ทุกคนเลิกงานกลับมา พบว่าบ้านว่างเปล่า ความหมายในที่นี้คือไม่มีอาหารวางบนโต๊ะเหมือนเมื่อสองวันก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน
“อะไรกัน เลิกงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาหิ้วท้องรออีกเหรอให้ตายเถอะ” สะใภ้รองกลอกตามองบนบ่นอุบ
“เอาน่า คุณก็ไปช่วยพี่สะใภ้ทำมื้อเย็นเถอะจะได้เสร็จเร็วๆ” อารองผลักไหล่ภรรยาให้เดินเข้าในในครัว เขาเองก็หิวจนตายลายแล้วเหมือนกัน
หลิวซือถอนหายใจ แต่คิดว่าลูกสาวคงจะยังไม่หายป่วยเลยไม่ได้พูดอะไร สองสะใภ้ช่วยกันทำมื้อเย็น ส่วนย่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน เพราะตอนนี้ภาพในหัวของท่านไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็นึกถึงเงินก้อนในห่อผ้าเก่าๆ นั้นจนทำให้นอนไม่หลับ
ทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังนอนหนุนตักผู้เป็นยาย ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
“ยายคะ พี่ใหญ่ แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”
ช่วงนี้ปิดเทอมก็จริง แต่เพราะกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม หลี่เฟินผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือก็มักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ค่อยอยู่บ้าน
“หลานไปกินข้าวเถอะ ยายกับพี่เขากินกันมาแล้วล่ะ” ยายหลิวบอกหลานสาว
ถึงจะเป็นหลานที่ออกมาจากแม่คนเดียวกัน ทว่าความผูกพันที่ท่านมีต่อหลานสาวคนเล็กนั้นกลับบางเบามาก ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่เลี้ยงมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ทั้งยังคิดว่าหลานคนเล็กได้รับทั้งความรักจากพ่อและแม่ ต่างจากหลานสาวคนโตที่มีเพียงตนคนเดียว ท่านจึงไม่ค่อยสุงสิงกับหลานสาวคนเล็กมากนัก
“ค่ะ” หลี่เฟินพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็ปิดประตูกลับคืนตามเดิม
หลิวซือที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินบทสนทนาทุกอย่าง นึกตำหนิแม่ของตัวเองอยู่ในใจ แกขนาดนี้แล้วทำไมถึงได้ทำตัวประชดเป็นเด็กไปได้
ย่าหลี่กลับโล่งใจที่ไม่เห็นสองยายหลาน รู้สึกเหมือนครอบครัวกลับมาสงบอีกครั้ง เหมือนครั้งที่พวกเขายังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่
“จริงสิ ได้ข่าวว่าหัวหน้าเรียกตัวให้ไปพบเหรอ” ย่าหลี่ถามขึ้น เพราะทั้งสองทำงานที่เดียวกัน
“ค่ะ แต่ฉันบอกไปแล้วละค่ะ หัวหน้าเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร” หลิวซือตอบ แต่ไม่ได้พูดถึงปัญหาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อน ว่าคนที่ช่วยชีวิตลูกสาวคือใคร เป็นหนุ่มโสดหรือแต่งงานแล้ว เพราะหากว่าเป็นอย่างหลัง เรื่องยุ่งยากคงจะตามมาอีกเยอะเลยทีเดียว
“อืม อย่าให้ส่งผลกับคนอื่นแล้วก็เงินพิเศษประจำปีเป็นใช้ได้”
ย่าหลี่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะตัวต้นเหตุของเรื่องยังไงก็คือลูกสาวคนโปรดของท่านอยู่ เลยทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งไม่ถือสา
ผ่านไปหลายวัน สองยายหลานยังคงทำตัวเหมือนเดิม คือไม่ทำงานบ้าน ช่วงเช้าก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ช่วงเย็นกลับบ้านมาก็หลบเข้าห้อง
หลิวซือเองก็ไม่กล้าสู้หน้า แต่เพราะหัวหน้าเร่งเอาคำตอบเรื่องคนที่ช่วยชีวิตลูกสาว เธอเลยต้องมาที่ห้องของลูกสาวในเวลานี้
“ยังไม่นอนกันอีกเหรอคะ” หลิวซือเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นแม่กับลูกสาวยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ มองดูแล้วเป็นภาพที่ทำให้ใครหลายคนนึกอิจฉา
“มีเรื่องอะไรเหรอ” ยายหลิวหันไปพูดกับลูกสาว ทั้งที่มือของท่านยังลูบหน้าผากของหลานสาวอยู่
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับหลานสาวแม่หน่อยน่ะค่ะ เสี่ยวเหลียนออกมาคุยกันหน่อยสิ” ประโยคสุดท้ายเธอหันไปพูดกับลูกสาวเสียงเรียบ
“มีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงนี้แหละ ให้ฉันได้ยินด้วย” ทว่ายายหลิวกลับพูดขัดขึ้นมาก่อนที่เสี่ยวเหลียนจะลุกขึ้นจากตักอุ่นของท่านด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะถามอาการนิดหน่อย”
