LOGINจางหยางที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าได้ทำตัวแตกตื่นจนเกินไป เมื่อเห็นทุกคนมองมาแต่ทางเขาเป็นตาเดียวเขาก็ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ออกมา
“แล้วตอนนี้ท้องได้กี่เดือนแล้วลูก หนูไปหาหมอมาบ้างหรือเปล่า” แม่ถามฮัวเหมยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ได้สามเดือนกว่าหนูไปหามาแล้วค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หลานชายของแม่สบายดี” ฮัวเหมยพูดอย่างยิ้มแย้ม
“รู้ได้ยังไงกันว่าจะเป็นหลานชาย จะชายหรือหญิงหนูก็ต้องรักเขาเท่ากันนะลูก หนูอย่าไปให้ค่านิยมแบบนี้นะมันไม่ดี” แม่ก็พูดออกมายืดยาวเพราะคิดว่าลูกสาวตนจะให้ค่านิยมตามคนส่วนใหญ่เรื่องลูกชายลูกสาว
“แม่อย่าเข้าใจหนูผิดสิคะ หลานสาวตัวน้อยของแม่บอกหนูต่างหากล่ะคะว่าในท้องหนูเป็นน้องชาย หนูเองยังอยากได้ลูกสาวเหมือนเจ้าตัวน้อยเลยด้วยซ้ำ” ฮัวเหมยก็อธิบายคำพูดออกมาอย่างยืดยาว
ซินซินก็ได้แต่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปคงมีแต่เพียงรอยยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสาส่งมาให้ทุกคนเพียงเท่านั้น เมื่อทุกคนอยู่คุยกันสักพักฮัวเหมยก็ได้มาจูงมือเจ้าตัวน้อยเข้ามาในห้องนอนของซินซินเพื่อจะคุยเรื่องการขายสบู่กันต่อ
“ซินซินที่อามาวันนี้อาเอาเงินค่าสบู่มาให้หนูด้วยนะคะ แล้วสบู่ที่บ้านของอาเหลืออยู่ลังเดียวแล้วหนูจะให้อาทำอย่างไรดี” ฮัวเหมยถามเจ้าตัวน้อยขึ้นมา
“พรุ่งนี้หนูจะเอาไปเพิ่มให้อีกห้าลังเลยค่ะ แต่ละลังมีห้าร้อยก้อนหนูก็ส่งให้คุณอาก้อนละหนึ่งหยวนเหมือนเดิม ว่าแต่อาเขยเขาไม่ว่าคุณอาหรือคะที่แอบขายของ” ซินซินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ไม่หรอกจ้ะเขาเองยังเอาไปขายให้กับหัวหน้าและคนที่สนิทกันด้วยเลย และทุกคนต่างก็ชอบกันมาก” ฮัวเหมยตอบหลานสาวพร้อมกับลูบหัวของหลานสาวไปด้วย หลานสาวเธออายุเพียงแค่นี้แต่ช่างฉลาดนักเธอคิด
“เรามาคิดเงินกันเถอะหลานรัก สบู่ครั้งก่อนที่หลานให้อาไว้มีสามลัง ลังละห้าร้อยก้อนคิดเป็นเงินหลานก็ได้หนึ่งพันห้าร้อยหยวนแต่อาเพิ่มให้หนูเป็นสองพันหยวนนะคะ เพราะถ้าไม่มีหนูอาคงไม่สามารถทำเงินได้มากแบบนี้” ฮัวเหมยเอาเงินให้หลานสาวตัวน้อยของตนพร้อมโอบกอดหลานด้วยความรักและขอบคุณ
“หนูว่าคุณอาลาออกดีไหมคะเพราะคุณอาท้องแล้วอยู่กับฝุ่นผงมาก ๆ จะไม่เป็นการดีทั้งคุณอาและน้องชายได้”
“นี่หนูอายุสามขวบจริงหรือเปล่าลูก ทำไมหนูถึงรู้เรื่องเยอะจัง” ฮัวเหมยพูดพร้อมบีบจมูกของหลานสาวเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“สามขวบจริงสิคะ” ซินซินตอบผู้เป็นอา ‘แต่อายุทางจิตวิญญาณนั่นนับไม่ได้แล้ว’ เธอคิดในใจ
“ไว้อาจะลองคิดดูนะคะ”
