สุดท้ายแล้วจ้าวเสี่ยวเหลียนก็ได้เข้ามาในตลาดมืดแห่งนี้ ของบางอย่างวางขายราวกับว่าเป็นตลาดสด ส่วนมากแล้วเป็นของที่ถูกจำกัดทั่วไปไม่มีมีอะไรพิเศษ
“สาวน้อย มองหาอะไรอยู่เหรอ” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ดูๆ ไปแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะพี่สาว” เสี่ยวเหลียนทักทายอีกฝ่าย เธอกำลังต้องการข้อมูลอยู่พอดี
“ฉันเห็นเธอเดินเข้ามาสักพักแล้วแต่ไม่เห็นซื้ออะไร เลยคิดว่าน่าจะยังไม่เจอของที่อยากได้ ว่ายังไงล่ะ หาอะไรอยู่เผื่อว่าฉันจะช่วยหาได้”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันกำลังหาของอยู่ล่ะ” เสี่ยวเหลียนไม่ตอบคำถาม แต่เป็นฝ่ายถามอีกฝ่ายแทน
“ไม่มีใครที่เข้ามาแล้วอยู่นานเท่าเธอแล้วล่ะ ได้ของที่ต้องการแล้วก็รีบออกจากที่นี่กันทั้งนั้น” หญิงสาวตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“งั้นเหรอ แบบนี้เองสินะ” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์
ตกลงว่าหาอะไรจะได้ช่วยหา คิดว่าน้ำไม่แพงหรอก"
“ค่าน้ำ” เสี่ยวเหลียนทวนคำ
“ใช่แล้ว ค่าเดินทางน่ะ ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ หรอกนะ อยากได้ก็ต้องยอมจ่าย” อีกฝ่ายมองอย่าประเมินท่าที
คนที่ตัดสินใจเข้ามาในตลาดมืด ส่วนมากแล้วเป็นพวกมีเงินพร้อมจ่าย หรือไม่ก็เป็นพวกพ่อค้าแม่ค้ากันเอง แต่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะมาซื้อมากกว่าขาย
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณพี่สาวมาก” เสี่ยวเหลียนปฏิเสธ เพราะเธอไม่อยากได้อะไร แค่กำลังมองหาว่าคนส่วนใหญ่ที่มาซื้อของยังสถานที่ต้องห้ามนี้ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาต้องการอะไรเท่าทีเธอเห็น ส่วนมากแล้วจะเป็นของกิน ไม่ก็ของใช้ทั่วไปแต่ถูกจำกัดปริมาณการขาย พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ปริมาณสินค้ามีน้อยกว่าปริมาณความต้องการของผู้บริโภค
“แล้วก็ไม่พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เสียเวลาจริงๆ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ หญิงสาวก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงหนีไป
กลับมาถึงบ้านหลี่ก็เห็นว่าหลิวซือผู้เป็นแม่นั่งหน้าบูดรอที่บ้าน มองดูนาฬิกาแขวนตรงผนังพบว่าตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว แม่น่าจะออกไปทำงานแล้วถึงจะถูก
“ไปไหนมา” หลิวซือถามเสียงเรียบ
“ไปส่งยายมาค่ะ” เธอไม่ปิดบัง เพราะยังไงวันนี้ทุกคนก็จะต้องรู้อยู่ดี
“ทำไมแกถึงไม่บอกฉัน ปล่อยให้ยายกลับไปคนเดียวแบบนั้นได้ยังไง”
“แล้วแม่จะให้ฉันทำยังไงละคะ ถ้าบอกแล้วแม่จะลางานไปเป็นเพื่อนยายเหรอ ก็ไม่น่าใช่” ประโยคสุดท้ายเธอแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามอไม่อยู่
“ฉันไปไม่ได้เพราะทำงานไม่ใช่ว่าไม่อยากไป แกก็น่าจะรู้ว่ายายอยู่ชนบทมาตั้งแต่เกิด ไม่คุ้นชินกับเดินทางไกลแบบนี้ ไหนบอกว่ารักยายนักหนา ทำไมแกไม่ยอมตามยายไป”
“ฉันก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่ติดที่ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว” เสี่ยวเหลียนพูด
หลิวซือได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เธอเคยวาดฝันว่าอยากให้ลูกสาวมาอยู่ด้วย เพื่อที่ตนเองจะได้ชดเชยกับสิ่งที่ทำพลาด แต่พอเอาเข้าจริงๆ เธอเองก็เริม่ไม่มั่นใจว่ายังต้องการแบบนั้นอยู่หรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เข้ากับลูกสาวเลย แม้ว่าจะพยายามปรับตัวแล้วก็ตาม
“แกพูดเรื่องนี้มาก็ดีแล้วเหมือนกัน”
จ้าวเสี่ยวเหลียนฟังแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทีหน้า ท่าทางของผู้เป็นแม่บ่งบอกว่าไม่ได้พูดเล่น
“ฉันจะพาแกไปเจอคนคนหนึ่ง”
“ใครคะ” เสี่ยวเหลียนถอยหลังตามสัญชาตญาณ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าของร่างก่อนหน้าแล้วได้รู้สึกไม่ปลอดภัย
“ไม่ต้องมองฉันเป็นนางมารขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกน่า” หลิวซือเห็นท่าทางของลูกสาวแล้วได้แต่กรอกตามองบน
“ถ้างั้นก็บอกมาก่อนสิคะว่าจะพาไปพบใคร”
“ถึงแล้วก็จะรู้เองล่ะน่า ไปเร็วเข้าสายมากแล้ว” หลิวซือไม่ตอบคำถาม แต่เดินมาจูงแขนลูกสาวให้เดินตามหลังตัวเองไปยังสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้
