ปากอวบอิ่มเม้มแน่นเข้าหากัน ยืนชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะก้าวขาเดินออกไป เธอคิดว่าโจรคงไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้เพราะหน้าบ้านมียามเฝ้าประตูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง นอกจากผีเธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีอะไรเข้ามาในบ้านได้ในตอนนี้
กึก กึก… คนตัวเล็กชะงักเล็กน้อยในตอนที่เสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่ยังพยายามทำใจกล้าก้าวเท้าเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงทางเข้าห้องโถง หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ทั้งกลัวและตื่นเต้น “กรี้ดดด!” อัญญากรีดร้องเมื่อเห็นเงาของผู้หญิงผมยาวกำลังก้มทำอะไรบางอย่างอยู่ที่พื้น “ยะ…อย่าเข้ามานะ อุ้บ!” เงาดำพุ่งเข้ามาปิดปากเธอเอาไว้ อัญญาหลับตาปี๋พยายามดีดดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของผีสาวตัวนี้ “ยัยบ้าแหกตาดู!!” เสียงที่คุ้นเคยดังข้างหู เธอสงบลง ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้ามือขาวยกเลื่อนดึงมือที่ปิดปากตัวเองออก “ลานิล?” “เออ!” ลานิลปล่อยตัวอีกคนให้เป็นอิสระ เธอเดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบโตอีกครั้ง “มองอะไร มาช่วยสิ!” “จะไปไหน” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ไม่เข้าใจว่าเธอจะไปไหนในเวลานี้ อีกทั้งกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่นั่นอีก “ไม่ต้องถามมากได้ปะ บอกให้มาช่วยก็มาเถอะก่อนที่คนอื่นจะออกมา!” “หนีออกจากบ้าน?” “ก็เห็นอยู่จะถามทำไม! รีบมาช่วยสักทีได้ปะ ไม่ช่วยก็ไสหัวออกไปสักทีรำคาญลูกตา!” ลานิลพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “จะไปที่ไหน” “ทำไมฉันต้องบอก?” “หนีพี่ศิลาหรอ” คำถามแสนสั้นของเธอทำเอาลานิลจิปากด้วยความไม่พอใจ “อีกวันเดียวงานแต่งจะเริ่มแล้วนะ” “ช่างสิ ฉันไม่ได้อยากแต่งสักหน่อย” ร่างอรชรของเธอตรงมายังอัญญาอีกครั้ง “ใครยอมแต่งกับคนอย่างมันก็คงเป็นโรคจิตประเภทคลั่งฆาตกรแล้ว!” “พูดอะไร” “คิดว่ามันขาวสะอาดรึไง อย่างมันน่ะไม่เรียกเทา ศิลามันดำไปหมด ดำทั้งใจและทุกอย่างที่มันทำ!” ลานิลกดเสียงต่ำ “มันฆ่าคนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แกเคยเห็นรึยัง?” “…” “ถ้าแกเคยเห็นอย่างฉันแกจะไม่มีวันกล้าเข้าใกล้มันเด็ดขาด!” จบประโยคลานิลก็จ้ำเท้าเดินกลับไปลากกระเป๋าใบโตของตัวเองต่อโดยมีอัญญายืนมองเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยหรือรั้งตัวเธอเอาไว้สักนิด รถยนต์สีดำจอดรอรับอยู่หน้าประตู ผู้ชายต่างชาติตัวสูงล่ำลงมาช่วยยกกระเป๋าขึ้นท้ายรถไป ลานิลและผู้ชายมาใหม่รีบพากันขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถออกไปในทันที อัญญายืนนิ่งไม่รู้ว่าควรทำอะไร เธอควรเดินไปบอกพ่อตัวเองหรือควรปล่อยให้ลานิลหนีไปแบบนั้น แต่ถ้าเธอหนีไปได้สำเร็จงานแต่งก็คงจะถูกยกเลิก ลานิลกับศิลาจะไม่ได้แต่งงานกัน นั่นควรจะเป็นเรื่องที่ดี… เพราะตัวเธอเองเคยเจอศิลามาก่อน เนื่องจากเคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน อัญญาอายุน้อยกว่าเขาสามปี แต่ศิลากลับดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก เธอแอบชอบเขาหลังจากเห็นศิลาเล่นบาสกับเพื่อน ๆ ในสนาม หลังจากวันนั้นเธอก็ตามแอบมองเขามาตลอดแม้เธอจะไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยก็ตาม มีครั้งหนึ่งที่เธอพลัดตกสระน้ำในโรงยิมเพราะถูกเพื่อนวิ่งชน เดิมทีคนตัวเล็กว่ายน้ำไม่เป็นทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และใช่…คนที่ช่วยชีวิตสาวน้อยในวันนั้นคือศิลา นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเขาแน่ชัดมากกว่าเดิม เธอตกหลุมรักเขา อัญญาซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองมาตลอดแต่เพียงไม่มีความกล้ามากพอที่จะนำพาตัวเองไปสารภาพรักกับเขา หลังจากศิลาเรียนจบเธอก็ไม่เคยเจอเขาอีก จนกระทั่งอาทิตย์ก่อน ร่างสูงปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เขาเข้ามาในบ้านแต่กลับเดินผ่านเธอไปราวกับมองไม่เห็น เขาดูต่างจากที่เคยเจอแต่ยังคงความหล่อร้ายไว้ไม่เปลี่ยน ‘คุณลานิลจะแต่งงานกับคุณศิลา’ ประโยคแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายคือการประกาศกร้าวว่าจะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ อัญญาปวดหนึบที่หัวใจ ยิ่งรับรู้ว่าศิลาเลือกลานิลด้วยตัวเองเธอยิ่งเสียใจ มันทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่มีโอกาสได้ยืนเคียงข้างเขาอีกต่อไป “คิดถูกรึเปล่านะ” คนตัวเล็กนอนมองเพดานห้องนอนตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า เธอกำลังสับสน เธอปล่อยลานิลไปแบบนั้นมันถูกแล้วรึเปล่า เธอควรบอกใครสักคนให้รับรู้เรื่องนี้ไม่ใช่หรือไง แต่อีกใจเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากให้ลานิลหนีไปงานแต่งจะได้ล่ม เธอไม่อยากเห็นเขาเข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่น อัญญาสลัดหัวไล่ความคิดที่ตีกันไปมาของตัวเอง พยายามข่มตานอนหลับไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรอีก ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาของใครของมัน เพราะถ้าหากถูกกำหนดไว้ก็คงจะเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี แต่การที่เธอปล่อยผ่านเรื่องนี้ มันจะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล… . To be continued...บทที่ 22 “เสร็จแล้วค่ะ” ขนุนพูดบอกเสียงใส เธอเปิดดูหม้อข้าวต้มที่ควันร้อนลอยออกมา กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องครัว ป้าพรหยิบชามใบโตตักข้าวจนเต็มถ้วย วางลงกับจานรองแล้วดันส่งมอบให้กับอัญญาที่นั่งหน้าหงอยอยู่ปลายโต๊ะ “เอาไปให้คุณศิลาสิคะ” ป้าพรเอ่ยบอก อัญญาส่ายหน้าหนีแล้วดันกลับคืน “ทำไมล่ะคะ” “พี่ศิลาคงไม่อยากเห็นหน้าอัญในตอนนี้แน่ ๆค่ะ” “ทำไมคิดแบบนั้นคะ?” ขนุนถามด้วยความสงสัย “ที่พี่ศิลาต้องบาดเจ็บแบบนั้นก็เพราะความสะเพร่าของอัญ” เธอตอบตามความจริง หากเธอมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเป้าตรงหน้า แม้จะถูกเขาละลาบละล้วงมากกว่านี้ก็คงจะไม่เป็นอะไรเพราะมากกว่าจับหน้าอกเขาก็ทำมาแล้ว แต่เธอไม่สามารถเลิกสนใจสัมผัสร้อนแรงของเขาได้ พอถูกบีบเค้นหน้าอกจึงเผลอชักแขนกลับหันปืนไปทางเขาจนได้ “อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละค่ะ อย่าคิดมากเลยนะคะ สำหรับคุณศิลากระสุนนัดเดียวทำอะไรไม่ได้หรอก” ป้าพรบอกพร้อมกับผลักดันชามข้าวต้มส่งให้เธออีกรอบ “จริงค่ะ โดนมากกว่
บทที่ 21 ศิลาสังเกตคนตัวเล็ก เธออ้าปากหอบหายใจอย่างอ่อนแรง คนตัวโตรีบถอดถุงมือขยับกายเข้าไปหา คว้าร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน อัญญาอ้าปากหอบหายใจฮัก มือทั้งสองข้างเกร็งแน่น “อัญญา!” เขาตบหน้าหญิงสาวเบา ๆ “มึงไปหายาดมมาดิ้!” เขตแดนรีบวิ่งไปยังห้องพยาบาลตามที่เพื่อนสั่งทันที ศิลาอุ้มเธอให้นอนลงบนโต๊ะตัวยาว เขย่าเรียกชื่ออัญญาตลอดเวลา “อัญญาหายใจช้า ๆอย่าเร็ว” คนตัวเล็กทำตามเธอลืมตาขึ้นมองหน้าเขา ศิลาช่วยบีบมือเล็กให้ผ่อนคลาย จนเธอเริ่มกลับมาหายใจตามปกติ “ดีขึ้นไหม” “ค่ะ” เธอตอบ แต่ยังคงหายใจเข้าออกแรง ๆ อยู่ดี “สภาพนี้จะฝึกยังไงได้วะ” ศิลามองดูภรรยาตัวเอง ที่แค่ได้ยินเสียงปืนก็ตกใจกลัวแทบจะเป็นลม “อัญกลัว” “กลัวอะไร” “กลัวตายค่ะ” ดวงตากลมโตสบตาเข้ากับเขาศิลามองหน้าเธอนิ่ง ๆไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาดันตัวหญิงสาวให้ลุกนั่งเพื่อจะได้หายใจถนัดมากกว่าเดิม “อย่างแรกเลยนะ เธอต้องไม่กลัวมัน” ศิลากอดอกพูด “ฉันกำลังจะสอนเธอให้รู้จักวิธีก
บทที่ 20 “ไม่เป็นอะไรนะคะ” ป้าพรลูบหลังปลอบเธอตลอดทาง แม้ตอนนี้จะกลับมาถึงบ้านของศิลาแล้วก็ตาม ทั้งที่คิดไว้ว่าหากเธอท้องขึ้นมาจริง ๆแล้วศิลาไม่รักเธอ จะเก็บข้าวของกลับไปอยู่บ้านหลังเดิมแม้จะต้องเสียศักดิ์ศรีเข้าไปกราบกรานขออาศัยอยู่บ้านของรัลยาก็ตาม แต่ความคิดที่ว่ากลับไม่สามารถสานต่อได้ เพราะคำพูดของเสกสรรพ่อของเธอ ไม่ให้กลับไปยังบ้านหลังนั้นอีก เป็นคำสั่งของรัลยาภรรยาสุดที่รักของเขา ข้าวของของอัญญาก็ไม่มีหลงเหลืออยู่สักชิ้น มันกลายเป็นห้องเก็บของไปเสียแล้ว เธอทำอะไรไม่ได้ ขนาดพ่อแท้ ๆที่เป็นสามีตามกฎหมายยังไม่มีสิทธิ์คัดค้านคำสั่งของรัลยา นับประสาอะไรกับลูกเมียน้อยอย่างเธอ ต่อกรไปก็ได้แต่คำพูดทำร้ายจิตใจกลับมา หากถึงวันนั้นวันที่เธอต้องเก็บของออกจากบ้านศิลา เธอคงต้องไปหาห้องเช่าอยู่เพียงลำพัง “อัญโอเคดีค่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอยิ้มให้ป้าพร แม้จะพูดบอกแบบนั้นแต่แม่บ้านก็ยังคงแสดงสีหน้าห่วงใยเธอเช่นเคย “ไปไหนมา” เสียงดุคุ้นหูดังขึ้น “คุณอัญไปบ้าน…” “ตามมานี่” ไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรไป มื
ที่ 19 “ทำอะไรคะ” “อยากรู้ก็ลองหนีอีกสิ” แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยท่าทีเรียบนิ่งไม่มีการข่มขู่อย่างเช่นทุกที แต่อัญญากลับไม่กล้าขยับตัวหนีเขา เธอรู้ว่าศิลาไม่เคยใจดีกับตัวเองสักครั้งจึงเลือกที่จะเงียบและไม่ต่อต้านเขา “โอ้ย” ปากสวยรีบเม้มแน่น กลัวเขาจะว่าเธอที่ทนความเจ็บนี้ไม่ได้ ศิลาไม่ได้พูดอะไร เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้เธอ แต่ด้วยแรงของเขาหรือเป็นปกติที่ทำตัวอ่อนโยนไม่เป็นไม่แน่ใจ เขามักจะกดมาที่แผลของเธออย่างแรงจนสะดุ้งอยู่ตลอดเวลา คิ้วเข้มของเขาไม่ได้ขมวดเข้าหากันเหมือนทุกที ดวงตาคมที่มักจะมองมาด้วยความไม่พอใจก็นิ่งสนิท ไม่มีแววตาก้าวร้าวอยู่ในนั้น หากเป็นเวลาปกติเขาทำตัวแบบนี้กับเธอบ้างมันคงจะดี อัญญาจ้องมองหน้าหล่อของเขาทุกความเคลื่อนไหว ภาพตอนยังเป็นนักศึกษายิ้มเก่งลอยเข้ามาในความคิด เธอยอมรับเลยว่าตกหลุมรักเขาเพราะรอยยิ้มนั่น แต่ปัจจุบันอัญญาไม่เคยเห็นมันเลย ศิลาไม่เคยยิ้มให้เธอเลยตั้งแต่แต่งงานกันมา มี
บทที่ 18 “เอาไง” ปฐพีเอ่ยถาม ทั้งสามคนยืนเรียงรายอยู่หน้าบ้านหลังจากส่งผู้เป็นพ่อขึ้นรถออกไปแล้ว “สภาพมันแบบนั้นยังกล้าทำอะไรเลว ๆลงด้วยหรอวะ” “คงอยากแก้แค้น” อาโปพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนั้นมันก็โดนพี่ใหญ่เล่นงานหนักเอาเรื่องอยู่” “ทำได้แค่นี้หรอวะ” ศิลาหัวเราะหึในลำคอ “กระจอกฉิบหาย” “แต่พี่ก็ต้องระวังตัวไว้มาก ๆก่อน ไม่รู้มันจะเคลื่อนไหวอะไรต่อ” อาโปบอกพี่ชายด้วยความเป็นห่วง “ห่วงตัวเองก่อนเหอะ อ่อนปวกเปียกแบบนี้ระวังมันจะพุ่งเป้าไปที่มึงคนแรก” ศิลาปรายตามองหน้าคนกลาง ในสายตาศิลา อาโปเป็นแค่น้องชายที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะทำงานได้ดีไม่แพ้ตัวศิลา แต่อาโปเองก็อ่อนแอและใจอ่อนง่ายจนแทบจะเป็นจุดอ่อนให้ตัวเอง บริษัทเคยเกือบพลาดเพราะเขาไว้ใจคนง่ายเกินไป ศิลาจึงไม่ไว้ใจมอบหมายงานต่าง ๆให้กับเขาอีก “มีผมอยู่ด้วยตลอ
บทที่ 17 “เจ็บมากแน่ ๆเลย” ขนุนนั่งชะเง้อคอมองต้นคอของอัญญา เธอไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าให้แทน ป้าพรยังคงทายาให้อย่างเบามือ ปากก็พร่ำบ่นสงสารถามตลอดว่าเจ็บไหม อัญญากลับมาถึงบ้านด้วยสภาพคอเสื้อเปียกโชกไปด้วยเลือด ทั้งแม่บ้านพ่อบ้านต่างพากันวิ่งวุ่นหากล่องยากันจ้าละหวั่น ทั้งที่เธอบาดเจ็บจนเลือดออกขนาดนี้แต่ศิลากลับไม่พาเธอไปยังโรงพยาบาล เขารีบขับรถกลับมาที่บ้านแทบจะทันที ระหว่างทางเขาคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่นานก็มีรถของอัคคีขับประกบตามมาตลอดทาง ศิลาไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน มีเพียงเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยจากการวิ่งหนีคนพวกนั้น ตลอดเวลาที่เขาพาเธอขับกลับบ้านมันยาวนานอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน หัวใจของเธอยังคงเต้นรัวด้วยความกลัวไม่หาย ไม่รู้ว่าจะถูกคนกลุ่มนั้นตามมาทำร้ายอีกหรือไม่ ส่วนศิลาก็ไม่แม้แต่จะปลอบใจเธอ ตอนที่เขาเดินเข้าหาพร้อมปลายกระบอกปืนที่ยื่นจอตรงหน้าเธอ วินาทีนั้นราวกับโลกหยุดหมุน แววตาของเขามันน่ากลัวเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะสบตาไหว แต่โชคดีที่กระสุนในปืนกระบอกนั้นไม่ได้มีไว้ยิงเธอ เขายิงผู้ชายอีกคนที่วิ่งเ