เขาออกคำสั่งทันที “ทหาร ลากตัวฮองเฮา...” ทันใดนั้น ด้านนอกตำหนักมีคนมารายงาน “ฝ่าบาท ไทเฮามีรับสั่ง เรียกฮองเฮาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เซียวอวี้สีหน้าเย็นชา มองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียน เฟิงจิ่วเหยียนสงบนิ่งมิแปรเปลี่ยน ยืนหยัดดุจต้นสนและต้นไป๋ เห็นได้ชัดเจนว่า ทั้งหมดนี้อยู่ในแผนการของนาง... นางวางแผนแม่นยำไม่เคยผิดพลาดจริง ๆ ด้วยแน่ใจว่าเขาจะต้องลงโทษ จึงไปแจ้งต่อไทเฮาไว้ก่อนแล้ว เซียวอวี้ดวงตาคมกริบหนาวเหน็บ กระจายกลิ่นไอสังหารอย่างน่าสะพรึงกลัว “ฮองเฮา เจ้าควรอธิษฐานภาวนา ให้เจ้าได้อยู่ในตำหนักฉือหนิงตลอดชีวิต” ไทเฮาสามารถปกป้องนางได้ระยะหนึ่ง แต่มิอาจปกป้องนางตลอดไป! เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งคำนับด้วยความเคารพ “หม่อมฉันขอทูลลา” นางหันหลังเดินจากไป สีหน้าที่เคารพและยอมจำนนหายไปโดยพลัน กลายเป็นความเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งเหมันต์ ตำหนักฉือหนิง จันทน์หอมลอยอบอวล จนทำให้คนแสบตา ไทเฮามองดูฮองเฮาที่อยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มด้วยเมตตา “เจ้าวางใจเถอะ แม้ข้าปกป้องเจ้าตลอดไปไม่ได้ ทว่า เวลาไม่กี่วันย่อมทำได้ เพียงแต่... ”
หลังจากเซียวอวี้พูดจบ จึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป หลิงเยี่ยนเอ๋อร์นอนคว่ำหน้าบนพื้น แขนยึดไปข้างหน้าอย่างหมดหนทาง สีหน้าดุร้ายบิดเบี้ยว “ไม่—— “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทท่านอย่าทิ้งหม่อมฉันไป! “ฝ่าบาท!!!” เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ฝ่าบาทจะไม่ต้องการเลือดหัวใจนางได้อย่างไร! พิษวารีสวรรค์ของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถขจัดได้มิใช่หรือ? เป็นเพราะอะไรกันแน่! หลิงเยี่ยนเอ๋อร์กำมือแน่น เบ้าตาแดงก่ำ หรือว่านางต้องถูกเนรเทศจริง ๆ “ไม่!!!”…… เซียวอวี้กลับมาที่ตำหนักจื้อเฉิน ใบหน้าหล่อเหลาดุจน้ำค้างแข็ง ไม่คลายลงอยู่นาน หลิวซื่อเหลียงปรนนิบัติด้วยความระมัดระวัง คอยสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ตลอดเวลา แม้ไม่แน่ชัดในรายละเอียดที่เกิดขึ้น แต่หลิงกุ้ยเหรินถูกเนรเทศ ฮ่องเต้ยังเขียนราชโองการสำนึกผิดด้วย เหตุการณ์หลายเหตุการณ์นี้ ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึง เซียวอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน จรดพู่กันเขียนบทสวดชำระล้างจิตใจ นี่คือบทสวดที่นักฆ่าหญิงสอนให้ท่อง บัดนี้เขาต้องการให้จิตใจสงบเหลือเกิน ชายแดนยังไม่สงบ วังหลังก็เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ เ
เฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ห้องข้าง ๆ ก่อน หลังจากทำให้เจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองหมดสติไป นางก็ค้นหาเอกสารทางการที่พวกเขาพกติดตัว รวมถึงหนังสือผ่านทางที่มีระบุจุดประสงค์ไว้หนึ่งฉบับ เป็นตามที่นางได้คาดไว้ เซียวอวี้ยังอาลัยอาวรณ์คนรักเก่า ไม่อาจโหดร้ายกับนางได้ แม้ในนามเรียกว่าเนรเทศ หากความจริงให้โอกาสหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้มีทางรอด โดยจะให้นางได้เปลี่ยนแปลงตัวตนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วเวยเฉียงเล่า? เวยเฉียงมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือไม่? เฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกหนังสือผ่านทางจนไม่เหลือชิ้นดี ท่ามกลางเศษซากที่กระจัดกระจาย สะท้อนภาพแววตาอาฆาตดุเดือดของนาง... หลังจากหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา ก็พบว่านางอยู่ในสุสานศพไร้ญาติ รอบตัวนางล้อมด้วยซากศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปหมด ท่ามกลางความมืดยามราตรี ยังมีดวงตาสีเขียวสองสามคู่ ที่ผลุบโผล่อย่างรวดเร็ว เมื่อใช้มือคลำทาง สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เหนียวเหนอะหนะ นางจึงกรีดร้องออกมา “กรี๊ด!” นางผุดลุกขึ้นอย่างไว คิดจะหนี ทันใดนั้น มีแสงกระบี่พุ่งผ่าน ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างขาดที่ข้อเท้านาง ทันใดนั้นนางจึ
หลิงเยี่ยนเอ๋อร์กลัวถูกส่งไปยังหอนางโลมใต้ดิน สั่นไปหมดทั้งตัว อู๋ไป๋ปล่อยมือออก นางก็ล้มลงกับพื้นทันที นางย้อนถามกับเฟิ่งจิ่วเหยียน “พวกเจ้า...พวกเจ้าตระกูลเฟิ่ง มักจะปกป้องคุ้มครองว่าที่ฮองเฮาอย่างดีแบบนั้น ก่อนเจ้าแต่งงาน ทุกการเดินทางออกนอกจวนจะเป็นความลับเสมอ “เจ้าไม่ลองไตร่ตรองดูเล่า แม้ว่าข้าจะจ้างพวกโจรภูเขาไปลักพาตัวคน แต่หากไม่มีคนแจ้งข่าว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าออกนอกจวน และใช้เส้นทางไหน!” เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าขรึมเย็น เบนสายตาไปมองที่ไฉ่เยว่ ไฉ่เยว่พยักหน้า และตอบอย่างสงบ “ฮองเฮา นางพูดไม่ผิดเพคะ “นายท่านระมัดระวังเป็นพิเศษ คุณหนู...” ไฉ่เยว่เห็นว่ายังมีหลิงเยี่ยนเอ๋อร์อยู่ด้วย จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อก่อนที่คุณหนูออกนอกจวน เหล่าผู้คุ้มกันที่ติดตามล้วนเป็นคนสนิทของนายท่าน รถม้าไม่เด่นสะดุดตา เส้นทางกลับจวนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่คนรับใช้ในจวนก็ไม่รู้ว่าคุณหนูออกนอกจวนแล้ว “...ทว่า ผู้คุ้มกันของคุณหนูล้วนเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ ไม่มีใครแจ้งแน่ และยังเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว ผู้ที่รอดเหลือแค่บ่าวคนเดียว สำหร
หลังจัดการกับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เสร็จ เฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ และสวมหน้ากาก พาไฉ่เยว่กลับไปหาเวยเฉียง ภายในห้อง เวยเฉียงมีซ่งหลีคอยดูแลอยู่ นางดูราวจะย้อนไปตอนวัยเด็ก ซุกตัวด้วยความขลาดกลัวที่มุมเตียง เห็นใครก็ตัวสั่นด้วยความกลัว เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวมาข้างหน้า นางก็หลบหนี และกรีดร้อง “อย่าเข้ามา! กรี้ด! อย่าแตะต้องข้า!!” คนเหล่านั้นทำร้ายนางไม่ต่างจากหนอนชอนไชกระดูก ที่กำจัดไม่สิ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองไม่ไหว จึงลดม่านลง ปล่อยให้นางอยู่คนเดียวในนั้น ซ่งหลีเป็นหมอที่เก่งกาจ ทุกวันนี้เวยเฉียงกินยาที่เขาเตรียมให้ อาการป่วยจึงดีขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะสามารถนอนหลับในตอนกลางคืนได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ยังไม่เหมือนคนปกติ ตอนนี้นางได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจนตื่นตกใจง่าย แม้ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวต้องใบหญ้า ก็สามารถกระตุ้นนางได้ ทำให้นางตื่นตระหนก เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้ไฉ่เยว่เฝ้าดูแลอยู่ในห้อง นางกับซ่งหลีออกไปคุยกันข้างนอก ซ่งหลีพูดอย่างหนักใจ “แผลทางกายยังรักษาได้ แต่แผลทางใจยากจะหาย” เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวคิ้วขมวด “
อู๋ไป๋มีเรื่องจะรายงาน เฟิ่งจิ่วหยียนจึงให้ไฉ่เยว่ออกไปก่อน ให้นางกลับไปคอยดูแลเวยเฉียงที่ห้อง แสงจันทร์เย็นยะเยือก ส่องกระทบร่างของเฟิ่งจิ่วเหยียน ดูราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกที่คลุมเครือ นางดูไร้ความรู้สึก ไม่พูดไม่ยิ้ม “สิ่งใดทำให้เจ้ารีบร้อนถึงเพียงนี้” คำพูดของอู๋ไป๋ติดอยู่ที่ริมฝีปากแล้ว “สตรีนางนั้น ข้าน้อยได้ทำตามคำสั่งท่าน โดยกรอกยาที่ทำให้นางเป็นใบ้ชั่วคราว และส่งนางไปที่หอนางโลมใต้ดิน “แม่เล้าของที่นั่นปฏิบัติตามกฎ โดยตรวจร่างกายของนางก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับไว้หรือไม่ “ส่วนข้าน้อยรออยู่ข้างนอก ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน แม่เล้าก็วิ่งออกมาด้วยความโกรธเคือง และก่นด่าข้าน้อยเป็นชุดใหญ่ “ท่านลองเดาสิว่า เกิดอะไรขึ้น?” ให้นางเดา? เฟิ่งจิ่วเหยียนสาดประกายตาคมกริบเหมือนมีดใส่ อู๋ไป๋ไม่กล้าเก็บงำเรื่องอีก และเขาก็ไม่สามารถอดกลั้นที่จะพูดออกมา “แม่เล้าบอกว่า นางไม่ใช่สตรีที่มีพื้นฐานพร้อมสมบูรณ์เลย แต่เป็นสตรีที่ช่องคลอดตีบตัน!” ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดระรอกคลื่น สตรีที่ช่องคลอดตีบตัน? กล่าวอ
ตลอดสองวันนี้ฮองเฮาอยู่ในตำหนักฉือหนิง เห็นได้ชัดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ข้างหลังไทเฮา หลิวซื่อเหลียงลองถามหยั่งเชิง “ฝ่าบาท บัดนี้ฮองเฮาอยู่กับไทเฮา หากว่าไทเฮา...” เซียวอวี้เงยหน้าขึ้นทันที นัยน์ตาเย็นชาน่าเกรงขาม “ไทเฮามิได้ไร้เหตุผลถึงเพียงนั้น” สองวันแล้ว ให้เวลามากพอแล้ว ตำหนักฉือหนิง เฟิ่งจิ่วเหยียนแช่ตัวในน้ำร้อน ร่างกายผ่อนคลาย ทว่าหัวใจถูกเหนี่ยวรั้ง มิอาจผ่อนคลาย ตึกตึกตึก! “ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านเข้าเฝ้าเพคะ” ครึ่งชั่วยามต่อมา ในห้องทรงพระอักษร เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมอาภรณ์เรียบง่าย บนศีรษะมีเครื่องประดับน้อยชิ้น นางทำเช่นนี้ ราวกับมาขอรับโทษ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง นางคุกเข่าด้วยความเคารพ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท” เซียวอวี้สายตาเยือกเย็น “เจ้าก็รู้ตัวว่ามีความผิด แล้วได้คิดหรือยัง ตามกฎของวังหลวง สมควรถูกลงโทษแบบใด” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดสายตาลง “ล้วนขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฝ่าบาทเพคะ” หลิวซื่อเหลียงยืนเคียงข้างฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง เขาเห็นเองกับตา ว่าฝ่าบาททรงเขียนราชโองก
ชุนเหอรับใช้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์นานหลายปี เช่นเดียวกับจ้าวเฉียน ที่ได้กระทำสิ่งเลวร้ายมากมายเพื่อหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เฟิ่งจิ่วเหยียนจะปล่อยนางไป เมื่อทำผิด ต้องได้รับโทษ ดังนั้น ชุนเหอจึงถูกจำคุกในกรมราชทัณฑ์ “ฮองเฮาโกหกข้า! นางโกหกข้า!” ไม่ว่านางจะตะโกนมากเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ ตำหนักหย่งเหอ เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ตัดสินใจไปยังป่าที่เวยเฉียงถูกลักพาตัว เพื่อตรวจสอบให้ละเอียดยิ่งขึ้น หลังจากเข้าสู่ยามราตรี นางจึงลอบออกจากวัง นางกำชับให้อู๋ไป๋คอยดูแลเวยเฉียง แล้วพาไฉ่เยว่ไปที่ป่าผืนนั้นด้วยกัน วันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้มีเพียงไฉ่เยว่ที่รู้ชัดเจน ไฉ่เยว่ความจำดี อีกทั้งประสบการณ์ในวันนั้นได้ฝังลึกอยู่ในจิตใจ ชั่วชีวิตนี้มิอาจลืมเลือน นางชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วรื้อฟืนความทรงจำ “ฮองเฮา ตรงนี้เพคะ! ในเวลานั้นรถม้าของพวกเราถูกโจรภูเขาขวางไว้ ผู้คุ้มกันต่อสู้กับพวกโจรภูเขา บ่าวและเหยาเหนียงปกป้องคุณหนูกระโดดลงจากรถม้า วิ่งเข้าป่าทางนั้นเพคะ” แสงจันทร์หนาวเหน็บ ส่องกระทบใบหน้าของไฉ่เยว่ ช่างดูซีดเซียว
เมื่อรุ่ยอ๋องอาบน้ำเสร็จ กลับมายังโถงหมิงจิ้งอีกครั้ง บ่าวรับใช้กลับบอกว่า พระชายาออกจากจวนไปแล้วแววตาของเขาลึกล้ำ เรียกองครักษ์ที่ซ่อนอยู่ออกมาคนนั้นตอบ “ท่านอ๋อง หลังจากท่านออกไปแล้ว ก็มีบุรุษนามว่าเก๋อสือชีมาขอเข้าพบพระชายาขอรับ”องครักษ์มิได้ยินทั้งสองสนทนากันในห้อง ทว่าแน่ใจ หลังจากพระชายาออกมา สีหน้าแลดูไม่สู้ดีนักรุ่ยอ๋องอยากให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงสั่งคนไปจับตัวเก๋อสือชีมาในทันทีที่พักอาศัยของเก๋อสือชีมีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง รุ่ยอ๋องจักตามหาเขานั้นไม่ยากเมื่อเก๋อสือชีเห็นเขา ก็เอ่ยขึ้นทันที “ศิษย์พี่เขย!”รุ่ยอ๋องแทบจะยกยิ้ม ทว่าก็ฝืนระงับไว้“เจ้าพูดสิ่งใดกับพระชายา”เก๋อสือชียิ้มด้วยท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “ศิษย์พี่เขย ศิษย์พี่หญิงมิได้บอกท่านหรือ? ข้านึกว่าพวกท่านสองสามีภรรยาไร้ความลับต่อกันเสียอีก”สีหน้ารุ่ยอ๋องเปลี่ยนไป มีแววเย็นยะเยือกของไอสังหารภายนอกเขาดูสงบอ่อนโยน หากแต่ภายในยังคงเปี่ยมด้วยอำนาจเก๋อสือชีหาได้เหมือนบุคคลอื่น สามารถมองเห็นถึงอีกด้านที่ซ่อนอยู่ของรุ่ยอ๋องซึ่งด้านนี้อันตราย บ้าคลั่งความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ฉี เห็นได้ชัดจา
ตำหนักหย่งเหอ พวกสาวใช้ยามหยุดพักจากภารกิจเร่งรีบ แอบนั่งสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน“เมื่อคืน ฝ่าบาทถูกองค์ชายรองอึใส่มืออีกแล้วนะ!” “โอ๊ย! ก็เพราะเป็นพระโอรส หากเป็นผู้อื่น ป่านนี้ศีรษะคงหล่นตกพื้นไปแล้ว” “ฝ่าบาทมิเพียงไม่กริ้ว ยังมีรับสั่งให้หมอหลวงถวายการตรวจให้กับองค์ชายอีกด้วย” “นี่นะ ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จกลับจากท้องพระโรง ก็รีบเสด็จมาที่นี่ทันที ช่างรักใคร่เอ็นดูพระองค์ชายทั้งสองเหลือเกิน”ภายในตำหนัก เซียวอวี้อุ้มโอรสองค์โต ส่วนโอรสองค์รอง เขาค่อยดูอยู่ห่าง ๆ ทว่าภายหลัง เขาได้ยินว่า โอรสองค์รองเคยต้องลมจับไข้ ทุกข์ทรมานไม่น้อย เขาจึงรู้สึกห่วงใยขึ้นมา รีบช้อนตัวเจ้าคนรองมาจากอ้อมแขนแม่นม “ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ ต่อไปจักช่วยพี่ชายของเจ้าดูแลราชการแผ่นดินได้อย่างไร?” จากนั้นก็เปลี่ยนจากสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยเสียงเปี่ยมด้วยความเอ็นดู “ดูใบหน้าเล็ก ๆ นี้สิ ไร้ซึ่งเลือดฝาด ทานอาหารเข้าไปไม่มาก แต่กลับถ่ายออกเสียมาก เช่นนี้จักเติบโตได้เยี่ยงไร?”โอรสน้อยกระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อกำลังบ่นพึมพำอันใด รู้เพียงริมฝีปากนั้นขยับไปมา จากนั้นก็เอาหมัดเล็ก ๆ ยัดใส่ปากเสี
ครั้นเมื่อเซียวอวี้หายสาบสูญ พวกพี่น้องของเขาไม่อาจนิ่งเฉย ต่างหมายใจจะถือโอกาสเสี่ยงชิงอำนาจ หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเสด็จกลับพระราชวังพร้อมพระราชโอรส แผนการอันสวยหรูของพวกเขาล่มสลายสิ้นภายหลัง เซียวถงขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาจักย่อมทนให้ผู้เยาว์ก้าวล้ำหน้าตนไปได้อย่างไร?ฉะนั้น พวกเขาปรึกษาหารือกันลับหลังมิใช่น้อย ใคร่จะกำจัดเซียวถง แล้วสวมแทนที่ทว่าฟ้าลิขิตไม่เป็นใจยังมิทันรอให้พวกเขาได้ลงมือ เซียวอวี้ก็กลับมาแล้วท่านอ๋องหลายคนก็พาลหมดอาลัย คิดว่าฟ้าดินก็มิใคร่เมตตาพวกเขาวันนั้น พวกเขาก็ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบ ๆตอนค่ำเซียวอวี้ประทับแรม ณ ตำหนักหย่งเหอไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องได้กอดนอนกับภรรยาและลูกให้จงได้เมื่อมองเห็นโอรสองค์น้อย ภาพตอนกลางวันก็พลันแล่นวาบกลับมาดังนั้น เขาเลือกที่จะอุ้มโอรสองค์รองวางลงในเปล“ว๊า...” เสียงร้องไห้ระงมเมื่อลูกน้อยถูกวางลงต้องรู้ว่า เดิมเขากำลังเล่นอยู่กับฮองเฮาอย่างสนุกสนานเฟิ่งจิ่วเหยียนแสดงสีหน้าจนใจ“อุ้มเขากลับมาเถิดเพคะ”เซียวอวี้ก็มิรู้ว่าโอรสคนเล็กเป็นอะไรกันแน่ อุ้มก็ร้อง ไม่อุ้มก็ร้องเขาได้แต่ปลอบใจตนเอง...ลูกในไส้
เซียวอวี้เพิ่งได้มีวันที่ “มีความสุข” ไม่กี่วัน เพราะชื่อ “เซียวเซี่ย” ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนมิสนใจเขาอีกแล้วนางกลอกตามองบน อุ้มองค์ชายใหญ่แล้วเดินล่วงหน้าไปก่อน “หนิงเฟย ตามข้าไปตำหนักหย่งเหอ” “เพคะ ฮองเฮา!”หนิงเฟยชำเลืองมองฝ่าบาท รู้สึกราวกับเมฆดำลอยต่ำปกคลุมทางด้านนั้น นางอดหัวเราะมิได้ เซียวเซี่ย? ตั้งชื่ออันใดกัน! วันหน้ามีคนถามองค์ชายรอง...นามของท่านเป็นมาอย่างไร? องค์ชายรองคงมิอาจบอกคนอื่น...อ้อ ครั้งแรกที่พบเสด็จพ่อแล้วข้าปัสสาวะใส่ท่าน เสด็จพ่อตรัสว่าข้าปลดปล่อยไกลพันลี้ จึงตั้งชื่อให้ข้าว่าเซียวเซี่ยหนิงเฟยยิ่งคิดยิ่งขำ อดกลั้นจนหน้าแดงไปหมดองค์ชายรองปัสสาวะเปื้อนอาภรณ์ แม่นมรับหน้าที่พาเขาไปล้างก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มองค์ชายใหญ่ ขอบใจหนิงเฟยอย่างจริงจังหนิงเฟยจักน้อมรับไว้ได้อย่างไร “หามิได้ ฮองเฮา! นี่ล้วนเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน...อ้อ คือสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ หม่อมฉันมิกล้าคิดเกินเลยแม้แต่น้อย”องค์ชายใหญ่พรากจากพระมารดาหลายเดือน กลับหาได้ตื่นกลัวไม่ เขาเกาะบนอาภรณ์ของเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างอิงอาศัย ปากเอื้อนเอ่ยเสียงเล็กแหลมไร้ถ้อยคำ จากนั้นก็นำอา
พระราชวัง ในตำหนักเซี่ยวเสียน หนิงเฟยกำลังเลี้ยงดูโอรสทั้งสองพระองค์ ในมือถือกลองป๋องแป๋งแววตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ ที่มิใช่ผู้ให้กำเนิด หากแต่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาที่แท้จริงสาวใช้วิ่งเข้ามา อย่างมิได้ระวัง “พระนางเพคะ! พระนาง! “ฝ่าบาทกับฮองเฮาเสด็จกลับวังแล้วเพคะ!”เสียง “ตัก!” ดังขึ้น กลองป๋องแป๋งในมือหนิงเฟยตกลงกระทบพื้น พร้อมกันนั้น รอยยิ้มก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นนางหันไปมองลูกทั้งสองคน พวกเขายังยิ้มให้กับนาง หาได้เข้าใจถึงคำว่าพรากจากไม่ ในใจหนิงเฟยนั้น มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เพียงสามเดือนสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน นางรักใคร่พวกเขาจากใจจริง บางครั้งยังมีความคิดอย่างเห็นแก่ตัว อยากถือครองพวกเขาไว้เป็นของตนทว่านางยังคงมีสติอยู่ฝ่าบาทกับฮองเฮากลับมาได้อย่างปลอดภัย แคว้นหนานฉีถึงจะร่มเย็นเป็นสุข ช่วงเวลาอันสั้นที่นางได้ดูแลโอรสทั้งสอง ก็พอใจแล้วหนิงเฟยรีบปรับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ฝืนยิ้มพลางมีรับสั่ง “เปลี่ยนอาภรณ์ ข้าจักพาพระราชโอรสทั้งสองไปเฝ้ารับเสด็จฝ่าบาทกับฮองเฮา”“เพคะ!”ตำหนักฉือหนิงไทเฮาทราบข่าวการกลับมาของฝ่าบาทกับฮองเฮาท่านก็ปลื้มปีติ ทว่
จักรพรรดิองค์ใหม่เป่ยเยี่ยนถูกลวงให้ตกหลุมพราง จึงรีบเรียกเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าประชุมเร่งด่วน หาทางต้านศึกอย่างไรดีบรรยากาศในท้องพระโรงตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงบ่นครวญเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดสามารถเสนอแผนการอันเป็นประโยชน์ได้ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิองค์ใหม่โกรธเป็นล้นพ้น“รับราชบำเหน็จจากแผ่นดิน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเรา! พวกเจ้าเหล่านี้ เราจะเลี้ยงพวกเจ้าเพื่อประโยชน์อันใด! ออกไปให้พ้นหน้า!”หลังออกมาจากวัง เหล่าขุนนางต่างคนต่างบ่นพึมพำ“ฝ่าบาทให้เราคิดหาหนทาง เขาไม่ลองคิดดู สถานการณ์ยามนี้ ยังจะเหลือหนทางออกใดอีก?”“ใช่แล้ว! แคว้นหนานฉีโอบล้อมทางตะวันออกกับทางใต้ของเรา แคว้นซีหนี่ว์ก็ข่มขู่เราทางด้านตะวันตก ภูมิประเทศทางด้านเหนือก็ไม่เอื้อให้ฝ่าวงล้อมได้ สถานการณ์ยามนี้ เหมือนสัตว์ติดกับดัก!”“ไม่ดูเลยว่าใครเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาททรงหลงเชื่อคำคนชั่ว ฆ่าขุนนางจงรักภักดี ฆ่าพี่น้อง เสียดายองค์ชายเจ็ดทรงมีปรีชาญาณ กลับถูกฝ่าบาทปองร้ายจนตาย! เฮ้อ!”นึกถึงองค์ชายเจ็ด เหล่าขุนนางล้วนพากันเสียดายทว่าพวกเขาก็เพียงกล้าคิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา
องค์ชายสี่ขึ้นครองราช แผ่นดินเป่ยเยี่ยนก็ประหนึ่งชีพจรจะขาดสะบั้น มิมีวันฟื้นคืนกลับมารุ่งเรืองอีกดั่งเดิม หากแต่สำหรับเซียวอวี้นั้น เพียงเท่านี้หาเพียงพอไม่เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งสารไปยังดินแดนต่าง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เขียนจดหมาย ส่งไปยังแคว้นซีหนี่ว์“หากจะล้างผลาญเป่ยเยี่ยนให้สิ้นซาก ย่อมมิอาจขาดการสนับสนุนจากแคว้นซีหนี่ว์ได้”เซียวอวี้พยักศีรษะ“เจ้าพูดถูก”……ภายในเขตแดนเป่ยเยี่ยน องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจสิ่งใดไม่ มัวแต่คิดหมายกำจัดเหล่าพี่น้องที่ขวางหูขวางตา โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดทว่าเขาก็มิใช่คนโง่เขลา ยังพอฟังคำของที่ปรึกษา มิได้กระทำอุกอาจ หากกลับเชื้อเชิญพี่น้องทั้งปวงให้กลับมาร่วมกันไว้ทุกข์บรรดาขุนนางผู้ภักดีต่อองค์ชายเจ็ดพากันกังวล จึงรีบร้อนเขียนจดหมายแจ้งองค์ชายเจ็ด อย่าได้กลับมาเด็ดขาด ทว่าน่าเสียดาย จดหมายของพวกเขาถูกดักจับเสีย ด้วยสายลับของฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก แล้วปลอมแปลงเนื้อหา วางกับดัก รอคอยองค์ชายเจ็ดมาตกหลุมพรางดังที่คาดไว้ องค์ชายเจ็ดกลับมาร่วมงานพระศพยังเมืองหลวง ได้เลือกเส้นทางลับตามที่กล่าวว่าไว้ในจดหมายลับ ได้ยินว่าทางน
เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับขึ้นไปบนรถม้า เห็นคอเสื้อของเซียวอวี้เปิดกว้าง ไม่กระชับ ดูเหมือนสวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อย คล้ายกับคณิกาชายในสภาพตกอับโดยเฉพาะสายตาของเขาที่มองมา ท่าทีราวกับขอความเมตตาจากนาง ทำให้คนรู้สึกขนลุกชันนางนั่งลงทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือเพคะ?”“รุ่ยอ๋องไม่ยอมทายาให้เรา” เซียวอวี้เอ่ยอย่างจนใจเฟิ่งจิ่วเหยียนยิ้มอย่างเรียบเฉย“เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้ยาแล้ว“เพราะอย่างไรบาดแผลก็หายสนิทแล้ว”“จะกลายเป็นแผลเป็นได้” เซียวอวี้ย้ายมาใกล้ ๆ นางในดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแฝงรอยยิ้มที่มีความหมายมากขึ้น “อ๋อ? จริงหรือ? เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางแล้ว ที่จริงแผลเป็นก็ไม่เป็นไร มีบุรุษคนใดบ้างที่บนตัวไม่มีรอยแผล”นางกลับไม่รู้ว่า เขาใส่ใจผิวพรรณเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดเซียวอวี้เป็นฝ่ายแสดงท่าทีผูกมิตร “ชื่อของลูก เราจะลองคิดดูอีกที หากใช้ไม่ได้จริง ๆ ก็ให้คนที่มีความสามารถมาจัดการ ว่าอย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลุดหัวเราะออกมานางกลั้นไม่ไหวจริง ๆ“ได้เพคะ”ที่จริงนางก็มิได้คิดมากกับเรื่องนี้ เป็นเขาที่คิดซับซ้อนเกินไป ยืนกรานจะทายาด้วยตัวเอง ทั้งยอมให้รุ่ยอ๋องช่วยเหลือ แ
เมื่อทราบว่าฮ่องเต้ทรงได้รับการช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันกับที่รุ่ยอ๋องรู้สึกยินดี ก็ยังรู้สึกยกย่องฮองเฮามากขึ้นด้วยเขารีบตรงไปที่ข้างรถม้า และแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้“ฝ่าบาท...”ภายในห้องโดยสาร ทันทีที่เซียวอวี้ได้ยินเสียงรุ่ยอ๋อง ก็ขมวดคิ้ว “เข้ามาก่อนเถอะ”รุ่ยอ๋องไม่มีความสงสัยแล้ว จึงรีบเข้ามาภายในห้องโดยสารจากนั้นกลับมองเห็น ฮ่องเต้มิได้สวมใส่อาภรณ์ท่อนบน กำลังทายาอย่างยากลำบากสาเหตุที่ยากลำบาก เป็นเพราะเขาทาไม่ถึงบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง“ช่วยเราทายาหน่อย” เซียวอวี้ส่งขวดยาให้กับรุ่ยอ๋องทันที จากนั้นก็รอรับการช่วยเหลือรุ่ยอ๋องก้มมองยาที่อยู่ในมือ และเหลือบมองฮ่องเต้หากเขาไม่มา ฮ่องเต้จะทรงทำอย่างไร?รุ่ยอ๋องถามเหมือนไม่ตั้งใจ: “ฝ่าบาท เหตุใดจึงมิให้ฮองเฮา...”เซียวอวี้รู้ว่าเขาคิดจะถามสิ่งใด จึงกระแอมเบา ๆ“ฮองเฮายังมีเรื่องอื่นต้องทำ อีกอย่าง แค่ทายา เราทำเองได้ ไม่ต้องรบกวนนาง”รุ่ยอ๋อง: ดังนั้นท่านจึงต้องมารบกวนกระหม่อมหรือ?เขาหารู้ไม่ว่า ที่จริงแล้ว เพราะเรื่องตั้งชื่อให้ลูก เซียวอวี้รู้ว่าตนเองผิดพลาด จึงไม่สะดวกใจที่จะรบกวนเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกอย่าง บาดแผลบน