียงดวงตากลมโต บัดนี้มีน้ำใสไหลเต็มหน่วยตา แลดูน่าสงสารยิ่งนัก

จ้าวหมิงหลงกระชับแขนก่อนถามบุตรสาวอย่างฉงน “ฮวาเอ๋อร์ ทำไมลูกจึงพูดเยี่ยงนี้ล่ะ” 

“พระสนมบอกว่า แม่ทัพเปรียบเหมือนข้ารับใช้ทั่วไป นางสั่งให้ตายท่านพ่อก็ต้องตาย นางยังบอกอีกว่าตำแหน่งแม่ทัพนั้นไม่อาจเทียบตำแหน่งพระสนมตราตั้งอย่างนางได้ ฮวาเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านพ่อถูกสั่งให้ตาย เหมือนจิงหยูที่แค่พาลูกไปดูดอกไม้ก็ถูกสั่งลงโทษตายแล้วเพคะ” 

คำพูดเรียบง่ายภายใต้น้ำเสียงใสสั่นๆ แลเห็นความซื่อตรงแบบเด็กไร้เดียงสา ทำให้หลายคนในที่นั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นใจมิน้อย

เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้ แต่กลับมีท่าทีและคำพูดหวาดผวาเยี่ยงนี้ หากมิใช่ผู้ใหญ่กระทำ ไฉนเลยจะเป็นอย่างที่เห็นได้ ทุกคนต่างพากันส่งสายตาตำหนิไปยังว่านเสียนเฟย

จ้าวเหมยฮวาลอบยิ้มพึงใจ เมื่อเห็นสายตาทุกคนมองพระสนมคู่กรณีด้วยสีหน้าและแววตาไม่พอใจ เคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า…

‘จะตีเหล็กควรต้องตีตอนร้อน’ ดังนั้นนางจึงยินดีอย่างยิ่งที่จะเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก

“นะเจ้าคะท่านพ่อ ละ...ลูกไม่อยากให้ใครมาสั่งฆ่าท่านพ่อ และลูกก็ไม่อยากเห็นใครมาด่าท่านแม่ว่าเป็นนางแพศยา ลูกไม่อยากถูกสั่งตัดลิ้นเหมือนอย่างวันนี้ ถ้าท่านพ่อมาไม่ทันลูกคงได้กลายเป็นเด็กใบ้ไปแล้ว ฮึกๆ” 

น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับร่างเล็กๆ ในวงแขนที่สั่นสะท้านดุจคนกลั้นสะอื้นของบุตรสาวสุดรักสุดหวง ทำให้แม่ทัพไร้พ่ายยามนี้มีโทสะสูงเทียมฟ้า ไม่ต่างกับยามออกทำศึกทำสงครามเข่นฆ่าทหารแคว้นอื่นเลยทีเดียว

“ว่านเสียนเฟย เจ้ากล้าข่มเหงลูกสาวข้า สั่งตัดลิ้นนาง ด่าเมียข้าเป็นนางแพศยาไม่พอ ยังกล้าลบหลู่เกียรติภูมิตำแหน่งแม่ทัพแห่งตระกูลจ้าวของข้า หากวันนี้ไม่สังหารเจ้าเอาเลือดมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ ไหนเลยข้าจ้าวหมิงหลงจะยังเป็นคนตระกูลจ้าวอยู่” 

เสียงตวาดดุดันก้องไปทั่วท้องพระโรง ได้ยินไปไกลนับร้อยลี้ ด้วยพลังปราณกราดเกรี้ยวของร่างสูงที่ถูกปล่อยออกมาโดยเจ้าตัวไม่คิดควบคุม

ว่านเสียนเฟยเป็นเพียงพระสนมที่ไร้พลังยุทธ์ เมื่อถูกคุกคามด้วยพลังเสียงจากปราณ นางและเหล่านางกำนัลที่ไม่มีพลังยุทธ์ติดตัวต่างกระอักโลหิตบาดเจ็บภายในไปตามๆ กัน

แม้แต่อวี้หลางฮ่องเต้เองยังต้องเกร็งปราณเข้าต้านจนพระพักตร์ซีดขาว เฟยเซียนจับแขนผู้เป็นสามีไว้ ก่อนจะส่ายหน้าให้น้อยๆ

“เซียนเอ๋อร์... นางทำกับลูกเราขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมอยู่อีกหรือ” แม่ทัพร้องถามฮูหยินตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกภรรยาเข้าขัดขวาง

ฮ่องเต้เป่าลมพรวด ในใจนึกโล่งที่น้องสาวห้ามน้องเขย เพราะพระองค์รู้ดีว่าสหายรักในยามนี้เปรียบประดุจพญามัจจุราชที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้คน แต่ด้วยศักดิ์ศรีฮ่องเต้ของพระองค์ หากหมิงหลงอาละวาด ห้ามไม่ได้จนมีการนองเลือดเกิดขึ้น พระองค์จะเอาพระพักตร์ไปมองหน้าผู้ใดได้อีกเล่า

‘อา... ยังดียิ่งนักที่เซียนเอ๋อร์ของพี่รู้ความไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม’ 

คิดพลางถอนพระทัยอย่างโล่งอก ก่อนจะต้องพระเนตรค้างแข็งไปพลัน เมื่อได้ยินคำน้องสาวสุดรักตอบสามี

“ไม่ใช่เช่นนั้นท่านพี่ ข้า... กำลังจะบอกท่านว่าข้าจะเป็นคนฆ่านางเอง!” 

กล่าวจบร่างบางก็ดีดปลายเท้าพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที ว่านเสียนเฟยนั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่ง หลังจากกระอักโลหิต ในใจยังคิดเคียดแค้นศัตรู นางไม่โกรธแค้นจ้าวหมิงหลง ทว่าใจนั้นกลับคิดโทษจ้าวเฟยเซียนแทน

‘หากไม่มีนางแพศยานี่ แม่ทัพจ้าวก็จะเป็นของข้า ที่ชีวิตข้าต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านังเฟยเซียน’ 

แม้ตัวนางจะไร้วรยุทธ์ แต่ยามนี้ด้วยไฟแค้นสุมทรวงดั่งลาวาปะทุ ทำให้ว่านเสียนเฟยขาดสติจะไตร่ตรองเรื่องราว เมื่อมองเห็นคนที่นางแสนเกลียดชังจึงลุกขึ้นผวาเข้าใส่

จ้าวเฟยเซียนเหินกายเข้ามาเห็นอีกฝ่ายลุกถลาใส่ตน นางจึงซัดฝ่ามือใส่ร่างอรชรของพระสนมสาวทันที ว่านเสียนเฟยกายสะท้านรู้สึกปวดร้าวอย่างยิ่ง แต่ในใจยังฮึดสู้ มือจับยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดึงคว้าเอาปิ่นเงินที่ปักอยู่บนเรือนผมออกมากำไว้ในมือ

“...นังเฟยเซียน นังแพศยาตายเสียเถอะ” 

เสียงคำรามดังก้องท้องพระโรง ก่อนที่แม่ทัพจ้าวกับอวี้หลางจะได้สติคิดทำสิ่งใด พวกเขาต้องตกตะลึงเมื่อสายตามองเห็นปิ่นเงินด้ามยาวที่เสียบเข้าท้องเฟยเซียนจนมิดด้าม ร่างระหงของฮูหยินแม่ทัพยืนนิ่ง ก่อนจะก้มมองที่ท้องตัวเอง นางยืนโงนเงนก่อนร่างจะทรุดลงฮวบ ท่ามกลางสายตาของทุกคนในที่นั้น

“เซียนเอ๋อร์!” 

