Share

บทที่ 8

Author: อี้ซัวเยียนอวี่
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดิน

นัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยก

ผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบ

รูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทรา

เหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้

ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้

ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอด

สำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหาร

อาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดช

เหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วย

เมื่อเดินจนถึงเบื้องหน้าไทเฮา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ย่อกายคำนับตามธรรมเนียม

“หม่อมฉันขอคารวะเสด็จแม่เพคะ”

ไทเฮาประทับอยู่บนพระที่นั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตา

“ฮองเฮาไม่ต้องมากพิธีไป นั่งเถิด”

จากนั้นไทเฮาก็ตรัสถึงฮ่องเต้ และออกปากปลอบนาง

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะละเลยบางเรื่องไปบ้าง”

“ฮองเฮา เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “เพคะ”

เมื่อสนทนากับนางได้ครู่หนึ่ง ไทเฮาทรงพบว่าฮองเฮาองค์นี้ทำสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา ราวกับว่าใบหน้านี้ถูกแช่แข็งเอาไว้ ยิ้มแย้มไม่เป็นแต่กำเนิดอย่างไรอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้ยามพบนางที่งานฉลองพระชนมพรรษา ออกจะรู้จักทำตัวให้คนชื่นชอบไม่ใช่หรือ?

เฟิ่งจิ่วเหยียนนางเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มจริง ๆ

ยามเยาว์วัยอาจารย์หญิงมักจะหยอกเย้าให้นางหัวเราะ แต่นางกลับรู้สึกว่าน่าเบื่อ

ต่อมาเมื่ออยู่ในค่ายทหารนางมีฐานะเป็นแม่ทัพน้อยจึงต้องสร้างความน่าเกรงขาม อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนมาเข้าใกล้จนค้นพบว่านางเป็นสตรี ด้วยเหตุนี้นางจึงติดนิสัยทำหน้านิ่ง หาไม่แล้วคงไม่อาจออกคำสั่งควบคุมกองทัพได้

“ฮองเฮา มีเรื่องใดรบกวนใจเจ้าหรือ?” ไทเฮาทรงตรัสถามโดยตรง

เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองไทเฮา ตอบอย่างราบเรียบว่า

“ไม่มีเพคะ”

หลังจากนั้นก็ไม่พูดคำใดต่ออีกเลย

ไทเฮาริมฝีปากกระตุก

ไร้อารมณ์เช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงไม่โปรด แม้ไทเฮาอย่างนางเองก็หมดแรงจะสนใจเช่นกัน

ถึงอย่างไรเสียเหล่าสนมนางในที่พบเจออยู่ทุกวันคืน แต่ละคนล้วนยิ้มหวานราวน้ำผึ้ง ช่างจำนรรจายิ่ง

เหมือนฮองเฮาองค์นี้เสียที่ไหน ถามคำตอบคำ หาไม่ก็เงียบเป็นเป่าสาก

“ดอกไม้ในอุทยานหลวงออกดอกไม่น้อยเลย ฮองเฮา เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด”

“เพคะ”

ไทเฮาทรงเข้าใจว่าหากออกมาด้านนอกแล้ว ฮองเฮาคงจะพูดมากขึ้นซักหน่อย

นึกไม่ถึงเลยว่ายังคงเงียบเป็นเป่าสากเช่นเดิม

ช่างไร้หนทางเยียวยาราวกับโคลนที่แปะบนผนังไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเดินไปเดินมาเดินจนแทบจะทะลุออกจากอุทยานหลวงไปยังสนามม้าหลวงที่อยู่ติดกันอยู่แล้ว ไทเฮาก็ทรงถอดใจ อ้างว่าจะกลับตำหนักฉือหนิง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีม้าตัวหนึ่งพลันวิ่งห้อตะบึงออกมาจากที่ใดไม่ทราบ พุ่งทะยานเข้ามาทางพวกนางอย่างคลุ้มคลั่ง

เหล่าองครักษ์รีบกรูกันเข้ามาด้านหน้ารวมตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อปกป้องไทเฮาเอาไว้ แต่ก็ถูกชนจนกระจัดกระจายในทันที

ไทเฮาใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูงถูกดูแลและปกป้องอย่างดีมาโดยตลอด จะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร

ที่น่ากลัวก็คือ ดูเหมือนม้าตัวนี้จะเพ่งเล็งมาที่ไทเฮา จ้องแต่จะวิ่งมาที่นาง ด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรงไทเฮาตัวแข็งไม่อาจขยับตัวแม้แต่น้อย ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากซีดขาว

“คุ้มกัน! รีบคุ้มกันเร็ว!” กุ้ยหมัวมัวตะโกนอย่างรีบร้อน

ดวงตามองไปยังไทเฮาที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ใต้กีบเท้าม้า ทันใดนั้นเองก็มีเงาคนผู้หนึ่งผ่านวาบไปอย่างเร็วรี่

ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ไทเฮาเพียงสัมผัสได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งโอบเอวของนาง พานางถอยออกไปอยู่อีกฝั่ง

หลังจากยืนได้อย่างมั่นคง นางก็เหลือบตาขึ้นมอง กลับพบว่าคนที่ช่วยนางเอาไว้คือฮองเฮา!

สตรีที่ดูเรียบร้อยบอบบางอย่างฮองเฮา ที่แท้กลับมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนั้น!

นอกจากนี้ยามที่อุ้มนางยังทำให้นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งกว่าชายชาตรีเสียอีก

ไทเฮารู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ขณะที่กำลังคิดจะพาฮองเฮาไปหลบนั้น กลับเห็นนางลอยตัวไปอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว

ทักษะการขี่ม้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นในค่ายเป่ยต้าไม่มีใครเทียบนางได้เลย

แม้แต่ม้าที่ดุร้ายที่สุดก็ยังเชื่อฟังนางอย่างว่าง่าย

สองมือของนางดึงเชือกบังเหียน เท้าสองข้างหนีบท้องม้าเอาไว้ ในสภาวะที่ม้าสะบัดโคลงไปมาอย่างรุนแรงก็ยังสามารถรักษาสมดุลเอาไว้ได้

ฝูงชนที่เห็นนางถูกม้าคลั่งพาวิ่งไปไกลก็ขวัญหนีดีฝ่อ

“สวรรค์! ฮองเฮาตกอยู่ในอันตราย!”

ไทเฮาทรงกังวลเป็นอย่างมาก “รีบไปช่วยฮองเฮาเร็วเข้า!”

แต่เมื่อผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็เห็นฮองเฮาทรงควบม้ากลับมาเองแล้ว

นอกจากนี้ม้าตัวนั้นยังดูเชื่องเป็นอย่างมาก ไม่ได้วิ่งชนไปทั่วอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไป...

หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนดึงบังเหียนให้ม้าหยุดก็พลิกร่างลงจากม้า

เหลียนซวงรีบวิ่งขึ้นหน้าไปหา

“ฮองเฮา! ทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้าแล้วมองไปยังไทเฮา “เสด็จแม่อย่าได้กลัวไป มันสงบลงแล้วเพคะ”

ยามนี้เองไทเฮาทรงทอดพระเนตรไปยังฮองเฮาอีกครั้ง สายตาล้วนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและชื่นชอบ

“ฮองเฮา ทักษะการขี่ม้าของเจ้าเรียนจากอาจารย์ท่านใดหรือ? ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ยินดียินร้ายไม่

“สมัยหม่อมฉันยังเยาว์วัย เคยแอบเรียนรู้ทักษะการขี่ม้าแบบผิวเผินกับท่านน้าโดยไม่ให้ท่านพ่อทราบเพคะ สามารถช่วยเสด็จแม่เอาไว้ได้ ถือว่าได้ใช้ทักษะนี้อย่างถูกต้องแล้วเพคะ”

เวลานี้เองผู้ดูแลสนามม้าหลวงก็ตามมาถึง

เหลือบเห็นฮองเฮาควบคุมม้าที่ดุร้ายเอาไว้ได้ก็ตกตะลึงและทึ่งในตัวฮองเฮาเป็นอย่างมาก

“ฮองเฮาอาจจะไม่ทรงทราบ นี่คือม้าดุร้ายจากดินแดนตะวันตก ในบรรดาม้าที่ส่งมานั้นจู่ ๆ ม้าตัวนี้ก็คลั่งขึ้นมา พวกข้าน้อยร่วมมือกันก็ยังควบคุมมันเอาไว้ไม่อยู่...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนนำบังเหียนม้ามอบให้ผู้ดูแล แล้วพูดกำชับอย่างจริงจังว่า

“แม่ม้าตัวนี้ตั้งท้องแล้ว เดิมก็คุ้มคลั่งได้ง่าย ทั้งยังเดินทางจากดินแดนตะวันตกมายังแคว้นหนานฉี ไม่คุ้นกับดินน้ำที่นี่ ย่อมส่งผลต่ออารมณ์ กลับไปแล้วก็อย่าได้ทุบตีด่าว่า เอาหญ้าอู่กุ้ยให้มันเยอะหน่อย ให้มันอยู่ในคอกเดี่ยว ไม่เกินสามวันห้าวันย่อมดีขึ้น ”

ผู้ดูแลเห็นนางเข้าใจเรื่องม้ามากเพียงนี้ก็ยิ่งประหลาดใจ

เฟิ่งจิ่วเหยียนลูบม้าตัวนั้นไปมา พูดพึมพำเสียงเบา

“เป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง น่าเสียดายนัก”

เดิมควรได้ควบทะยานโลดแล่นในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล กลับต้องถูกขังอยู่ในสนามม้าหลวงที่คับแคบของพระราชวังแห่งแคว้นหนานฉี

ขณะเดียวกันนี้เอง ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากกันนัก

บนหอชมวิว

บุรุษในชุดขาวยืนอยู่ที่นั่น มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ด้านล่าง เขาแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงมีทักษะเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านหลังของบุรุษส่งเสียงน่าเกรงขามที่ติดจะดูเกียจคร้านออกมาสายหนึ่ง

“ทักษะเล็กน้อยเช่นนี้ก็เข้าตาเจ้าได้หรือ”

“เจ้าม้าตัวนั้นทำให้ไทเฮาตกพระทัย ฆ่ามันซะ อีกอย่างนึง ให้ฮองเฮาเป็นผู้ดูแลการประหารมันด้วยตัวเอง”
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (6)
goodnovel comment avatar
Joom
The king is furious.
goodnovel comment avatar
Sawarost Sontijai
ขอพิมพ์หยาบหน่อยนะคะ ฮ่องเต้ผู้นี้เปรตยิ่งนัก
goodnovel comment avatar
Nout Klkl
แย่มาก ทำไมต้องฆ่ามัน
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1707

    หลายวันต่อมาณ ลานประหารตงฟางซื่อกับฝานจิ้นในฐานะนักโทษหลวงตามหมายนำจับ ถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา และถูกกดให้นั่งลงบนแท่นประหารฝูงชนที่มามุงดูต่างรู้สึกแค้นเคืองในความไม่เป็นธรรม“จอมยุทธ์ตงฟางเป็นคนดี! ฆ่าเขาไม่ได้!”“ขุนนางชั่วสมควรตาย! จอมยุทธ์ตงฟางกำจัดภัยเพื่อราษฎร!”บนแท่นประหารตงฟางซื่อไม่เหมือนนักโทษที่กำลังจะถูกตัดหัว กลับเหมือนคนที่กำลังดูการแสดงที่น่าสนุกอยู่ เขาเยาะเย้ยฝานจิ้น“เหล่าฝาน เจ้ายังไม่ดังเท่าข้าเลย เห็นอยู่ว่าพวกเราสองคนเป็นคนฆ่า แต่พวกเขากลับเอ่ยแต่ชื่อข้าคนเดียว...”ฝานจิ้นก้มหน้าลง เตือนโดยปิดบังรูปปาก“เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจ!“ต้องโทษความคิดไม่เข้าท่านี้ของเจ้า! บอกว่าอะไรกันต้องเอาตัวเข้าเสี่ยง เพื่อให้ซูฮ่วนมาช่วย... แล้วคนล่ะ? พวกเราศีรษะจะหล่นลงพื้นอยู่แล้ว แม้แต่เงาซูฮ่วนก็ยังไม่เห็นเลย!”ตงฟางซื่อมองไปรอบ ๆฝานจิ้นทนไม่ไหวอีกต่อไป เงยหน้าขึ้น “เจ้ามองหาอะไรกัน!”ตงฟางซื่อ: “ข้าก็มองหาคนน่ะสิ จะดูว่าเขามาหรือไม่”ฝานจิ้นขมวดคิ้วด้วยความสงสัย: “เจ้ารู้หรือว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร?”“ไม่รู้หรอก ไม่เคยเห็น แต่มิใช่ว่าทุกคนต่างพูดว่าเขาสวม

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1706

    วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเข้ามาในโรงน้ำชา ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายนักเล่าเรื่องที่อยู่ตรงกลางกำลังบรรยายด้วยถ้อยคำอันน่าเร้าใจ“...แต่เห็นเพียงเด็กหนุ่มผู้นั้นสวมหน้ากากเงินครึ่งซีก ใบหน้าหล่อเหลา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง! แปดคนชั่วของหอเฟิ่งหวง แม้แต่กระบวนท่าของเด็กหนุ่มยังไม่ทันได้เห็นชัดเจน ก็ถูกปลิดชีพด้วยกระบี่เดียวทันที!”ด้านล่างมีคนหัวเราะดังลั่น“เฮ้ย! พูดเหลวไหลอะไรกัน! อีกเดี๋ยวก็บอกว่าคนผู้นั้นสวมหน้ากาก อีกเดี๋ยวก็บอกว่าหน้าตาหล่อเหลา ขัดแย้งกันเองเสียจริง! ลงไปเลย!”มีคนหัวเราะตาม: “กลุ่มคนชั่วของหอเฟิ่งหวง แต่ละคนวรยุทธ์ล้ำเลิศ จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนคนเดียวจะฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด? ฟังดูก็รู้ว่าแต่งเรื่องโกหก!”ผู้คนเหล่านั้นเอ่ยกันเซ็งแซ่ นักเล่าเรื่องตอบไม่ทันแต่ละคำถามในขณะนั้น บุรุษในชุดครามที่นั่งอยู่โต๊ะมุมห้องก็เอ่ยขึ้น“พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ตื้นเขิน ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นผิด“ตามที่ข้ารู้ เด็กหนุ่มสวมหน้ากากในเรื่องเมื่อครู่นั้น ก็คือซูฮ่วนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และกำจัดกลุ่มทะเลสาบเกลือเมื่อสอ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1705

    “อาจารย์หญิง ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ! อาจารย์จะตีท่านเอาได้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตะโกนเสียงดัง แล้วหันตัวลุกขึ้นวิ่งไปฟ้องทันทีฮูหยินเมิ่งวิ่งตามไปข้างหลัง แต่กลับตามไม่ทันหลังจากเรื่องผ่านไปแล้ว เมิ่งฉวีก็หัวเราะจนท้องแข็ง“ฮูหยินเอ๋ย! ครั้งหน้าห้ามให้จิ่วเหยียนจับได้อีกนะ”“จิ่วเหยียน ทำได้ดีมาก!”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับการยอมรับและกำลังใจ ก็ยิ่งนำหลักการนี้ไปปฏิบัติมากขึ้นฮูหยินเมิ่งได้แต่ยิ้มจนกระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดเด็กสาวจิ่วเหยียนก็ส่งอาจารย์ของนางเข้าไปในคุกจำใหญ่ได้สำเร็จ ในวันนั้น เมิ่งฉวีกำลังหารือเรื่องสำคัญกับอดีตลูกน้องหลายคน พวกเขานำอาวุธที่สร้างขึ้นใหม่มาให้เมิ่งฉวีดู ว่าจะใช้ต้านศัตรูที่อยู่นอกชายแดนเหนือได้หรือไม่ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เด็กสาวคนนี้ก็พาเหล่าเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งมาปรากฏตัว และชี้ว่าพวกเขาลักลอบซ่อนยุทโธปกรณ์หลังจากวันนั้น ก็เกิดเรื่องตามมาไม่หยุดหย่อนแทบทุกเช้าที่เปิดประตูบ้านออกมา ฮูหยินก็จะเห็นเพื่อนบ้านมาฟ้องร้อง ว่าสิงโจวกับจิ่วเหยียน เด็กสองคนนี้ 'ก่อปัญหา' ไว้ไม่น้อยเลยไม่ใช่วันนี้ต่อยคนนี้ ก็เป็นเมื่อวา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1704

    ฮูหยินเมิ่งจดจำครั้งแรกที่ได้พบกับจิ่วเหยียนได้เสมอในตอนนั้น ฤดูหนาวเพิ่งจะผ่านพ้นไป อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็นนางตื่นนอนตั้งแต่เช้ามืด แต่งกายให้สิงโจว เตรียมจะไปรับสามีที่ประตูเมืองสิงโจวเพิ่งอายุสองขวบกว่า ในวันนั้นเขาเริงร่าเป็นพิเศษคงรู้แน่ ๆ ว่าท่านพ่อกำลังจะกลับมาขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากบ้าน สาวใช้ก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยิน! ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!”นางอุ้มสิงโจวอย่างตื่นเต้นยินดี ต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม“ท่านพี่...”ทว่าชั่วพริบตาต่อมา เมื่อเห็นผู้ที่มาถึง สีหน้าของฮูหยินเมิ่งก็พลันมืดครึ้มลงทันทีชายที่ยามปกติประหยัดมัธยัสถ์ วันนี้กลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวใหญ่ และอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนเขาปกป้องเด็กทารกคนนั้นอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ลมหนาวพัดโดน“หว่านจวิน” เมิ่งฉวียิ้มอย่างใสซื่อปนงงงวย รอยยิ้มอันอ่อนโยนเมื่อครู่ของฮูหยินเมิ่ง บัดนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น“เมิ่งฉวีเอ๋ยเมิ่งฉวี! ท่านไปเดินทัพหนึ่งปี ช่างมอบความประหลาดใจใหญ่หลวงให้ข้ายิ่งนัก!”เมิ่งฉวีหน้าซีดเผือดทันที“ไม่ ไม่ใช่! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่ลูกของข้านะ.

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1703

    เฟิ่งจิ่วเหยียนหมดหวังแล้วเพราะอย่างไรเสีย เขาก็จะส่งชื่อมาให้นางไว้เว้นแต่ละวัน นางประหลาดใจมาก ว่าเขาเลี่ยงใช้คำที่ไพเราะเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน?เซียวอวี้ทำสีหน้าท่าทางลึกลับ“ก็ชื่อ...เซียวจื่อจู้[1]! เขาจะต้องเป็นเสาหลักของต้าฉี ร่วมค้ำจุนอาณาจักรต้าฉีนี้ไว้ไปพร้อมกับพวกเจ้า!”เขากล่าวอย่างฮึกเหิม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันเฟิ่งจิ่วเหยียนหัวเราะแห้งการนำชื่อที่มั่วซั่วมาใส่ความหมายที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรสิ่งที่นางต้องการคือชื่อสักชื่อหนึ่ง ไม่ใช่ความหมายเหล่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับขี้คร้านจะพูดอะไรแล้วแปะ แปะ แปะ!อาลี่ปรบมือ“เพราะดี ๆ! แมงมุมน้อย! ลูกชอบแมงมุมน้อย[2] เหมือนที่ชอบเจี้ยนเจี้ยนเลย!”“เซียวจื่อจู้ที่แปลว่าเสาหลักต่างหากเล่า”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวเหน็บแนม“ใช่แล้ว สามเสาหลัก พอดีเลย อาหลิ่นกับลูก ๆ ก็ไม่ชอบชื่อตัวเอง เช่นนั้นเปลี่ยนชื่อพร้อมกันเลยดีกว่า เป็นต้าจู้ เอ้อจู้ ซานจู้ รับรองว่าแผ่นดินต้าฉีของพระองค์จะมั่นคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านไม่ล้มแน่นอนเพคะ!”อาหลิ่นก้มหน้าอย่างท้อแท้ “เช่นนั้นก็ขอเป็นอาหลิ่

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1702

    กระทั่งฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา หร่วนฝูอวี้ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับรุ่ยอ๋องแต่ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาของพวกเขานั้น ในทางปฏิบัติยังคงอยู่หร่วนฝูอวี้พักอยู่ในจวนอ๋อง บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็รู้ว่านางคือพระชายาหลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ จี๋เอ๋อร์ก็ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเพียงแต่ร่างกายของเขายังฟื้นตัวได้ช้ามากหร่วนฝูอวี้สงสารลูกชาย จึงเสาะแสวงหาหมอเทวดาจากทุกสารทิศต้นฤดูร้อนในปีเดียวกัน หมอเทวดาเหยียนเพิ่งจากไปแพทย์เปี่ยมคุณธรรมผู้ซึ่งปรุงยาถอนพิษจากหมอยาได้ บัดนี้ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบเพื่อเดินทางสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์แล้วในวันพิธีศพ ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ราษฎรทั้งเมืองก็มาร่วมส่งเขาเช่นกันบทเพลงอันเศร้าโศกบรรเลงขึ้นในวังหลวง ทุกคนต่างเสียใจกับการจากไปของเขาบางคนแสวงหาหนทางสู่ความเป็นนิรันดร์ แต่บางคนกลับเกลียดชีวิตนิรันดร์ในระหว่างที่ตระกูลถานไถถูกคุมขัง มีหลายคนเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองถานไถจิ้งให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เด็กคนนั้นพิเศษมาก เขาสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ขณะได้ยินเสียงร้องไห้ของลูก ถานไถจิ้งก็หลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา“อาเหยี่ยน เจ้ากลับมาแล้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status