ทุกคนเลิกงานกลับมา พบว่าบ้านว่างเปล่า ความหมายในที่นี้คือไม่มีอาหารวางบนโต๊ะเหมือนเมื่อสองวันก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน
“อะไรกัน เลิกงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาหิ้วท้องรออีกเหรอให้ตายเถอะ” สะใภ้รองกลอกตามองบนบ่นอุบ
“เอาน่า คุณก็ไปช่วยพี่สะใภ้ทำมื้อเย็นเถอะจะได้เสร็จเร็วๆ” อารองผลักไหล่ภรรยาให้เดินเข้าในในครัว เขาเองก็หิวจนตายลายแล้วเหมือนกัน
หลิวซือถอนหายใจ แต่คิดว่าลูกสาวคงจะยังไม่หายป่วยเลยไม่ได้พูดอะไร สองสะใภ้ช่วยกันทำมื้อเย็น ส่วนย่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน เพราะตอนนี้ภาพในหัวของท่านไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็นึกถึงเงินก้อนในห่อผ้าเก่าๆ นั้นจนทำให้นอนไม่หลับ
ทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังนอนหนุนตักผู้เป็นยาย ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
“ยายคะ พี่ใหญ่ แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”
ช่วงนี้ปิดเทอมก็จริง แต่เพราะกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม หลี่เฟินผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือก็มักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ค่อยอยู่บ้าน
“หลานไปกินข้าวเถอะ ยายกับพี่เขากินกันมาแล้วล่ะ” ยายหลิวบอกหลานสาว
ถึงจะเป็นหลานที่ออกมาจากแม่คนเดียวกัน ทว่าความผูกพันที่ท่านมีต่อหลานสาวคนเล็กนั้นกลับบางเบามาก ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่เลี้ยงมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ทั้งยังคิดว่าหลานคนเล็กได้รับทั้งความรักจากพ่อและแม่ ต่างจากหลานสาวคนโตที่มีเพียงตนคนเดียว ท่านจึงไม่ค่อยสุงสิงกับหลานสาวคนเล็กมากนัก
“ค่ะ” หลี่เฟินพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็ปิดประตูกลับคืนตามเดิม
หลิวซือที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินบทสนทนาทุกอย่าง นึกตำหนิแม่ของตัวเองอยู่ในใจ แกขนาดนี้แล้วทำไมถึงได้ทำตัวประชดเป็นเด็กไปได้
ย่าหลี่กลับโล่งใจที่ไม่เห็นสองยายหลาน รู้สึกเหมือนครอบครัวกลับมาสงบอีกครั้ง เหมือนครั้งที่พวกเขายังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่
“จริงสิ ได้ข่าวว่าหัวหน้าเรียกตัวให้ไปพบเหรอ” ย่าหลี่ถามขึ้น เพราะทั้งสองทำงานที่เดียวกัน
“ค่ะ แต่ฉันบอกไปแล้วละค่ะ หัวหน้าเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร” หลิวซือตอบ แต่ไม่ได้พูดถึงปัญหาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อน ว่าคนที่ช่วยชีวิตลูกสาวคือใคร เป็นหนุ่มโสดหรือแต่งงานแล้ว เพราะหากว่าเป็นอย่างหลัง เรื่องยุ่งยากคงจะตามมาอีกเยอะเลยทีเดียว
“อืม อย่าให้ส่งผลกับคนอื่นแล้วก็เงินพิเศษประจำปีเป็นใช้ได้”
ย่าหลี่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะตัวต้นเหตุของเรื่องยังไงก็คือลูกสาวคนโปรดของท่านอยู่ เลยทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งไม่ถือสา
ผ่านไปหลายวัน สองยายหลานยังคงทำตัวเหมือนเดิม คือไม่ทำงานบ้าน ช่วงเช้าก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ช่วงเย็นกลับบ้านมาก็หลบเข้าห้อง
หลิวซือเองก็ไม่กล้าสู้หน้า แต่เพราะหัวหน้าเร่งเอาคำตอบเรื่องคนที่ช่วยชีวิตลูกสาว เธอเลยต้องมาที่ห้องของลูกสาวในเวลานี้
“ยังไม่นอนกันอีกเหรอคะ” หลิวซือเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นแม่กับลูกสาวยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ มองดูแล้วเป็นภาพที่ทำให้ใครหลายคนนึกอิจฉา
“มีเรื่องอะไรเหรอ” ยายหลิวหันไปพูดกับลูกสาว ทั้งที่มือของท่านยังลูบหน้าผากของหลานสาวอยู่
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับหลานสาวแม่หน่อยน่ะค่ะ เสี่ยวเหลียนออกมาคุยกันหน่อยสิ” ประโยคสุดท้ายเธอหันไปพูดกับลูกสาวเสียงเรียบ
“มีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงนี้แหละ ให้ฉันได้ยินด้วย” ทว่ายายหลิวกลับพูดขัดขึ้นมาก่อนที่เสี่ยวเหลียนจะลุกขึ้นจากตักอุ่นของท่านด้วยซ้ำ
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะถามอาการนิดหน่อย”