“อีกหน่อยบ้านเมืองเราก็จะขายสินค้าได้อิสระมากขึ้นใครทำก่อนก็จะรวยก่อนคุณอาเชื่อหนูไหมคะ” ซินซินมองหน้าผู้เป็นอาอย่างจริงจัง
“อามั่นใจในตัวหนูนะลูก เพราะตั้งแต่หนูเกิดมาบ้านของเราก็ดีมาตลอดหนูเป็นเทพธิดาเป็นดาวนำโชคให้กับครอบครัวของเราเลย ฉะนั้นอาเชื่อหนูทุกอย่างและอาคิดว่าถึงแม้ว่าหนูจะยังเป็นเด็กแต่หนูก็รู้สิ่งใดควรไม่ควร
แต่อาและทุกคนก็หวังอยากจะให้หนูใช้ชีวิตแบบเด็ก ๆ ให้มีความสุขเช่นกัน ดังนั้นหนูอย่านำเรื่องที่หนูรู้ไปบอกกับคนอื่นนะคะ เพราะเขาอาจจะมาทำร้ายหนูได้” ฮัวเหมยเองก็กล่าวเตือนหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา
“รับทราบค่ะ” ซินซินซึ่งรับรู้ถึงความจริงใจจากผู้เป็นอาที่ส่งมาให้ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ
“เราออกไปข้างนอกกันดีไหมคะ เดี๋ยวอาจางหยางจะสงสัยที่เราสองคนหายไปนาน”
จางหยางได้เห็นภรรยาของตนเดินจูงมือของหลานสาวตัวน้อยออกมาจากห้องแล้วก็รีบเดินมาประคองฮัวเหมยด้วยความเป็นห่วง
“คุณคะ ท้องฉันยังไม่โตนะคะฉันยังเดินได้คล่องอยู่ไม่ต้องประคองก็ได้ฉันอาย”
“คุณจะอายอะไรล่ะครับคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ผมว่าคุณไปลาออกจากงานเถอะครับผมเป็นห่วง” จางหยางพูดพร้อมกับประคองฮัวเหมยที่จูงมือหลานสาวมานั่งแล้ว
“แม่เองก็เห็นด้วยกับอาหยางนะลูก” เมื่อแม่พูดจบฮัวเหมยก็ได้มองหน้าทุกคนและก็เลยมาถึงหน้าหลานสาวตัวน้อยเป็นคนสุดท้าย
“หนูบอกคุณอาแล้ว เชื่อหนูและทุกคนเถอะค่ะ ตอนนี้รายได้ของคุณอามากกว่าทำงานหลายปีรวมกันเสียอีก” เจ้าตัวน้อยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตกลงค่ะ พรุ่งนี้หนูจะไปทำเรื่องกับฝ่ายบุคคล”
“ดีแล้วครับเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปเอง”
“กินข้าวเย็นกันได้แล้วค่ะ” เสียงของซูเหมยร้องเรียกทุกคนเมื่อเธอตั้งโต๊ะกับข้าวเสร็จแล้ว
“คืนนี้ก็นอนที่นี่นะลูก กลับมืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตราย ถึงแม้ว่าจะมีไฟตามทางแล้วแต่ถนนมันก็ยังไม่ดีนัก”
“ค่ะแม่” ฮัวเหมยตอบรับผู้เป็นแม่อย่างเชื่อฟัง
ซินซินก็ได้ผู้เป็นพ่ออุ้มเข้ามาในห้องของตัวเองเช่นเดียวกัน โดยมีแม่และพี่ชายตามมาด้วย
“แม่คะ พ่อคะ พี่คะ ซินซินรวยแล้วค่ะ วันนี้คุณอาเอาเงินค่าสบู่มาให้หนูตั้งสองพันหยวน หนูคิดว่าอีกหน่อยหากมีการเปิดโอกาสให้ซื้อบ้านกันได้เราไปซื้อบ้านแล้วย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันดีไหมคะ” ซินซินถามครอบครัวของตน
“หนูรับรองว่าครอบครัวเราจะต้องดีขึ้นมากกว่านี้อย่างแน่นอน และเราก็จะได้ไปให้ไกลจากคนบ้านหลงด้วย หนูอยากให้คุณย่าสบายกายและใจค่ะ” ซินซินพูดออกมาจากใจจริง