สุดท้ายแล้วเสี่ยวเหลียนจำเป็นต้องเดินตามแม่มายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านขายเกี๊ยวธรรมดาทั่วไป ข้างในร้านมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้โต๊ะต้องกลอกตามองบน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาสามนั่นเอง
“มาแล้วเหรอ” อาสามลุกขึ้นยืน ยิ้มทักทายเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“เสี่ยวเหลียน” หลิวซือเรียกชื่อลูกสาว
“สวัสดีค่ะ” ทำให้เธอจำเป็นต้องทักทายอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“เอาล่ะๆ นั่งลงสั่งอะไรมากกินก่อน ไหนๆ ก็ยังไม่ถึงเวลา”
อาสามารับหน้าที่สั่งอาหารในร้าน ส่วนเสี่ยวเหลียนได้แต่กอดตัวเองแน่น อยากจะรู้เหมือนกันว่าแผนการณ์วันนี้เป็นยังไง
เธอคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าถ้าหากไม่มียายหลิวคอยปกป้อง ต่อไปเธอก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในดงเสือ ดงจระเข้ จำเป็นต้องโอนอ่อนไปตามคำพูดของทุกคน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
“ฉันกินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ โชคดีที่แม่ไม่อยู่ ตอนแรกก็มืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี” หลิวซือพูดพร้อมทั้งมองหน้าลูกสาว
“เอาเถอะค่ะพี่สะใภ้ รอฟังก่อนว่าทั้งนั้นจะพูดอะไร ถ้าดีเราก็แค่เราเอาไว้ แต่ถ้าไม่ดีก็หาทางบอกปัดก็เท่านั้น ดีกว่าปล่อยให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน เท่าที่รู้ตอนนี้คงไม่มีใครอยากเกี่ยวดองกับบ้านเราแล้ว” อาสามพูดพร้อมทั้งมองหน้าจ้าวเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนนั่งนิ่ง กำลังวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ถ้าให้เดาแน่นอนว่าเรื่องจะต้องเกี่ยวกับเธอไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก
ผ่านไปสักพักบะหมี่เกี๊ยวน้ำก็ถูกวางตรงหน้า เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นหอมของอาหารก็ก้มหน้าก้มตากิน เธอไม่ใช่พวกไม่พอใจก็อดอาหารประท้วง คิดว่าคนพวกนั้นสิ้นคิด เพราะถ้าท้องไม่อิ่ม สมองจะมีแรงคิดแก้ไข้ปัญหาได้ยังไงกันล่ะ
ไม่นานเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดของใครบางคน ที่ทำเอาคนฟังต้องหันกลับไปมองเป็นตาเดียว
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า พอดีว่าไม่ค่อยชินกับตรอกนี้เท่าไหร่”
ร่างของหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับร่มที่ถือว่าไว้บังแดด แต่พอหล่อนหุบร่มลง ก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าสวย เรียบเนียนไม่มีจุดด่างดำเลยแม้แต่นิดเดียวไม่บอกก็รู้ว่าเป็นพวกผู้ดีมีเงิน น่าจะไม่เคยทำงานตากแดด ชีวิตนี้เคยสัมผัสกับคำว่าแดดเผาหรือเปล่าก็ไม่รู้
“สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ พวกเราก็มาถึงได้สักพักนี้เอง” อาสามจัดการเลื่อนชามบะหมี่ของตนเองไปตรงหน้าของพี่สะใภ้ใหญ่ ที่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายมองตนเองใหม่ รวมถึงพี่สะใภ้ของเธอด้วย
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถอะ” คนมาใหม่ผายมือเชื้อเชิญให้คนอื่นนั่งตามอัธยาศัย
เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว อีกฝ่ายก็กวาดสายสังเกตจ้าวเสี่ยวเหลียนอย่างพินิจพิเคราะห์ จนทำเอาเจ้าตัวปั้นหน้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงถึงจะไม่ให้โดนจับได้
“คุณพี่มาก็ดีแล้วละค่ะ ถือโอกาสแนะนำตัวกันเลยก็แล้วกันนะคะ” อาสามพูดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำครอบครัวหลีให้อีกฝ่ายได้รู้จักอย่างถี่ท้วน
“สวัสดีจ้ะหนูเสี่ยวเหลียน ฉันชื่อหยางเถาฮวา เรียกว่าป้าเถาฮวาก่อนก็ได้ เพราะอีกหน่อยก็จะกลายเป็นทองแผ่เดียวกันแล้ว”
เสี่ยวเหลียนกำลังจะทักทายตามมารยาท แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างอยู่แบบนั้น ถ้าเดาไม่ผิดนี่จะเรียกว่าดูตัว มากกว่ามาพบคนคนหนึ่งเฉยๆๆ เหมือนที่แม่ของเธอบอก
ใครมาอีกล่ะ โผล่มาไม่เว้นวันกันเลยทีเดียว คริๆ
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว