Share

13

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-11 15:30:13

สุดท้ายแล้วจ้าวเสี่ยวเหลียนก็ได้เข้ามาในตลาดมืดแห่งนี้ ของบางอย่างวางขายราวกับว่าเป็นตลาดสด ส่วนมากแล้วเป็นของที่ถูกจำกัดทั่วไปไม่มีมีอะไรพิเศษ

“สาวน้อย มองหาอะไรอยู่เหรอ” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ดูๆ ไปแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วยซ้ำ

“สวัสดีค่ะพี่สาว” เสี่ยวเหลียนทักทายอีกฝ่าย เธอกำลังต้องการข้อมูลอยู่พอดี

“ฉันเห็นเธอเดินเข้ามาสักพักแล้วแต่ไม่เห็นซื้ออะไร เลยคิดว่าน่าจะยังไม่เจอของที่อยากได้ ว่ายังไงล่ะ หาอะไรอยู่เผื่อว่าฉันจะช่วยหาได้”

“ทำไมถึงคิดว่าฉันกำลังหาของอยู่ล่ะ” เสี่ยวเหลียนไม่ตอบคำถาม แต่เป็นฝ่ายถามอีกฝ่ายแทน

“ไม่มีใครที่เข้ามาแล้วอยู่นานเท่าเธอแล้วล่ะ ได้ของที่ต้องการแล้วก็รีบออกจากที่นี่กันทั้งนั้น” หญิงสาวตอบเสียงกลั้วหัวเราะ

“งั้นเหรอ แบบนี้เองสินะ” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์

ตกลงว่าหาอะไรจะได้ช่วยหา คิดว่าน้ำไม่แพงหรอก"

“ค่าน้ำ” เสี่ยวเหลียนทวนคำ

“ใช่แล้ว ค่าเดินทางน่ะ ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ หรอกนะ อยากได้ก็ต้องยอมจ่าย” อีกฝ่ายมองอย่าประเมินท่าที

คนที่ตัดสินใจเข้ามาในตลาดมืด ส่วนมากแล้วเป็นพวกมีเงินพร้อมจ่าย หรือไม่ก็เป็นพวกพ่อค้าแม่ค้ากันเอง แต่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะมาซื้อมากกว่าขาย

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณพี่สาวมาก” เสี่ยวเหลียนปฏิเสธ เพราะเธอไม่อยากได้อะไร แค่กำลังมองหาว่าคนส่วนใหญ่ที่มาซื้อของยังสถานที่ต้องห้ามนี้ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาต้องการอะไรเท่าทีเธอเห็น ส่วนมากแล้วจะเป็นของกิน ไม่ก็ของใช้ทั่วไปแต่ถูกจำกัดปริมาณการขาย พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ปริมาณสินค้ามีน้อยกว่าปริมาณความต้องการของผู้บริโภค

“แล้วก็ไม่พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เสียเวลาจริงๆ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ หญิงสาวก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงหนีไป

กลับมาถึงบ้านหลี่ก็เห็นว่าหลิวซือผู้เป็นแม่นั่งหน้าบูดรอที่บ้าน มองดูนาฬิกาแขวนตรงผนังพบว่าตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว แม่น่าจะออกไปทำงานแล้วถึงจะถูก

“ไปไหนมา” หลิวซือถามเสียงเรียบ

“ไปส่งยายมาค่ะ” เธอไม่ปิดบัง เพราะยังไงวันนี้ทุกคนก็จะต้องรู้อยู่ดี

“ทำไมแกถึงไม่บอกฉัน ปล่อยให้ยายกลับไปคนเดียวแบบนั้นได้ยังไง”

“แล้วแม่จะให้ฉันทำยังไงละคะ ถ้าบอกแล้วแม่จะลางานไปเป็นเพื่อนยายเหรอ ก็ไม่น่าใช่” ประโยคสุดท้ายเธอแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามอไม่อยู่

“ฉันไปไม่ได้เพราะทำงานไม่ใช่ว่าไม่อยากไป แกก็น่าจะรู้ว่ายายอยู่ชนบทมาตั้งแต่เกิด ไม่คุ้นชินกับเดินทางไกลแบบนี้ ไหนบอกว่ารักยายนักหนา ทำไมแกไม่ยอมตามยายไป”

“ฉันก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่ติดที่ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว” เสี่ยวเหลียนพูด

หลิวซือได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เธอเคยวาดฝันว่าอยากให้ลูกสาวมาอยู่ด้วย เพื่อที่ตนเองจะได้ชดเชยกับสิ่งที่ทำพลาด แต่พอเอาเข้าจริงๆ เธอเองก็เริม่ไม่มั่นใจว่ายังต้องการแบบนั้นอยู่หรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เข้ากับลูกสาวเลย แม้ว่าจะพยายามปรับตัวแล้วก็ตาม

“แกพูดเรื่องนี้มาก็ดีแล้วเหมือนกัน”

จ้าวเสี่ยวเหลียนฟังแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทีหน้า ท่าทางของผู้เป็นแม่บ่งบอกว่าไม่ได้พูดเล่น

“ฉันจะพาแกไปเจอคนคนหนึ่ง”

“ใครคะ” เสี่ยวเหลียนถอยหลังตามสัญชาตญาณ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าของร่างก่อนหน้าแล้วได้รู้สึกไม่ปลอดภัย

“ไม่ต้องมองฉันเป็นนางมารขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกน่า” หลิวซือเห็นท่าทางของลูกสาวแล้วได้แต่กรอกตามองบน

“ถ้างั้นก็บอกมาก่อนสิคะว่าจะพาไปพบใคร”

“ถึงแล้วก็จะรู้เองล่ะน่า ไปเร็วเข้าสายมากแล้ว” หลิวซือไม่ตอบคำถาม แต่เดินมาจูงแขนลูกสาวให้เดินตามหลังตัวเองไปยังสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้

สุดท้ายแล้วเสี่ยวเหลียนจำเป็นต้องเดินตามแม่มายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านขายเกี๊ยวธรรมดาทั่วไป ข้างในร้านมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้โต๊ะต้องกลอกตามองบน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาสามนั่นเอง

“มาแล้วเหรอ” อาสามลุกขึ้นยืน ยิ้มทักทายเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“เสี่ยวเหลียน” หลิวซือเรียกชื่อลูกสาว

“สวัสดีค่ะ” ทำให้เธอจำเป็นต้องทักทายอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท

“เอาล่ะๆ นั่งลงสั่งอะไรมากกินก่อน ไหนๆ ก็ยังไม่ถึงเวลา”

อาสามารับหน้าที่สั่งอาหารในร้าน ส่วนเสี่ยวเหลียนได้แต่กอดตัวเองแน่น อยากจะรู้เหมือนกันว่าแผนการณ์วันนี้เป็นยังไง

เธอคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าถ้าหากไม่มียายหลิวคอยปกป้อง ต่อไปเธอก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในดงเสือ ดงจระเข้ จำเป็นต้องโอนอ่อนไปตามคำพูดของทุกคน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“ฉันกินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ โชคดีที่แม่ไม่อยู่ ตอนแรกก็มืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี” หลิวซือพูดพร้อมทั้งมองหน้าลูกสาว

“เอาเถอะค่ะพี่สะใภ้ รอฟังก่อนว่าทั้งนั้นจะพูดอะไร ถ้าดีเราก็แค่เราเอาไว้ แต่ถ้าไม่ดีก็หาทางบอกปัดก็เท่านั้น ดีกว่าปล่อยให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน เท่าที่รู้ตอนนี้คงไม่มีใครอยากเกี่ยวดองกับบ้านเราแล้ว” อาสามพูดพร้อมทั้งมองหน้าจ้าวเสี่ยวเหลียน

เสี่ยวเหลียนนั่งนิ่ง กำลังวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ถ้าให้เดาแน่นอนว่าเรื่องจะต้องเกี่ยวกับเธอไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก

ผ่านไปสักพักบะหมี่เกี๊ยวน้ำก็ถูกวางตรงหน้า เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นหอมของอาหารก็ก้มหน้าก้มตากิน เธอไม่ใช่พวกไม่พอใจก็อดอาหารประท้วง คิดว่าคนพวกนั้นสิ้นคิด เพราะถ้าท้องไม่อิ่ม สมองจะมีแรงคิดแก้ไข้ปัญหาได้ยังไงกันล่ะ

ไม่นานเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดของใครบางคน ที่ทำเอาคนฟังต้องหันกลับไปมองเป็นตาเดียว

“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า พอดีว่าไม่ค่อยชินกับตรอกนี้เท่าไหร่”

ร่างของหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับร่มที่ถือว่าไว้บังแดด แต่พอหล่อนหุบร่มลง ก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าสวย เรียบเนียนไม่มีจุดด่างดำเลยแม้แต่นิดเดียวไม่บอกก็รู้ว่าเป็นพวกผู้ดีมีเงิน น่าจะไม่เคยทำงานตากแดด ชีวิตนี้เคยสัมผัสกับคำว่าแดดเผาหรือเปล่าก็ไม่รู้

“สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ พวกเราก็มาถึงได้สักพักนี้เอง” อาสามจัดการเลื่อนชามบะหมี่ของตนเองไปตรงหน้าของพี่สะใภ้ใหญ่ ที่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายมองตนเองใหม่ รวมถึงพี่สะใภ้ของเธอด้วย

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถอะ” คนมาใหม่ผายมือเชื้อเชิญให้คนอื่นนั่งตามอัธยาศัย

เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว อีกฝ่ายก็กวาดสายสังเกตจ้าวเสี่ยวเหลียนอย่างพินิจพิเคราะห์ จนทำเอาเจ้าตัวปั้นหน้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงถึงจะไม่ให้โดนจับได้

“คุณพี่มาก็ดีแล้วละค่ะ ถือโอกาสแนะนำตัวกันเลยก็แล้วกันนะคะ” อาสามพูดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำครอบครัวหลีให้อีกฝ่ายได้รู้จักอย่างถี่ท้วน

“สวัสดีจ้ะหนูเสี่ยวเหลียน ฉันชื่อหยางเถาฮวา เรียกว่าป้าเถาฮวาก่อนก็ได้ เพราะอีกหน่อยก็จะกลายเป็นทองแผ่เดียวกันแล้ว”

เสี่ยวเหลียนกำลังจะทักทายตามมารยาท แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างอยู่แบบนั้น ถ้าเดาไม่ผิดนี่จะเรียกว่าดูตัว มากกว่ามาพบคนคนหนึ่งเฉยๆๆ เหมือนที่แม่ของเธอบอก

ใครมาอีกล่ะ โผล่มาไม่เว้นวันกันเลยทีเดียว คริๆ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   12

    ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status