“ก็ถ้าแค่ถามอาการป่วย ทำไมจะต้องออกไปคุยข้างนอกด้วย ไร้สาระจริงๆ แกเนี่ย หมอหลี่บอกแล้วว่าร่างกายเสี่ยวเหลียนไม่แข็งแรง อย่างน้อยๆ ต้องนอนพักอีกเป็นเดือน หรือไม่ก็จนกว่าจะเปิดเรียนนั่นแหละ” ยายหลิวบอกปัด เพราะคิดว่าลูกสาวน่าจะมาบอกให้หลานสาวของท่านกลับไปทำงานบ้านตามเดิม
ท่านไม่ติดใจอะไรหากจะอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแล้วสามารถช่วยงานเล็กๆ น้อย แต่พอมองย้อนกลับมาแล้ว คนพวกนั้นไม่ได้เห็นว่าตัวเองกับหลานสาวเป็นญาติ หากแต่เป็นเหมือนคนงานที่มาทำงานเพื่ออาศัยที่ซุกหัวนอนมากกว่า แบบนี้ท่านรับไม่ได้
“ไม่ได้พูดเรื่องนั้นหรอกค่ะแม่วางใจได้ ถ้าไม่อยากทำงานบ้านแล้วฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่แม่ย่าลืมว่าเสี่ยวเหลียนก็โตพอที่จะช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว” หลินซืออดที่จำตำหนิแม่ตัวเองกลายๆ ไม่ได้ที่เอาแต่ให้ท้ายหลาน
“แกไม่ต้องมาเป็นห่วงเรื่องพวกนี้หรอก เสี่ยวเหลียนหากินเป็นตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ หุงข้าวเป็นตั้งแต่อายุ 6 ขวบเสียด้วยซ้ำ ลูกสาวคนเล็กของแกน่ะก็รู้จักสอนบ้าง จนป่านนี้เสื้อผ้ายังต้องซักให้อยู่เลย วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ อ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ใช่เหมือนลูกชายบ้านรองที่บอกไปอ่านหนังสือแต่ไปโผล่อีกที่”
“แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” หลิวซือถามหน้าตึง
หากพูดถึงลูกทั้งสองคน แน่นอนว่าหลี่เฟินคือคนที่เธอภูมิใจมากที่สุด นอกจะจะเรียนที่โณงเรียนอันดับหนึ่งแล้ว ยังเรียนได้อันดับหนึ่งของสายชั้นอีกด้วย อนาคตยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะต้องไปได้ไกลแน่
“หมายความว่า แกมีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมันเสียตรงนี้เลย แต่ถ้าไม่มีก็ออกไปเถอะพวกเรากำลังจะเข้านอน”
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นก็พักผ่อนเถอะ”
สุดท้ายหลิวซือก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ตัวเองสงสัย พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปตอบคำถามหัวหน้า เห็นทีว่าคงต้องคอยหลบหน้าไปสักพัก รอให้เรื่องซากว่านี้ อีกเดี๋ยวก็คงจะลืมกันไปเอง
15 สิงหาคม 1975
อีกไม่ถึงสองสัปดาห์โรงเรียนก็จะเปิดแล้ว แต่ยายหลิวได้รับแจ้งจากผู้นำหมู่บ้าน ว่าให้ท่านกลับไปเพื่อลงชื่อรับเงินชดเชยจากทางการ
“ให้ฉันไปด้วยนะคะ” จ้าวเสี่ยวเหลียนบอก เธอไม่อยากอยู่ที่บ้านหลี่คนเดียว
ตอนนี้อาการป่วยของเธอหายแล้ว แต่ว่ายายหลิวไม่ยอมให้กลับไปทำงานบ้าน และตั้งแต่เกิดเรื่องพวกเขาก็ไม่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนบ้านหลี่อีกเลย
แรกๆ ย่าหลี่ก็ถามตามมารยาท แต่หลังๆ มาท่านก็ไม่ถามแล้ว ได้ข่าวจากเพื่อนบ้านว่าสองยายหลานออกไปกินข้าวข้างนอกเป็นว่าเล่น ได้ยินแบบนั้นแล้วก็รู้สึกปวดใจกับเงินที่ทั้งสองคนจ่ายไป
“จะไปทำไม จากนี่ไปไม่ใช่ใกล้ๆ เดินทางก็หลายวันแล้ว ใกล้จะเปิดเทอมเต็มทีแล้ว อยู่ที่นี่แหละ” ยายหลิวบอก
ตอนแรกท่านเกือบจะใจอ่อนยอมให้หลานสาวไปด้วย มาคิดดูอีกทีก็อยากจะสอนหลานสาวไปในตัว เพราะทั้งสองอยู่แต่ในที่แคบ ไม่เคยได้มาสัมผัสกับผู้คนในเมืองจริงๆ ว่าเป็นคนแบบไหน
“ยาย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยายไปแล้วเดี๋ยวเดียวก็กลับมา จริงสิ พรุ่งนี้ยายจะพาไปซื้อชุดก่อน พอเปิดเทอมจะได้ไม่วุ่นวาย”
“ยายบอกแม่หรือยังคะ”
“เอาไว้ใกล้ๆ วันที่จะไปค่อยบอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก” ยายหลิวบอกปัด
จ้าวเสี่ยวเหลียนนอนคิดทั้งคืน ว่าจะทำยังไงหลังจากที่ยายกลับบ้านที่ชนบท เพราะเชื่อว่าคนบ้านหลี่จะต้องรอจังหวะนี้อยู่แน่ๆ
ตั้งแต่เกิดเรื่องอาสามก็หายไปเลย ไม่แน่ว่าพอหล่อนรู้ข่าวเรื่องที่ยายหลิวไม่อยู่ ก็อาจจะมาพูดเรื่องแต่งงานนี้อีก เพราะฉะนั้นเธอจำเป็นต้องรีบหาเงินและพายายย้ายออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด
แต่เพราะในหมู่บ้านมีเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะถึงหูกันหมดอย่ารวดเร็ว ภายในวันเดียวกันนั้นหลิวซือก็ได้รู้ว่าแม่ของเธอกำลังจะกลับบ้าน
จะทำยังไงน้อ สงสารน้องจังวุ้ย อิอิ
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว