นางอวี๋ยิ้ม “ตอนนั้นเจ้าคงไม่คิดสินะว่าตัวเองจะหวั่นไหวกับตัวนางที่เติบใหญ่แล้ว?”ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเยี่ยนซูแดงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามของท่านย่าถูกต้อง ยามที่พบกันครั้งแรก นางเป็นเพียงเด็กหญิงอายุแปดขวบ เป็นแค่เด็กในสายตาเขา จะคิดอะไรได้อย่างไร?ส่วนในการพบกันครั้งที่สอง นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากที่นางเข้าสู่วัยปักปิ่นหญิงสาวสะคราญโฉม กิริยามารยาทงดงาม แววตาสุกสกาว ทำให้เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกใจเต้นเป็นครั้งแรก แต่ผู้หญิงโตขึ้นแล้วเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ[1] นางไม่เหลือเค้าโครงเมื่ออดีตแม้แต่น้อย ทำให้เขาจำไม่ได้ในตอนแรกจวบจนเมื่อเห็นหยกแขวนที่เอวของนางและได้พบกับนายหญิงผู้เฒ่าหรง เขาถึงได้รู้ว่านางก็คือผู้มีพระคุณเมื่อตอนนั้นนางอวี๋เห็นหลานชายมีอาการเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มเห็นเขาสงบจิตสงบใจไม่อยู่จึงพูดไปว่า “หากเจ้าไม่วางใจก็ตามไปดูมารดาของเจ้าที่สกุลหรงเถิด ที่นี่มีจินหมัวมัวอยู่ เจ้าไม่ต้องอยู่ด้วยก็ได้”เป็นความจริงที่เฉินเยี่ยนซูไม่ค่อยวางใจนัก ด้วยเหตุนี้จึงตอบรับแล้วเดินออกไป……หรงจือจือมาถึงเรือนนอกแล้วได้พบกับจ้าวหมัวมัวที่กำลังร้อนอกร้อนใจจ้าวหมัวมัวที่กำลังก
ใบหน้าของนางกงซุนซีดเผือดเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เถียงข้างๆ คูๆ ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าโหดร้ายกับเยี่ยนซูเมื่อใดกัน?”นางอวี๋ “อย่าคิดว่าข้าไม่อยู่ข้างเจ้าแล้วจะไม่รู้เรื่องที่เจ้ากระทำ!”“นางกงซุน ต่อให้เจ้าจะไม่อยากขอโทษ แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องขอโทษอยู่ดี”“หากเจ้าไม่ยอมไปขอโทษจนเป็นการขัดขวางการแต่งงานของเยี่ยนซู เช่นนั้นข้าเพียงต้องมอบหนังสือหย่าให้เจ้าแทนบุตรชายของข้า ให้เยี่ยนซูตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้า เท่านี้ก็ถือเป็นการรับผิดชอบต่อสกุลหรงแล้ว!”นางกงซุนได้ยินนางอวี๋พูดถึงขนาดนี้ก็ร้อนใจแทบน้ำตาร่วง “ข้ายอมไปแล้ว! พอใจหรือยัง?”ในฐานะมารดาของเฉินเยี่ยนซู บัดนี้นางเป็นฮูหยินผู้มีเกียรติที่สุดในเมืองหลวง แต่หากต้องได้รับหนังสือหย่าจริงๆ ความมีเกียรตินี้ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความอับอายขายหน้านางอวี๋พูดหน้าดำคร่ำเครียด “เจ้าจงไปเดี๋ยวนี้!”นางกงซุนตอบด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “เจ้าค่ะท่านแม่!”หลังจากสิ้นเสียงก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สกุลหรงทันทีเฉินเยี่ยนซูมองนางอวี๋พร้อมกับพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณท่านย่า!”นางอวี๋ถอนหายในเฮือกหนึ่ง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว! ห
นางกงซุนขำแห้ง กล่าว “ท่านแม่ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านหมายตาแม่นางตระกูลใดไว้หรือ ลูกสะใภ้จะได้ไปทาบทามมาให้ท่านเจ้าค่ะ?”นางอวี๋มองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งโง่! ในใจของเยี่ยนซูมีเพียงแม่นางสกุลหรงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าข้าย่อมยอมรับหลานสะใภ้คนนี้!”หลายปีมานี้นางเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยนซูแต่งงาน ไม่รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไปกี่ครั้ง แต่เด็กคนนี้ก็ยังทำแบบขอไปทีทุกครั้งนี่ยิ่งทำให้นางอวี๋สิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงที่นางกำลังคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิต จู่ ๆ เจ้าเด็กนั่นก็เปิดใจ และอยากแต่งงานขึ้นมา นางอวี๋จะยอมให้ผู้ใดมาทำลายได้อย่างไร?นางกงซุนไม่อยากก้มหัวให้จวนสกุลหรง จึงเอ่ยปากด้วยสีหน้าลังเล “ท่านแม่ หรงจือจือนั่นถึงอย่างไรก็เป็นหญิงที่แต่งงานมาแล้วเป็นครั้งที่สอง ไหนเลยจะคู่ควรกับเยี่ยนซูของพวกเราเจ้าคะ?”นางอวี๋กล่าวโดยไม่ฟังคำอธิบายว่า “ในเมื่อเยี่ยนซูชอบ เช่นนั้นยิ่งถือว่าคู่ควร! บุตรชายของเจ้าเอง ใกล้จะอายุสามสิบแล้วก็ยังไม่ได้แต่งภรรยา เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยหรือ?”“หาได้ยากนักที่เขาจะมีความคิด เจ้ายังอยากจะไปทำให้มันล้มเหลวอีกหรือ?”“ข้าบอกเจ้า ตราบใ
เซิ่งเฟิงหิ้วนักทำนายดวงชะตาคนนั้นออกมาทันทีสีหน้าของนางกงซุนเปลี่ยนไป พลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “เยี่ยนซู นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? นี่คือเซียนมีชีวิตผู้ทำนายดวงชะตาให้แม่เจ้า แม้แต่เงินของแม่เจ้เขายังไม่รับสักแดงเดียวเชียวนะ!”“เจ้าไม่เคารพเขาเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรือ?”ทันทีที่นางพูดจบ ไม้เท้าที่อยู่ในมือของนางอวี๋ก็ตีไปที่นางกงซุนอย่างไร้ความปราณี ทำเอานางกงซุนเจ็บจนต้องร้องออกมาอย่างน่าเวทนานางอวี๋ตำหนิด้วยความโมโห “เจ้าคนโง่ไร้สมองคนนี้! เพื่อคนหลอกลวงคนหนึ่ง เจ้าถึงสาปแช่งให้บุตรชายถูกสวรรค์ลงโทษเชียวหรือ?”นางกงซุนโกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไร จุดนี้แหละที่นางกลัวนางอวี๋มากที่สุด เพราะอีกฝ่ายมีอารมณ์ร้อน และพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ!หลังจากที่ตนเองแต่งงานกับสามี ก็ไม่รู้ว่านางอวี๋ตีสามีมาแล้วกี่ครั้ง บางครั้งถึงกับเลือดตกยางออกเสียด้วยซ้ำเพียงแต่การตีตนเองที่เป็นลูกสะใภ้คนนี้ ยังถือเป็นครั้งแรก!เกรงว่าตนเองจะถูกตีอีกครั้ง นางกงซุนจึงทำได้แค่กล่าวอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ท่านแม่อย่าโมโหไปเลยเจ้าคะ เป็นลูกสะใภ้ที่เลอะเลือนเอง!”นางอวี๋ “เจ้ารู้ว่าตนเองเลอะเลือนก็ดี!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ สีหน้าของนางกงซุนก็เปลี่ยนไปทันที ไม่นานนักก็เห็นหญิงชราคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าเดินออกมาเสิ่นเยี่ยนซูออกไปพยุงด้วยตนเอง “ท่านย่า!”นายหญิงผู้เฒ่าเสิ่นแซ่อวี๋ มองหลานชายแวบหนึ่ง “เจ้ามีน้ำใจแล้ว ไม่เหมือนใครบางคน เห็นข้าแล้วก็ยังไม่รู้จักคารวะ”นางกงซุนหนังหน้ากระตุก จากนั้นก็รีบคารวะ “ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” นางก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจเช่นกัน เหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงเชิญหญิงชราคนนี้เข้ามา?นางอวี๋นั่งลง พลางมองนางอย่างสื่อความนัย “ยากนักที่เจ้าจำได้ว่าข้ายังเป็นแม่สามีของเจ้า แต่เจ้าตามเยี่ยนซูเข้าเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เคยไปทักทายข้าที่จวนสกุลอวี๋เลย มีลูกสะใภ้ที่กตัญญูเช่นเจ้า ช่างเป็นวาสนาของข้าเสียจริง!”“กตัญญู” สองคำนี้ นางอวี๋จงใจเน้นน้ำเสียง และแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างมากนางกงซุนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน แล้วรีบก้มหน้ากล่าว “ท่านแม่พูดรุนแรงไปแล้วเจ้าค่ะ ความจริงลูกสะใภ้รู้ว่าท่านกำลังรักษาอาการป่วยอยู่ จึงกลัวว่าหากตนเองไปที่นั่น จะรบกวนความสงบของท่าน”นางกงซุนพูดจบก็เหลือบมองเสิ่นเยี่ยนซู ซึ่งภายในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ พวกเรามาคิดกันดีกว่า ว่าอีกไม่กี่เดือนหลังออกจากคุกหลวงแล้ว พวกเราจะไปอยู่ที่ไหน!”ตอนนี้อยู่ในห้องขัง ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ก็จริง แต่เพื่อจัดการปัญหาเรื่องกินอยู่ ต่อไปพวกเขาจะต้องฝ่าฝืนกฎหมายซ้ำ ๆ แล้วพอออกจากคุกไปไม่กี่วัน ก็จะถูกจับกลับเข้ามาใหม่อีกอย่างนั้นหรือ?ฉีจื่อเสียนกล่าวอย่างทรมานว่า “พวกเรายังจะไปอยู่ที่ใดได้อีกขอรับ? ไปแย่งวัดร้างและใต้สะพานกับพวกขอทานเหล่านั้นงั้นหรือ?”ครานี้ ถานผิงถิงกลับเอ่ยปากขึ้นว่า “หรือว่า...ข้าจะกลับไปที่บ้านมารดาเพื่อขอร้องท่านแม่ แล้วให้นางรับพวกเราไว้สักระยะหนึ่งดีเจ้าคะ?”ทันทีที่นางพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไปเพียงเพราะว่าจวนสกุลถานคือสถานที่ที่นางถานกับอันธพาลนั่นถูกจับได้ว่าเป็นชู้รักกัน จนทำให้คนสกุลฉีต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด!ตามหลักการ นางหลิวยังตั้งท้องกับอันธพาลนั่นด้วย ซึ่งหากเจอกับครอบครัวที่เคร่งครัด และเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแล้ว จะต้องจับนางใส่กรงหมูแล้วนำไปถ่วงน้ำเป็นแน่แต่นางดันโชคดี สกุลหลิวกับสกุลถานเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ถึงกับไม่มีคนเห