“ก็ถ้าแค่ถามอาการป่วย ทำไมจะต้องออกไปคุยข้างนอกด้วย ไร้สาระจริงๆ แกเนี่ย หมอหลี่บอกแล้วว่าร่างกายเสี่ยวเหลียนไม่แข็งแรง อย่างน้อยๆ ต้องนอนพักอีกเป็นเดือน หรือไม่ก็จนกว่าจะเปิดเรียนนั่นแหละ” ยายหลิวบอกปัด เพราะคิดว่าลูกสาวน่าจะมาบอกให้หลานสาวของท่านกลับไปทำงานบ้านตามเดิม
ท่านไม่ติดใจอะไรหากจะอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแล้วสามารถช่วยงานเล็กๆ น้อย แต่พอมองย้อนกลับมาแล้ว คนพวกนั้นไม่ได้เห็นว่าตัวเองกับหลานสาวเป็นญาติ หากแต่เป็นเหมือนคนงานที่มาทำงานเพื่ออาศัยที่ซุกหัวนอนมากกว่า แบบนี้ท่านรับไม่ได้
“ไม่ได้พูดเรื่องนั้นหรอกค่ะแม่วางใจได้ ถ้าไม่อยากทำงานบ้านแล้วฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่แม่ย่าลืมว่าเสี่ยวเหลียนก็โตพอที่จะช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว” หลินซืออดที่จำตำหนิแม่ตัวเองกลายๆ ไม่ได้ที่เอาแต่ให้ท้ายหลาน
“แกไม่ต้องมาเป็นห่วงเรื่องพวกนี้หรอก เสี่ยวเหลียนหากินเป็นตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ หุงข้าวเป็นตั้งแต่อายุ 6 ขวบเสียด้วยซ้ำ ลูกสาวคนเล็กของแกน่ะก็รู้จักสอนบ้าง จนป่านนี้เสื้อผ้ายังต้องซักให้อยู่เลย วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ อ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ใช่เหมือนลูกชายบ้านรองที่บอกไปอ่านหนังสือแต่ไปโผล่อีกที่”
“แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” หลิวซือถามหน้าตึง
หากพูดถึงลูกทั้งสองคน แน่นอนว่าหลี่เฟินคือคนที่เธอภูมิใจมากที่สุด นอกจะจะเรียนที่โณงเรียนอันดับหนึ่งแล้ว ยังเรียนได้อันดับหนึ่งของสายชั้นอีกด้วย อนาคตยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะต้องไปได้ไกลแน่
“หมายความว่า แกมีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมันเสียตรงนี้เลย แต่ถ้าไม่มีก็ออกไปเถอะพวกเรากำลังจะเข้านอน”
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นก็พักผ่อนเถอะ”
สุดท้ายหลิวซือก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ตัวเองสงสัย พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปตอบคำถามหัวหน้า เห็นทีว่าคงต้องคอยหลบหน้าไปสักพัก รอให้เรื่องซากว่านี้ อีกเดี๋ยวก็คงจะลืมกันไปเอง
15 สิงหาคม 1975
อีกไม่ถึงสองสัปดาห์โรงเรียนก็จะเปิดแล้ว แต่ยายหลิวได้รับแจ้งจากผู้นำหมู่บ้าน ว่าให้ท่านกลับไปเพื่อลงชื่อรับเงินชดเชยจากทางการ
“ให้ฉันไปด้วยนะคะ” จ้าวเสี่ยวเหลียนบอก เธอไม่อยากอยู่ที่บ้านหลี่คนเดียว
ตอนนี้อาการป่วยของเธอหายแล้ว แต่ว่ายายหลิวไม่ยอมให้กลับไปทำงานบ้าน และตั้งแต่เกิดเรื่องพวกเขาก็ไม่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนบ้านหลี่อีกเลย
แรกๆ ย่าหลี่ก็ถามตามมารยาท แต่หลังๆ มาท่านก็ไม่ถามแล้ว ได้ข่าวจากเพื่อนบ้านว่าสองยายหลานออกไปกินข้าวข้างนอกเป็นว่าเล่น ได้ยินแบบนั้นแล้วก็รู้สึกปวดใจกับเงินที่ทั้งสองคนจ่ายไป
“จะไปทำไม จากนี่ไปไม่ใช่ใกล้ๆ เดินทางก็หลายวันแล้ว ใกล้จะเปิดเทอมเต็มทีแล้ว อยู่ที่นี่แหละ” ยายหลิวบอก
ตอนแรกท่านเกือบจะใจอ่อนยอมให้หลานสาวไปด้วย มาคิดดูอีกทีก็อยากจะสอนหลานสาวไปในตัว เพราะทั้งสองอยู่แต่ในที่แคบ ไม่เคยได้มาสัมผัสกับผู้คนในเมืองจริงๆ ว่าเป็นคนแบบไหน
“ยาย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยายไปแล้วเดี๋ยวเดียวก็กลับมา จริงสิ พรุ่งนี้ยายจะพาไปซื้อชุดก่อน พอเปิดเทอมจะได้ไม่วุ่นวาย”
“ยายบอกแม่หรือยังคะ”
“เอาไว้ใกล้ๆ วันที่จะไปค่อยบอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก” ยายหลิวบอกปัด
จ้าวเสี่ยวเหลียนนอนคิดทั้งคืน ว่าจะทำยังไงหลังจากที่ยายกลับบ้านที่ชนบท เพราะเชื่อว่าคนบ้านหลี่จะต้องรอจังหวะนี้อยู่แน่ๆ
ตั้งแต่เกิดเรื่องอาสามก็หายไปเลย ไม่แน่ว่าพอหล่อนรู้ข่าวเรื่องที่ยายหลิวไม่อยู่ ก็อาจจะมาพูดเรื่องแต่งงานนี้อีก เพราะฉะนั้นเธอจำเป็นต้องรีบหาเงินและพายายย้ายออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด
แต่เพราะในหมู่บ้านมีเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะถึงหูกันหมดอย่ารวดเร็ว ภายในวันเดียวกันนั้นหลิวซือก็ได้รู้ว่าแม่ของเธอกำลังจะกลับบ้าน
จะทำยังไงน้อ สงสารน้องจังวุ้ย อิอิ
ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