จ้าวหมิงหลงกับอวี้หลางร้องตะโกนลั่น ก่อนที่อวี้หลางจะพุ่งร่างเข้าไปเร็วกว่าแม่ทัพจ้าวที่มีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขน

“ฮ่าๆๆ ข้าฆ่ามันได้แล้ว ฆ่านางจิ้งจอกแพศยา สมน้ำหน้าจงตายเสียเถอะ” 

ว่านเสียนเฟยยามนี้ไร้สติไตร่ตรองใดๆ นางเห็นร่างบางของสตรีที่ตนเองเกลียดล้มลง ในใจนั้นล้วนไร้ความเกรงกลัวต่ออาญาโอรสสวรรค์โดยสิ้นเชิง

จะมีเหลือก็เพียงความยินดี ที่ได้เห็นศัตรูหัวใจผู้เป็นดุจหนามแหลมทิ่มแทงความรู้สึกของนางมาตลอดต้องมาปราชัยต่อหน้า

“ว่านเสียนเฟย นางหญิงชั่ว!” 

ฮ่องเต้ตวาดคำรามสุรเสียงดุดัน ก่อนพระบาทของโอรสสวรรค์จะเหวี่ยงใส่ร่างพระสนมที่เคยโปรดปรานจนกระเด็นไปกองติดผนังท้องพระโรง

น้องสาวของพระองค์คนนี้ แม้มิใช่ร่วมอุทรกันมา แต่เพราะพระมารดาของนางที่ตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นเพียงพระสนมขั้นผิน คอยช่วยเหลือป้อนข้าวป้อนน้ำพระองค์ ในยามที่เป็นเพียงองค์ชายนอกสายพระเนตรพระบิดา ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจและเหลียวแล แม้กระทั่งพระมารดาของพระองค์เอง คำขอร้องเพียงหนึ่งเดียวของนางยามเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ปรารถนา มีเพียงขอให้ดูแลน้องหญิงตัวน้อยแทนนาง คำสั่งเสียนี้จึงเป็นดั่งสัญญาใจที่อวี้หลางยึดถือ

ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงน้อยพระองค์นี้จึงอยู่รอดปลอดภัยภายใต้ปีกของอวี้หลางฮ่องเต้ แม้แต่ในยามที่กวาดล้างเหล่าเชื้อพระวงศ์ ก็หาได้มีผู้ใดกล้าคิดแตะต้องไม่

ฮ่องเต้หนุ่มยืนนิ่งสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะตวาดเสียงลั่น

“ทหาร! รับคำสั่งเรา ว่านเสียนเฟยพระสนมขั้นเอกชั้นหนึ่ง มีจิตใจหยาบช้าไร้คุณธรรมอันดีงาม ประพฤติตนเสื่อมเสียไม่สมกับตำแหน่ง ให้ยึดทรัพย์ถอดออกจากตำแหน่ง สกุลว่านสั่งสอนบุตรไม่ดีพอ ทำให้ราชสำนักด่างพร้อย ให้ยึดทรัพย์ทั้งหมดแล้วขับออกนอกแคว้นก่อนตะวันตกดิน และห้ามสกุลว่านทุกคนหวนคืนกลับมาแคว้นต้าเฉินอีกตลอดไป!” 

“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงขานรับดังพร้อมเพียง ก่อนเหล่าทหารจะรีบสลายตัวแยกกันไปปฏบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพราะยามนี้พวกเขาทุกคนล้วนไม่มีใครอยากลองดีกับอารมณ์ของฮ่องเต้

“ฝ่าบาท... แล้วจะทรงให้ทำอย่างไรกับนางดีพ่ะย่ะค่ะ” 

หลิวกงกงเอ่ยถาม ก่อนจะหันหน้าไปทางร่างปวกเปียกคล้ายผ้าขี้ริ้วที่กองอยู่บนพื้นของอดีตเสียนเฟยพระสนมผู้เคยเป็นที่โปรดปราน อวี้หลางหันมามองร่างนั้นด้วยสายพระเนตรเย็นชา ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยพระพักตร์และสุรเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน

“ส่งนางไปค่ายทหารของแม่ทัพมู่ ที่เฝ้าอยู่เมืองหน้าด่านแคว้นต้าอี้ แล้วบอกว่าเป็นของขวัญจากเรามอบให้ทุกคน” 

หลิวกงกงได้ฟังคำสั่ง ในใจพลันสะท้านเฮือก ส่งไปเมืองหน้าด่านให้แก่ทหารทุกคน นับว่าเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนักสำหรับสตรี นางคงต้องปรนนิบัติเหล่าชายชาตรีทั้งวัน แม้นมีชีวิตอยู่ก็คงมิสู้ตายแน่ๆ

ด้านแม่ทัพจ้าว ยามนี้กอดร่างภรรยาแน่น เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางจะมาบาดเจ็บต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็อยู่ด้วยแท้ๆ แต่กลับมิอาจช่วยอะไรได้เลย

จ้าวเหมยฮวายืนข้างผู้เป็นบิดา มือเล็กๆ พยายามดึงบิดาออกมาจากตรงนั้น

“ท่านพ่อถอยออกมา ให้ท่านหมอหลวงได้รักษาท่านแม่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 

น้ำเสียงเด็กน้อยสั่น ใบหน้าน่ารักที่มีผ้าคลุมก้มลงสะอื้นไห้ไร้เสียงอย่างน่าสงสารยิ่ง จ้าวหมิงหลงรวบร่างเล็กมากอดในอก ก่อนจะปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อย่าร้องไห้ลูก แม่ของเจ้าต้องไม่เป็นอะไร” 

ฮ่องเต้เดินมาหาน้องเขยกับหลานสาวด้วยพระพักตร์ไม่สู้ดี ในใจยามนี้รู้สึกผิดยิ่งนักที่ปล่อยให้งูพิษอยู่ข้างกาย จนสามารถแว้งกัดคนสำคัญของพระองค์ได้

“เซียนเอ๋อร์ นางจะต้องไม่เป็นอะไร” 

จ้าวหมิงหลงมองใบหน้าผู้เป็นสหายและพี่เขยในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองภรรยา ที่ยามนี้หมอหลวงช่วยกันรักษาอยู่โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

จ้าวเหมยฮวายืนร้องไห้น้ำตาไหลเงียบๆ จนร่างเล็กๆ นั้นสั่นสะท้านดุจจะขาดใจลง สร้างความเวทนาให้แก่ทุกคนที่พบเห็น

หมอหลวงวัยชราเงยหน้าจากร่างอรชรพลางส่ายหน้าถอนหายใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขามองแล้วให้หดหู่ยิ่งนัก

อวี้หลางกับหมิงหลงเห็นดังนั้นก็เร่งสาวเท้าเข้าไปยืนเบื้องหน้าร่างบางบนเตียง มองเห็นใบหน้านางที่หลับตาพริ้มไร้สีโลหิตคล้ายคนนอนหลับ พวกเขาเพ่งมองไปที่ทรวงอกที่ไร้การขยับนั้นตาไม่กะพริบ

“ไม่จริง!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   หักหน้า

    งานเลี้ยงใกล้จบลงแล้ว เฟยเซียนกับจ้าวเหมยฮวาเตรียมจะขอตัวกลับ ด้วยสะใจที่หักหน้าคนแก่ได้สำเร็จไทเฮามองคนทั้งสองด้วยสายตาวาววับ พระนางไม่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นนี้แน่ จึงได้ตรัสขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงไม่ดีดพิณเหมือนคนอื่น แต่เลือกที่จะเป่าเซียวแทนเล่าคุณหนูจ้าว” จ้าวเหมยฮวายังคงมีรอยยิ้มน่าเอ็นดู แม้ในใจจะคิดระแวงอีกฝ่ายไม่น้อย หากนางอ้างว่าเพราะไม่อยากเล่นซ้ำให้จำเจ ไทเฮาก็คงยังจะหาเหตุมาให้ดีดอยู่ดี“ทูลไทเฮา หม่อมฉันนั้นไม่สันทัดการดีดพิณเพคะ จึงเกรงว่าคงทำได้ไม่ดีพอ หม่อมฉันจึงเปลี่ยนตามความถนัด” ไทเฮาคลี่ยิ้มเหยียด ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงดังขึ้นอีก“ช่างน่าแปลกนัก เจ้าเป็นสตรีแต่กลับไม่ถนัดพิณ แล้วเจ้าเรียนรู้สิ่งใดมาจากอาจารย์เจ้าบ้างเล่า” “ทูลไทเฮา อาจารย์ของหม่อมฉันคือบิดากับมารดาเพคะแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการตีแผ่ตัวตนของนางให้ทุกคนคิดว่านางนั้นไร้การศึกษา แบบคุณหนูลูกผู้ดีที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านี้ แต่เด็กหญิงยังคงตอบด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจบิดากับมารดาสั่งสอนอบรมนางมาอย่างดี และจ้าวเหมยฮวาก็มั่นใจว่าทุกสิ่งที่สืบทอดมา จะไม่แพ้ผู้ใดแน่นอนไทเฮากับเยว่จินหมิงปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามบ

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   คิดจะเป็นคุณหนูต้องสตองเข้าไว้ (3)

    งานเลี้ยงดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง จู่ๆ ไทเฮาก็เอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงดุจจะโอ้อวด“จินหมิง คุณหนูไป๋ ได้ยินว่าพวกเจ้าร่ำเรียนการดีดพิณมา สามารถบรรเลงเพลงได้ไพเราะจับใจนัก พอจะแสดงให้ยายแก่คนนี้ได้เปิดหูเปิดตาบ้างได้หรือไม่” เยว่จินหมิงยิ้มเอียงอายน้อยๆ ทว่าใบหน้ามีความภูมิใจยิ่ง นางมั่นใจในฝีมือตนเองมาก แม้แต่อาจารย์ที่มาสอนต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกัน ว่านางมีฝีมือเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกัน“หากเสด็จย่าไม่รังเกียจฝีมืออันต่ำต้อย จินหมิงก็ยินดีเพคะ” ไทเฮาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างพอใจในคำตอบ ก่อนจะหันมาตรัสถามต่อ “แล้วคุณหนูไป๋กับคุณหนูจ้าวล่ะ” จ้าวเหมยฮวาคลี่ยิ้มบางบนใบหน้า ในใจนั้นรู้ดีกว่าใคร ไทเฮาทรงต้องการจะเปรียบเทียบให้ผู้คนดูว่านางนั้นด้อยกว่าเยว่จินหมิงสินะ“ได้เพคะ” พอไป๋หลินอิงกับจ้าวเหมยฮวารับคำ นางกำนัลคนสนิทไทเฮาก็ยกพิณสีดำตัวยาวมาตั้งกลางเวทีทันที คล้ายจะรอท่าอยู่แล้วกระนั้นเยว่จินหมิงก้าวไปนั่งหน้าเวทีอย่างเรียบร้อย เด็กหญิงยกมือขึ้นกรีดนิ้วบรรเลงเพลงไปตามสาย เกิดเสียงกังวานหวานปนเศร้าไปทั่วบริเวณ“อา... นี่มันเพลง ‘ความฝันของผีเสื้อ’ นี่

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   คิดจะเป็นคุณหนูต้องสตองเข้าไว้ (2)

    “ฮูหยินจ้าวกับคุณหนูจ้าวมาถึงแล้ว” เสียงร้องประกาศดังกังวาน ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันไปมอง เพราะคุณหนูตระกูลจ้าวนั้นต่างก็รู้ดีว่านางไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้ใด แม้แต่ในงานเลี้ยงของฮ่องเต้ครั้งก่อนๆ แม่ทัพก็ไม่เคยพาบุตรีไปด้วย อาจเพราะความอัปลักษณ์ของนางกระมัง ทำให้บิดาอับอายจนไม่กล้าให้ออกมาพบปะผู้คนเรือนร่างระหงของเฟยเซียนในชุดสีม่วงเข้มขับเน้นทรวดทรงอรชรเดินเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่ฮ่องเต้กับไทเฮาประทับ“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” อวี้หลางเห็นน้องสาวก้าวเข้ามาย่อกายทำความเคารพก็มีรอยยิ้มในพระพักตร์กว้าง ก่อนจะรีบมาพยุงร่างอรชรให้ลุกนั่ง“ไม่ต้องมากพิธีไป แค่เจ้ามาพี่ก็ดีใจแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสสุรเสียงยินดี แตกต่างจากไทเฮาที่นั่งพระพักตร์ตึงด้วยความไม่พอใจ ที่เห็นคนตรงหน้าทำความเคารพพระนางคล้ายจะให้ผ่านๆ ไปทว่าแม้จะกริ้วอีกฝ่ายเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรสตรีนางนี้ได้ ไทเฮาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ รอเวลาเอาคืนในภายหลัง“ไหนเล่าบุตรีเจ้า ฮูหยินจ้าว” ไทเฮาแสร้งตรัสขึ้นเมื่อไม่เห็นบุตรสาวของอีกฝ่ายในสายตา ในใจมั่นใจว่านางคงไม่กล้าให้บุตรสาวมาปรากฏตัวในง

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   คิดจะเป็นคุณหนูต้องสตองเข้าไว้ (1)

    ยามเช้าตรู่ในวันงานเลี้ยงต้อนรับไทเฮาเสด็จกลับวังจ้าวเหมยฮวาถูกผู้เป็นมารดาลากมาขัดสีฉวีวรรณแต่เช้า ด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อเสียงของตระกูลจ้าวนั้นย่ำแย่มาตลอด เพราะข่าวลือที่บิดาปล่อยเกี่ยวกับตัวนาง ดังนั้นในฐานะที่นางเป็นลูกหลานของตระกูลนี้ จึงควรกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียไปกลับคืนมา ลบคำเล่าลือเสียหายเหล่านั้นเสียให้หมดสิ้น แน่นอนว่าผู้เป็นบิดาย่อมไม่เห็นด้วย และพยายามขัดขวางอย่างสุดชีวิตแล้วเพื่อไม่ให้สามีมาขัดขวางนางกับบุตรสาวได้ ผู้เป็นฮูหยินจึงจับกรอกยาสามทิวาใส่ปากอีกฝ่าย คาดว่ากว่าจะตื่นก็คงอีกสามวันโน่นแหละอา... แม่ทัพไร้พ่าย บิดาผู้น่าสงสาร แม้แต่ยามนอนเขาก็ยังต้องรบกับองค์ชายสามในความฝันตลอดเวลาตอนเช้าถูกลากไปแช่น้ำยาสมุนไพรสูตรเด็ดที่มารดาเป็นผู้ปรุงเองกับมือ ยามสายต้องมานอนให้จิงหยูนวดน้ำมันหอมให้ โดยน้ำมันหอมนี้มารดาก็เป็นผู้ปรุงเอง จากสมุนไพรทั้งหลายแหล่ที่คัดสรรมาอย่างดี หลังเสร็จกระบวนการเหล่านั้น ก็ถูกจับสวมชุดอลังการงานสร้าง โดยชุดที่มารดาเลือกให้นางเป็นชุดผ้านุ่มเบาสบายสีขาวสะอาดตา ปักลวดลายเหมยฮวาสีแดงสดถักถอขอบดิ้นด้วยด้ายสีทอง ทำให้ดูน่ารักงดงามและหรูหรายิ่งจ้าวเฟย

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   คุณหนูสกุลเยว่

    ณ จวนไร้พ่ายแห่งสกุลจ้าวจ้าวเฟยเซียนนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงนอน อิริยาบถล้วนเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน ในมือนางถือเทียบเชิญของฮองเฮาอยู่ใบหน้างดงามนั้นมีรอยยิ้มฉายอยู่ไม่ขาด ทว่าแววตากลับครุ่นคิด ไทเฮาทรงมีแผนอะไรอีกไม่อาจรู้ได้ แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางแน่นอน“ฮวาเอ๋อร์ เดี๋ยวเราต้องไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ไทเฮาเสด็จกลับวังกันนะลูก” นางหันไปบอกบุตรี จ้าวเหมยฮวาละสายตาจากตำราสมุนไพรในมือ พยักหน้ารับคำมารดาเสียงใส“เจ้าค่ะ” ‘ไทเฮาหรือ นางยังไม่เคยเจอไทเฮากับฮองเฮาเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นคนตลกเหมือนเสด็จลุงหรือไม่นะ’ “เจ้าคือจินหมิงงั้นหรือ อือ... โตขึ้นมากเลยทีเดียว” ไทเฮามองสำรวจเด็กหญิงตรงหน้าอยู่เนิ่นนานพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“จินหมิง ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” น้ำเสียงใสกล่าวอย่างแช่มช้อย ร่างเล็กนั้นย่อกายทำความเคารพได้งดงามตามแบบแผน จนดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะอายุเพียงเก้าขวบ“ลุกขึ้นๆ ไทเฮาอะไรกัน อีกไม่กี่หนาวเจ้าก็จะได้เป็นชายารัชทายาทแล้ว ต้องเรียกเสด็จย่าสิถึงจะถูก” ผู้สูงวัยเอื้อมมือไปพยุงอีกฝ่าย กล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูไม่น้อย นี่สิถึงจะคู่ควรกับหลานชายของพระองค์ สาย

  • เหมยฮวาฤดูหนาว   ไทเฮาเสด็จกลับวัง

    วังหลวงในวันนี้คึกคักยิ่ง เหตุเพราะเป็นวันที่ไทเฮากับฮองเฮาจะเสด็จกลับจากการไปถือศีลกินเจที่อารามหลวงเฉินซานทุกคนล้วนเตรียมตัวต้อนรับเสด็จไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เนื่องจากไทเฮานั้นเป็นคนเข้มงวดยิ่ง จึงไม่มีใครอยากให้เกิดสิ่งผิดพลาดขึ้นไม่เว้นแม้แต่อวี้หลางฮ่องเต้ ที่ยามนี้คืนสติแล้วจากผงสามทิวาของผู้เป็นน้องสาว พระองค์จึงมายืนรอรับพระมารดาอยู่ลานด้านหน้าครั้นถึงเวลา ผู้คนก็เห็นขบวนรถม้าแล่นเข้ามาจากประตูวังด้านหน้า รถม้าคันใหญ่ตกแต่งหรูหรางดงามสมฐานะเคลื่อนเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวล ก่อนที่คนในรถม้าจะแหวกม่าน ผู้ที่ออกมานั้นเป็นสตรีร่างบางระหง ดวงหน้างามสวยสะคราญตา รอยยิ้มบางแต่งแต้มบนใบหน้า ทำให้นางแลดูอบอุ่น ทว่าท่วงท่าสง่างามสูงศักดิ์เหนือสตรีใดนางคือเยว่ฮองเฮา ฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเฉิน มารดาขององค์ชายสามนั่นเอง ร่างระหงหันกายไปทางรถม้า ก่อนจะยื่นมือขาวดุจหยวกกล้วยให้คนในรถม้าจับ มือขาวที่มีรอยย่นบ่งบอกถึงอายุเจ้าของยื่นออกมาจากในรถม้า ก่อนเจ้าของร่างจะปรากฏกายร่างสง่าแม้เลยวัยสาวของไทเฮาก้าวลงมายืนข้างร่างระหงของเยว่ฮองเฮา ดวงตาคมกริบแบบคนผ่านโลกมามากกวาดมองไปรอบด้าน ก่อนที่เสียงแสดงความเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status