“หนูคิดว่าอีกหน่อยเราจะมีอิสระในการทำอะไรมากขึ้นหรือครับลูก” จินเป่าถามลูกสาวตัวน้อย
“ใช่ค่ะ แต่หนูก็ยังไม่รู้ช่วงเวลาที่แน่นอนแต่อาจจะไม่เกินห้าหรือหกปีหรอกค่ะ” ซินซินตอบขึ้นอย่างกลาง ๆ เพราะในโลกที่เธออยู่ตอนนี้เป็นโลกคู่ขนานกับโลกเดิม และถึงแม้จะมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ ดังนั้นด้านเวลาก็อาจจะมีการคลาดเคลื่อนกันก็ได้
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วหนูจะนอนคนเดียวจริงหรือลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าเธอจะถามลูกสาวตัวน้อยทุกวันก็ตาม
“นอนได้ค่ะ หนูก็นอนมาทุกวันแล้วนี่คะ” ซินซินก็ตอบเหมือนทุกวันที่แม่ถาม
“ให้พี่นอนเป็นเพื่อนดีไหมครับ” ซานซานถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“พี่ชายหนูโตแล้วนะคะ เราไม่ควรนอนด้วยกันแล้ว” ซินซินผู้ซึ่งอายุสามขวบตอบพี่ชายของตน เธอรู้ว่าพ่อแม่และพี่ชายเป็นห่วงเธอเพราะพวกเขาถามเธอมาตลอดตั้งแต่เธอแยกห้องนอนออกมาเมื่ออายุได้สามขวบเต็ม
เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบที่มั่นใจของลูกสาวตัวน้อยและน้องสาวสุดที่รักแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องแยกย้ายกันไปนอนยังห้องของตัวเอง
เช้าวันต่อมาอากาศก็ยังคงหนาวอยู่เช่นเดิม ซินซินตัวน้อยเองก็ยังคงนอนอยู่บนที่นอนนุ่มใต้ผ้าห่มอุ่นของตนอย่างมีความสุข
“เจ้าตัวน้อยกำลังจะเกิดพายุหิมะอีกครึ่งเดือนข้างหน้าจงเตรียมตัวรับมือให้พร้อมนะ แล้วห้ามขอพรให้พายุไม่เกิดล่ะ เพราะนี่เป็นชะตากรรมที่มนุษย์จะต้องพบเจอ
แต่เจ้าสามารถขอพรให้มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพื่อแจก จ่ายช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ แต่ก็จงอย่าทำมากจนเกินไปตัวเจ้าเองจะเดือดร้อนเอาได้เช่นกัน” เจ้าแม่หนี่วาได้มาเตือนซินซินในความฝัน
“เจ้าแม่อย่าเพิ่งไปเจ้าค่ะ” ซินซินส่งเสียงละเมอออกมา พร้อมกับลืมตาตื่น เธอได้คิดถึงสิ่งที่เจ้าแม่มาเตือนโดยการนั่งนิ่ง ๆ ว่าเธอควรจะทำอย่างไรดีเพราะยุคนี้หากเอาของออกมามากจนเกินไปย่อมเป็นอันตรายกับตัวเองและครอบครัวเป็นแน่
“ซินซินหนูตื่นหรือยังคะ” เสียงผู้เป็นแม่ถามลูกสาวตัวน้อยอยู่หน้าประตูห้องก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา
“เป็นอะไรไปคะ ทำหน้ายุ่งแต่เช้าเชียว”
“คุณแม่คะ หนูฝันถึงเจ้าแม่หนี่วาค่ะ ท่านมาบอกว่าอีกครึ่งเดือนจะเกิดพายุหิมะ ซึ่งหนูเองก็ไม่ทราบความรุนแรงเพราะท่านไม่ได้บอกไว้ ท่านเพียงมาบอกว่าให้เตรียมตัวให้พร้อมเพียงเท่านั้นค่ะ” เมื่อผู้เป็นแม่ได้ฟังก็ตกใจ
“เราลองออกไปปรึกษาทุกคนดูดีไหมคะ หนูไม่ต้องกังวลใจไปนะลูก” ผู้เป็นแม่ปลอบลูกสาวของตนพร้อมกับกอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน
“ค่ะแม่” ซินซินตอบรับแม่ของตนพร้อมกับสูดกลิ่นหอมจากร่างกายของผู้เป็นแม่ไปด้วย
เมื่อทุกคนได้ทานอาหารเช้าร่วมกันเสร็จแล้ว ก็พากันมานั่งเล่นที่ห้องโถงของบ้านเพราะเป็นห้องที่มีปล่องไฟทำให้คลายความหนาวลงได้มาก ฮัวเหมยและสามีก็ยังไม่ได้กลับไปเพราะข้างนอกยังมีหมอกอยู่ ทั้งสองจึงต้องรอให้สายกว่านี้เพื่อให้หมอกจางลงไปก่อน
“ซินซินเล่าว่าเจ้าแม่หนี่วาได้มาเตือนว่าอีกครึ่งเดือนจะเกิดพายุหิมะขึ้นค่ะ แต่เจ้าแม่ไม่ได้บอกว่าจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน” ซูเหมยได้พูดถึงสิ่งที่ลูกสาวตัวน้อยเล่าให้เธอฟังเมื่อเช้าออกมา
ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะภัยที่เกิดจากพายุหิมะนั้นมีความน่ากลัวมาก พอเกิดทีก็มักจะมีผู้คนอดตายและหนาวตายเป็นจำนวนมากด้วยความขาดแคลนทั้งจากอาหารและเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ยิ่งบ้านไหนไม่แข็งแรงก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะทั้งบ้านและคนก็จะจมไปพร้อมกับหิมะอันหนาวเหน็บ
“เราจะทำอย่างไรกันดีจะบอกว่าฝันถึงเทพมาเตือนก็ไม่ได้เด็ดขาด หากพูดแบบนี้ออกมาบ้านเราคงได้ถูกทหารมาจับเป็นแน่ด้วยข้อหาบูชาความเชื่อ” ผู้เป็นย่าของซินซินกล่าวขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“เดี๋ยวนะครับทำไมทุกคนถึงได้ปักใจเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงกันครับ” จางหยางถามขึ้นด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ
ทุกคนที่ได้ยินคำถามของจางหยางก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงออกมา จะบอกว่าลูกหลานของตนเป็นเทพธิดามาเกิดก็คงไม่ได้เป็นแน่ ด้วยความเงียบของทุกคนจางหยางก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกเขาจึงได้หันมามองหน้าผู้เป็นภรรยาว่าจะให้คำตอบแก่เขาได้หรือไม่
“อาจางหยางคะ อาดูนี่นะคะ” เมื่อจบคำพูดของซินซินก็มีเสื้อบุนวมตัวหนาสีดำออกมาปรากฎอยู่ในมือของเธอหนึ่งตัว จางหยางที่ได้เห็นก็ตกตะลึงเบิกตากว้างไปแล้ว เพราะว่าตอนนี้หลานสาวตัวน้อยนั่งอยู่บนพรมที่พื้นและรอบ ๆ ไม่เคยมีเสื้อตัวนี้มาก่อน แต่อยู่ดี ๆ เสื้อตัวนี้ก็มาอยู่ในมือของหลานตัวน้อยได้ยังไงกัน
ซินซินผู้แสนซนกลัวว่าอาเขยจะไม่เชื่ออีกจึงได้เสกของกินออมาวางไว้รอบตัวอย่างมากมาย ครั้งนี้จางหยางได้สูญสิ้นความสุขุมที่เคยมีอย่างสิ้นเชิง
“ซินซินหนูเป็นนางฟ้ามาเกิดหรือลูกอาตกใจมากเลย แต่หนูไม่ต้องกลัวนะอาจะปกป้องหนูอีกแรงอย่าไปทำให้ใครเห็นอีกนะครับ” จางหยางตอนนี้เชื่ออย่างสนิทใจถึงเรื่องพายุหิมะแล้ว
“อาหยางลูกไม่ตกใจหรือคิดว่าซินซินจะไม่ใช่คนบ้างหรือ” เยว่จินถามกับลูกเขยของตนด้วยความแปลกใจ
“แปลกใจมากกว่าครับแต่ไม่ได้กลัวอะไรเพราะก่อนที่ผมจะได้พบกับฮัวเหมย ผมได้เคยไปฝึกจิตอยู่กับพระอาจารย์ท่านหนึ่งท่านเคยบอกว่าสักวันผมจะได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ที่มีความพิเศษมาก ๆ ท่านบอกให้ผมคอยช่วยเป็นกำลังให้กับคนผู้นี้ด้วย” จางหยางเล่าถึงอดีตของตน
เมื่อเด็ก ๆ พากันกลับบ้านมาแล้วคนในบ้านที่พากันกลับบ้านมาก่อนก็โล่งใจเพราะพ่อกับทวดหมิงกำลังจะออกไปตามหาลูกและหลานของตนเนื่องจากพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับมาจากทุ่งนาแล้วไม่เห็นเด็ก ๆ พอถามคนที่อยู่บ้านจึงได้รู้ว่าเด็ก ๆ พากันออกไปข้างนอกกับซานซานพวกเขาจึงได้แต่ร้อนใจเพราะตอนที่พวกเขาทั้งสามกลับมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว“ปี้ชายจินไก่ย่างฮับ” เสียงแฝดผู้น้องพูดกับซานซานเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้านแล้ว จินเป่าและทวดหมิงเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งออกมาดู“มานี่กันทั้งสี่คนเลยทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งกลับมากันรู้ไหมว่าทุกคนในบ้านเป็นห่วงพวกลูกมากขนาดไหน ซานซานลูกพาน้อง ๆ ไปถึงไหนมาพ่อจะทำโทษพวกลูกบ้างแล้ว” จินเป่าพูดกับลูก ๆ ของตนด้วยความโล่งใจและโมโห“เอาหน่าพวกเด็ก ๆ ก็กลับมาแล้วหลานก็เลิกโมโหเถอะ แต่เรื่องลงโทษตาเองก็เห็นด้วยนะ” ทวดหมิงพูดกับจินเป่า แต่ประโยคหลังหันไปมองหน้าเด็กน้อยทั้งสี่“พวกเราขอโทษครับ/ค่ะ/ฮะ” ทั้งสี่คนก้มหน้ายอมรับผิดแล้วขอโทษพ่อและทวดของตน“คราวหลังพวกซานซานห้ามพาน้องออก
ตั้งแต่ที่ซินซินและซานซานมีน้องทุกวันทั้งสองจะต้องมานั่งเล่นกับน้องชายตลอด เด็กน้อยเองก็ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและรู้ความมากจนซินซินคิดว่าน้องชายคนใหม่ทั้งสองไม่น่าจะอายุแค่หนึ่งปีได้เลยพ่อได้ตั้งชื่อให้กับน้องชายทั้งสองพ้องกับผู้เป็นพี่ชายและพี่สาว โดยแฝดผู้พี่ให้ชื่อว่าซินซาน และแฝดคนน้องให้ชื่อว่าซานซิน ทั้งสองเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากและถึงแม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนซินซานนั้นจะมีความสุขุมนิ่ง ๆ เมื่อเจอกับคนอื่นแต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวเจ้าตัวมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ส่วนซานซินนั้นมักจะขี้อ้อนแต่ถ้าเวลาเจอกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้าตัวเล็กนี้ก็จะแค่ยิ้มเหมือนกับเด็กอารมณ์ดีธรรมดาเพียงเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาถูกตัวเหมือนกับแฝดพี่ของตนทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ช่างหวงเนื้อหวงตัวเสียจริง กาลเวลาก็ผันผ่านไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วซึ่งก็เป็นอะไรที่ร้อนมากจริง ๆพ่อ ทวดหมิง และแม่ซูเหมยก็พากันไปทำงานในทุ่งนาหมดแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ซินซินเมื่อเห็นทั้งสา
เมื่อเจ้าตัวน้อยตื่นนอนแล้วเธอก็ยังคงงง ๆ อยู่แล้วพยายามทบทวนความฝันว่าเจ้าแม่บอกว่ายังไงบ้าง ตอนนี้ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วจากหิมะที่ตกหนักขึ้นก็เริ่มที่จะเบาบางลง วันนี้ตั้งแต่คนบ้านซูตื่นนอนแล้วมาทานอาหารเช้าร่วมกันทุกคนต่างก็พากันแปลกใจที่เจ้าตัวน้อยของบ้านนั่งเงียบผิดปกติ เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง“ซินซินหนูเป็นอะไรคะกับข้าววันนี้ก็เป็นของโปรดของหนู ทำไมถึงได้กินน้อยจัง” ซูเหมยถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง“คือตอนรุ่งเช้าหนูฝันถึงเจ้าแม่หนี่วาค่ะ ท่านมาบอกว่ามีคนต้องการขอความช่วยเหลือจากหนูท่านให้หนูไปที่ทะเลสาบ จิวหูก็จะรู้เองค่ะ หนูก็เลยคิดว่าจะเป็นใครกัน” เจ้าตัวน้อยตอบกับทุกคนในครอบครัว“ถ้าท่านบอกมาอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อพาลูกไปดูก็แค่นั้นเอง ลูกไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเยอะหรอกครับรีบทานข้าวเถอะ เมื่อท้องอิ่มเราก็จะได้มีกำลังไงครับ” จินเป่าพูดกับลูกสาว“ทวดว่าเราทุกคนพากันไปหมดบ้านนี่แหละเหลือจินเยว่กับฮุยฟางไว้สองคนก็พอเผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้รู้” ทวดหมิง บอกกับสมาชิกทุกคน“ตกลงครับ/ค่ะ”ดังน
“ซินซินครับหนูพูดแบบนี้ไม่น่ารักนะครับลูก เรื่องของคุณปู่คุณย่าเราตัดสินใจแทนไม่ได้นะครับ” จินเป่าพูดสอนลูกสาวตัวน้อย“หนูขอโทษค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” เจ้าตัวน้อยทำหน้าตาสลดลง เธอยอมรับว่าเธอดีใจที่ได้เห็นผู้เป็นปู่จนเธอลืมคิดว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรพูดออกมา เสียทีนะเราที่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเมื่อผู้ใหญ่ทุกคนเห็นว่าเจ้าตัวน้อยที่น่ารักมีสีหน้าเศร้าหมองจากการสำนึกผิดของตนแล้วก็พากันใจอ่อนด้วยความสงสาร“รู้จักว่าตัวเองทำผิดแล้วยอมรับผิดย่าและทุกคนก็จะให้อภัย” เยว่จินพูดกับหลานสาวพร้อมลูบหัวปลอบโยนเจ้าตัวน้อยไปด้วย“ค่ะคุณย่า” เจ้าตัวน้อยเมื่อได้รับการปลอบโยนจากผู้เป็นย่าก็ยิ้มอย่างดีใจตอนนี้เธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่อยู่ ตอนเยว่จินเข้ามาใกล้อี้เฟิงเพื่อลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากหญิงในดวงใจจนหัวใจของอี้เฟิงเต้นแรงมากขึ้นจนเขากลัวว่ามันจะเต้นแรงจนจะสามารถทะลุอกของเขาออกมาได้ไหมแต่สำหรับการแสดงออกทางใบหน้าเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการเขินอายออกมา ทำไมม
หลังจากที่ทุกคนอยู่คุยกันที่บ้านของซูจ้านไปสักพัก จนตอนนี้เวลาก็บ่ายมากแล้วพวกเขาทุกคนก็ต่างมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะกลับบ้านของจินเป่าได้แล้ว“อาจ้านพ่อกับแม่ไปก่อนนะอย่าลืมล่ะว่าถ้ามีเวลาก็ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนั้น แล้วก็บอกลูกเมียของแกไว้ด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องแวะไปหาพ่อที่โรงถ่านหินนั่นอีกแล้ว และเมียแกกับลูกสะใภรวมทั้งหลานชายของแกจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ หรือว่าทางฐานทัพที่ซูอวิ้นอยู่ก็มีหิมะตกหนักเหมือนกัน จนรถเดินทางไม่ได้” ซูหมิงถามผู้เป็นลูกชาย“ใช่ครับพ่อวันก่อนผมโทรไปสอบถามที่ฐานที่ซูอวิ้นประจำการอยู่บอกว่ารถไม่สามารถเดินทางได้ ทุกคนจึงต้องอยู่กับเขาอีกสักพักจนหิมะหยุดและสามารถเปิดทางเดินรถได้โน่นแหละครับ”“ถ้าอย่างนั้นแกก็ปิดบ้านแล้วไปอยู่บ้านน้องสาวของแกกับพ่อแม่ไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงนี้โรงงานก็ปิดอยู่นี่” ฮุยฟางก็ถามผู้เป็นลูกขึ้นมาบ้าง“ยังไปไม่ได้หรอกครับถึงโรงงานจะปิดผมก็ยังต้องตรวจเอกสารบางอย่างอยู่ แล้วช่วงนี้เจ้าหลานเขยก็ต้องไปลงพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยด้วยทำให้ฮัวเหมยต้องอยู่คนเดียวผมก็ต้องแวะไปดูหลานสาวบ่อย ๆ เพราะเจ้าหลานเ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากครอบครัวบ้านซูกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อและลูกชายหญิงก็พากันออกไปด้านนอก ตอนนี้หิมะได้กองทับถมกันตามพื้นทำให้มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ซินซินเห็นดังนี้จึงคิดว่าควรจะใช้รถลากสำหรับการเดินทางผ่านหิมะดีกว่า“พ่อจ๋าเราใช้รถลากเลื่อนสำหรับการเดินทางผ่านหิมะกันดีไหม หนูจะขอพรให้เรามีรถลากเลื่อนพร้อมสุนัขตัวโตสักหกตัวให้สามารถลากรถพาพวกเราทั้งสามเข้าไปเมืองได้” เจ้าตัวน้อยถามความคิดเห็นของผู้เป็นพ่อ“ก็ดีเหมือนกันนะลูก ขอแบบมีหลังคากันหิมะด้วยได้ไหมครับ”หลังจบคำพูดของผู้เป็นพ่อก็มีรถลากเลื่อนคันใหญ่ขนาดที่ผู้ใหญ่สามคนนั่งได้สบาย ๆ พร้อมสุนัขตัวโตขนปุยสีเทาขาวตาสีฟ้าปรากฎขึ้นพร้อมกับรถลากหกตัว แต่ละตัวสูงเท่าเอวของจินเป่าที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเลยทีเดียว จินเป่าและซานซานที่ได้เห็นรถพร้อมสุนัขที่ลูกสาวและน้องสาวขอพรออกมาต่างก็ตกใจจนตาโตกันไปแล้ว“ฮ่า ๆ พ่อคะพี่คะเรามาขึ้นรถสุดหรูกันเถอะค่ะ” เจ้าแสบตัวน้อยหัวเราะพ่อของตนและพี่ชายเมื่อทั้งสามขึ้นมานั่งบนรถลากเลื่อนคันนี้แล้







